Chapter twenty-three: same feeling
เข้าสัปดาห์ที่สามแล้วที่แพทริเซียต้องเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องนอน ชีวิตของเขาตลอดสัปดาห์นั้นวนเวียนอยู่แค่กับการนอน ทานอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ ดูหนังเื่เดิมซ้ำ ๆ อ่านนิยายที่ไซม่อนซื้อมาให้ และ เฝ้ามองอีกฝ่ายจากริมระเบียงกว้างเพียงแค่นั้น ่เวลาฮีทของเขานั้นผ่านพ้นไปสักพักแล้วแต่ยังไงก็ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ของควินท์เรลอยู่ดี ทั้งที่มันก็เป็เื่ธรรมชาติแท้ ๆ แต่คนในคฤหาสน์นี้ก็ทำเหมือนกับว่าการมีโอเมก้าที่ฮีทอยู่ร่วมชายคานั้นมันอันตรายมากซะจนต้องเป็วาระยิ่งใหญ่ยังไงอย่างนั้น
ถึงการอยู่เฉย ๆ ทุกวันมันจะดูน่าเบื่อไปบ้างแต่เขากลับรู้สึกว่าร่างกายเขาได้เติมเต็มพลังงานที่ขาดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ แม้เขายังคงต้องปรับแผนการสอนส่งคุณเจมส์เหมือนเดิมก็เถอะ แต่การได้นอนเฉย ๆ ในห้องแบบไม่ต้องปั้นหน้าออกไปพบคนในคฤหาสน์ควินท์เรลมันก็เป็เื่ที่ดีเหมือนกัน
มันดีทุกอย่างเว้นแต่การไม่ได้สอนไซม่อนนั่นแหละ
แพทริเซียเอื้อมมือไปเปิดประตูระเบียงรับลมเย็นที่มาพร้อมแสงแดดอุ่นที่เป็สัญลักษณ์ของฤดูร้อน อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็จะหมดฤดูร้อนแล้ว เอาจริงแล้ว เขาเองก็แอบเสียดาย่เวลาที่เขาเสียไปเหมือนกัน ทั้งที่เขาควรจะได้ออกไปใช้เวลาข้างนอกนั่นแท้ ๆ แต่กลับต้องเก็บซ่อนตัวไว้เพราะอาการฮีทของตัวเอง แม้เขาจะมั่นใจว่ายาระงับฮีทนั้นจะช่วยควบคุมกลิ่นฟีโรโมนและอาการทุกอย่างก็เถอะ แต่เพราะคำสั่งจากแพทย์ของบ้านควินท์เรลนั่นแหละจึงทำให้เขาเถียงอะไรออกไปไม่ได้สักนิด
บางทีก็รู้สึกถูกกดเพราะการที่เกิดมาเป็เพศรองซ้ำ ๆ ยังไงก็ไม่รู้
ดวงตากลมโตเหม่อมองไปที่สวนสีเขียวชอุ่มก่อนจะพบกับภาพที่คุ้นเคย ภาพของอัลฟ่าหนุ่มที่กำลังถือสายจูงสุนัขขนปุยตัวโตอย่างแซมมี่ทำให้รอยยิ้มหวานแรกของวันปรากฏขึ้นมาทันที ใบหน้าของไซม่อนยังคงเรียบตึงไม่แสดงสีหน้าออกมาเหมือนเช่นเคย แต่ยังไงแววตาของไซม่อนตอนที่ได้มองแซมมี่ร่าเริงนั้นก็ทำให้แพทหยุดมองไม่ได้เลยสักครั้ง ดวงตาคมที่มักจะมองคนที่ไม่รู้จักด้วยสายตาเรียบเฉย แต่กลับกัน ดวงตาคมคู่นั้นกลับดูอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาได้พบเจอมา
หลังจากคืนนั้นที่ไซม่อนมาร่ายประโยคยาวเหยียดที่เขาเองก็ไม่รู้ทำไมว่าเขาถึงจำมันได้ขึ้นใจทุกประโยคแบบนั้น แต่เพราะประโยคเ่าั้นั่นแหละถึงทำให้เขายอมกินยาตรงเวลาทั้งที่ใจเขาเองก็ไม่ได้อยากจะกินมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว การกินยาระงับฮีทอาจจะดูเหมือนเป็เื่ธรรมดาของโอเมก้าในสายตาเพศอื่น ๆ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าความทรมานจากการต้องทนพิษไข้ที่จะเกิดจากฤทธิ์ยาและการต้องเหน็ดเหนื่อยจากความปวดเมื่อยร่างกายทุกครั้งหลังจากที่ยาหมดฤทธิ์นั้นมันเป็ยังไง พวกอัลฟ่าน่ะไม่มีทางเข้าใจหรอก ถ้าหากไม่ได้เป็โอเมก้าอย่างเขาก็คงไม่มีทางเข้าใจได้จริง ๆ สักนิด
เขาเองเคยคิดอย่างนั้นกับอัลฟ่าทุกคน
จนกระทั่ง่สัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละนะ
จากในตอนแรกที่คิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่อาหารที่ถูกจัดเสิร์ฟให้ถึงห้องนั้นตรงกับอาหารโปรดของเขาแทบทุกมื้อ ไหนจะผลไม้ ขนม และชาที่ชอบนั่นอีก แต่พอเขาได้รับรู้ทุกอย่างจากสาวใช้คนสนิทอย่างเบลล์ แพทริเซียก็กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่จนเบลล์ถึงกับต้องยิ้มล้อเลียนเขาอยู่พักใหญ่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้นก็เถอะ แต่พอได้รู้ว่าเป็ฝีมือไซม่อนก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะดีใจจนออกหน้าออกตาแบบนั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าคนอย่างไซม่อน ควินท์เรลจะมาเอาใจใส่เขาได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลยสักนิด และเขากับไซม่อนก็ยังอยู่แค่ในฐานะครูฝึกสอนกับนักเรียนด้วยซ้ำ หรืออย่างมากที่สุดเขาก็อาจจะกำลังถูกอีกฝ่ายดูแลในฐานะของเพื่อนคนนึง
แต่เพราะเขาเองนั่นแหละที่คิดไม่ซื่อ
ความคิดเข้าข้างตัวเองนั้นจึงยากที่จะห้ามเหลือเกิน
สายตาของโอเมก้าตัวขาวที่กำลังยืนอยู่ที่ริมระเบียงยังคงจดจ้องไปยังสองชีวิตในสวนไม่หยุด ไซม่อนยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมองอยู่และแพทริเซียก็คิดว่านั่นมันคือเื่ที่ดีเหมือนกัน ในตอนนี้เขาไม่ได้อยากจะให้อีกฝ่ายรู้ตัวสักนิด เขาอยากทำเพียงแค่มองไซม่อนเล่นสนุกเหมือนอย่างที่วัยรุ่นคนนึงควรจะได้เป็ แค่นั้นก็ทำหัวใจดวงน้อยของเขาอิ่มเอมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หลายคืนที่ผ่านมาหลังจากที่เขาเอาแต่ทนอยู่กับความเงียบเหงาในห้องเพียงคนเดียว จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับกระดาษที่ถูกสอดมาจากช่องว่างระหว่างประตู ในตอนแรกแพทริเซียก็กลัวเหลือเกินที่จะต้องลุกจากเตียงในตอนดึกดื่นแบบนั้นเพื่อไปรับของจากคนหลังประตูที่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็ใคร แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงฟุดฟิดที่คุ้นเคยจากเ้าสุนัขตัวใหญ่ก็ทำรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานทันที แม้ในตอนนั้นเขาจะง่วงจนเกือบผล็อยหลับไปแล้วก็เถอะ สุดท้ายความง่วงก็ยังสู้ความรู้สึกอยากพูดคุยที่เขามีกับเ้าของกระดาษแผ่นนั้นไม่ได้อยู่ดี
กระดาษสีขาวแผ่นนั้นไม่ได้มีข้อความอวยพรเหมือนกระดาษใบเล็กที่อีกฝ่ายแนบมาในถุงขนมเหมือนทุกวัน แต่กระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือที่เขาคุ้นเคยนั้นได้บอกเล่าเื่ราวที่อีกฝ่ายได้พบเจอมา เื่ราวที่เขาบอกเล่าผ่านตัวอักษรนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เื่ราวดี ๆ อย่างที่เขาชอบพูดตอนที่ได้เจอหน้ากัน มันไม่ใช่แค่การได้ทานของอร่อยหรือสอนแซมมี่ทำอะไรใหม่ ๆ ได้ แต่ข้อความในกระดาษนั้นยังถ่ายทอดเื่ราวของความหนักใจและความเหนื่อยล้าที่ถูกสะสมมาจนกลั่นออกมาเป็ประโยคยาวเหยียดเ่าั้ เขารู้ดีว่าไซม่อนไม่ใช่คนชอบอธิบายอะไรกับใครนัก แต่พอเป็เขาที่ได้อ่านข้อความเหล่านี้จากไซม่อนมันก็กลับทำให้เขารู้สึกดีที่อีกฝ่ายยังคงไว้ใจและหวังให้เขาเป็ที่พึ่งได้อยู่
ข้อความมากมายถูกบรรจงเขียนลงมาจนเต็มหน้ากระดาษ ประโยคที่ไม่ได้ถูกประดิษฐ์ออกมาสักคำทำให้เขาได้เห็นถึงความจริงใจของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน และแพทริเซียก็รับรู้ได้ถึงทุกความรู้สึกที่ไซม่อน้าจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้ทั้งหมด ความหนักอึ้งเริ่มเกิดขึ้นกับใจของคนอ่านทีละนิดเมื่อเขาได้รับรู้ว่าคนเขียนได้เจอกับอะไรมาบ้าง มันอาจจะดูไม่ใช่เื่หนักหนามากนักสำหรับคนอื่น แต่การที่ต้องเรียนหนักในทุกวันจนแทบไม่มีเวลาได้ออกไปเดินเล่น ไม่ได้เจอเพื่อน ไม่มีคนให้พูดคุยด้วย และต้องยังรับฟัง ต้องแบกรับความกดดันมากมายจากคนในตระกูลแบบที่ไซม่อนต้องเจอในทุกวัน สำหรับแพทแล้วมันหนักมากเกินซะจนหากเป็เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะรับไหวหรือเปล่า
ยังไม่รวมกับคำพูดมากมายที่คนภายนอกครหาเขาอีก
หากอีกฝ่ายได้รับรู้คำพูดเ่าั้มันคงเป็เื่ที่น่าเจ็บหัวใจมากจริง ๆ
เสียงดังกึกของประตูที่เหมือนกำลังถูกวัตถุบางอย่างเอนทับเข้ามาทำให้แพทริเซียเดาได้ในทันทีว่าต้องเป็อัลฟ่าตัวโตนั่นแหละที่กำลังนั่งพิงประตูอยู่ ความรู้สึกและคำพูดมากมายมันท่วมท้นซะจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้คนหลังประตูรับรู้ได้ยังไง เบื้องหน้าที่ดูเข้มแข็งและแสนเย่อหยิ่งในบางครั้ง บางมุมที่ยังคงแสดงออกให้ทุกคนเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏทั้งบนดวงตาพระจันทร์เสี้ยวและริมฝีปากสีสวยนั้น มันปกปิดทุกอย่างรวมไปถึงความกังวลใจที่มักจะฉายออกมาจากแววตาคู่นั้น ทำให้หลายคนยังคงมองไซม่อนเป็เพียงแค่ทายาทของตระกูลควินท์เรล และสุดท้ายก็หลงลืมไปว่าเขาเป็เพียงแค่เด็กวัยรุ่นคนนึงเพียงแค่นั้น
เด็กคนนึงที่ยังเ็ปกับความคิดและการกระทำจากคนรอบข้างได้
เด็กคนนึงที่ควรจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป
แพทริเซียไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็ห่วงไซม่อนมากแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีก็ในตอนที่คำอธิษฐานก่อนนอนของเขาในทุกคำคืนนั้นมีชื่อของไซม่อนอยู่ด้วย พรทุกข้อที่เขาขอไม่เพียงแต่ขอให้เพียงตัวเขา คนในครอบครัว เพื่อนสนิทอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้พรทุกข้อของเขานั้นถูกมอบให้ไซม่อนด้วย คนตัวเล็กชันเข่าตัวเองทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้และเอนหลังพิงกับประตูไม้บานใหญ่ ไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างเขาและคนหลังประตู คำปลอบโยนมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของแพทริเซีย ถึงอยากจะเปิดประตูไปบอกอีกฝ่ายต่อหน้าเลยก็เถอะ แต่การที่ไซม่อนยื่นกระดาษมาให้แบบนี้แทนที่จะเคาะประตูเรียกเขาเพื่อให้ออกไปพูดคุยกันเหมือนทุกครั้งมันก็ค่อนข้างชัดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมในตอนนี้ และเขาเองก็คงจะไม่เปิดประตูออกไปให้อีกฝ่ายหนักใจเพิ่มหรอก หากการที่ได้สื่อสารกันผ่านตัวอักษรแบบนี้มันทำให้อีกฝ่ายสบายใจ ตัวเขาเองก็ยินดีจะเป็ความสบายใจให้โดยที่ไม่มีข้อแม้เลยสักนิด
ฝ่ามือเล็กเอื้อมไปหยิบสมุดบันทึกเล่มใหญ่บนโต๊ะทำงานพร้อมปากกาแท่งโปรดมาถือไว้ เสียงผิวปากเป็ทำนองแ่เบาจากคนหลังประตูทำแพทริเซียอมยิ้มทันที อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูอารมณ์ขุ่นมัวเท่าที่เขาคิดละนะ หรืออย่างน้อยการที่ได้นั่งเงียบ ๆ ด้วยมันทำให้ไซม่อนสบายใจมากขึ้น แค่นั้นก็ทำให้คนอย่างแพทริเซียก็ยิ้มได้แล้วละ ปลายปากกาจรดลงบนกระดาษสีขาวนวล เสียงขีดเขียนกระดาษจากในห้องทำเสียงผิวปากของอัลฟ่าหนุ่มหายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงตะกุกตะกักที่ประตูเท่านั้น
ปลายปากกาถูกจรดลงบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าด้วยความตั้งใจของผู้เขียน ดวงตากลมของโอเมก้าตัวขาวจดจ้องไปตามตัวอักษรที่ตัวเองบรรจงเขียนอย่างใส่ใจ มันไม่ใช่เพียงแค่จดหมายที่แพทริเซีย้าตอบกลับอีกคน แต่เขาอยากใส่ความรู้สึกที่้าถ่ายทอดไปให้อีกคนได้รับรู้ลงไปด้วย ข้อความแล้วข้อความเล่า ประโยคแล้วประโยคเล่าที่ถูกบรรจงเขียนลงไปโดยที่คนด้านหลังประตูก็ยังคงรออยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองด้วยซ้ำว่าในตอนนั้นเป็เวลากี่โมงแล้ว เขารู้เพียงแค่ว่าเขาอยากจะตั้งใจเขียนมันให้ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยมันก็คงดีกว่าการที่เขาจะไปพูดปลอบอีกฝ่ายต่อหน้าแบบตะกุกตะกักอย่างที่มักจะเป็บ่อย ๆ
แพทรู้ตัวดีว่า่หลังมานี้ความกล้าของเขาที่เคยมีมาตลอดนั้นมันเริ่มหายไปทีละนิด จากที่เคยมั่นใจในการต่อล้อต่อเถียงกับไซม่อนอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้ความกล้าเ่าั้มันถูกแทนที่ด้วยอาการแปลก ๆ ในใจของเขาเข้าแล้วจริง ๆ
อาการที่มองอีกคนหรือบางทีแค่คิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
แล้วก็ดันใจสั่นทุกครั้งนั่นแหละ
แพทริเซียจำได้ว่าเขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการเขียนจดหมายที่เต็มไปด้วยถ้อยคำปลอบโยนและประโยคที่บอกว่าพร้อมจะรับฟังอีกฝ่ายถ้าเขา้า เสียงฉีกกระดาษจากสมุดบันทึกเล่มโตทำให้เสียงตะกุกตะกักด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง เขาใช้เวลาเพียงไม่นานกับการกรีดกระดาษพับเป็สองทบก่อนจะเคาะประตูเรียกคนข้างนอกเบา ๆ เพียงแค่สองครั้ง กระดาษที่ถูกเขียนด้วยความตั้งใจได้ถูกสอดกลับไปที่ช่องระหว่างประตูเหมือนในตอนที่เขาได้รับมาในตอนแรก แรงดึงกระดาษเพียงเล็กน้อยจากคนด้านหลังประตูทำแพทหน้าร้อนวูบขึ้นมาซะเฉย ๆ เสียงขยับตัวเล็กน้อยพร้อมเสียงกระซิบบอกราตรีสวัสดิ์ดังขึ้นจากคนหลังประตูเหมือนที่เขาทำในทุกวัน
แต่เมื่อคืนกลับเป็ประโยคที่ทำให้ใจของเขาเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
และแพทริเซียก็นอนหลับไปพร้อมกับความรู้สึกอย่างนั้นแทบจะทั้งคืน
แพทริเซียไม่รู้ว่าเขาใช้เวลานานเท่าไหร่กับการจมอยู่ในห้วงภวังค์คิดถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นไปเมื่อคืน แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขามองไปที่สวนตรงหน้าและไม่พบกับไซม่อนอีกแล้ว ดวงตากลมโตกวาดสายตาไปทั่วรอบบริเวณคฤหาสน์เท่าที่ตัวเองจะมองเห็นได้ แต่เขาก็ไม่พบวี่แววของไซม่อนเลยสักนิด คนตัวเล็กพรูลมหายใจยาวออกมาด้วยความเสียดาย ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่ามองอยู่ก็เถอะ แม้ระหว่างสวนกับระเบียงจะห่างกันมาก แต่ถ้าหากได้สบตากันสักครั้งหรือได้เอ่ยทักทายกันสักนิด มันก็คงเป็เื่ที่ทำให้ชื่นใจได้มากเหมือนกัน
สุดท้ายแล้วแพทริเซียก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้งเพียงเท่านั้น มือเล็กเอื้อมดึงปิดประตูระเบียงจนสนิทและเดินกลับมานั่งที่เตียงกว้างเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน เอาจริงแล้วแพทริเซียไม่เคยชอบความรู้สึกที่มีอะไรมากวนใจตลอดเวลาเลยสักนิด เพราะเขาเองก็เป็คนขี้รำคาญในระดับหนึ่ง พอมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องคิดถึงหรือกวนใจอยู่ตลอดแบบนี้มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดซะจนเขาอยากจะถอนหายใจสักหนึ่งพันรอบต่อวันด้วยซ้ำ ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนฟูกนิ่มอย่างเหน็ดเหนื่อยก่อนเปลือกตาสีสวยจะถูกปิดลงเพื่อไล่ความรู้สึกรำคาญใจที่ตัวเองมีอยู่ แต่แล้วจู่ ๆ เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
- Simon’s theory -
ก๊อก ก๊อก..
อัลฟ่าหนุ่มเคาะลงที่ประตูบานใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ ลดมือลงด้วยความประหม่า เป็เวลาร่วมสามสัปดาห์ที่เขามาหยุดที่หน้าประตูไม้ที่เป็ห้องพักของแพทริเซียแทบจะทุกคืน ถึงจะมีบางวันที่เขาไม่ได้เคาะหรือเรียกให้อีกฝ่ายโต้ตอบก็เถอะ และคนที่อยู่ในห้องก็คงไม่ได้รับรู้เื่ราวที่เขาทำเช่นกัน ตลอดเวลาสามสัปดาห์ที่แพทริเซียต้องทำเพียงแค่เก็บตัวอยู่ในห้องนั้นมันทำให้ไซม่อนเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาเข้าแล้วจริง ๆ แต่มันกลับเป็ความรู้สึกที่เขาไม่ได้เข้าใจมันเลยสักนิด ถึงมันจะคล้ายกับความรู้สึกในตอนที่เขาไม่ได้เจอเพื่อนสนิทอย่างเจซเป็เวลานาน แต่ตอนที่เขาไม่ได้เจอกับเจซ เขาก็ไม่เคยต้องมานั่งกระวนกระวายใจอะไรมากมายถึงขนาดนี้ หากจะเทียบกับความรู้สึกในตอนที่เขาไม่ได้เจอกับคุณย่าเป็เวลานาน แต่เขาก็ไม่ได้เฝ้านับวันรอเพื่อจะได้พบคุณย่าเหมือนอย่างในตอนที่เขารอพบกับโอเมก้าตัวขาวนั่น
ความรู้สึกเหล่านี้มันยากที่จะอธิบายเหลือเกินสำหรับคนอย่างไซม่อน
ั์ตาคมจดจ้องไปที่ปลายเท้าตัวเองอย่างกังวลเมื่อประตูตรงหน้าถูกเปิดออกช้าเหลือเกิน ความรู้สึกมากมายที่กำลังท่วมท้นอยู่ในอกทำไซม่อนซ่อนความตื่นเต้นของตัวเองไม่ได้เลยสักนิด จากที่เขาเคยชอบความเงียบสงบของโถงทางเดินชั้นสองในคฤหาสน์ควินท์เรล วันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป เงียบเกินกว่าจะที่เขาจะเก็บซ่อนเสียงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่กำลังเต้นแรงซะจนเสียงมันดังก้องอยู่ในหูของเขา อัลฟ่าหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากอย่างยากลำบาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงตื่นเต้นมากมายขนาดนี้
หรือเป็เพราะกิจกรรมมากมายที่เขาเตรียมมาตลอดหลายสัปดาห์
กิจกรรมที่ทำให้คนในห้องรู้สึกเสียดายเหลือเกินที่จะไม่ได้ทำมัน
เอาจริงแล้วไซม่อนก็พอจะดูออกอยู่เหมือนกันว่าแพทริเซียนั้นชอบฤดูร้อนมาก ดวงตากลมโตของอีกฝ่ายเป็ประกายฉายแววตาแห่งความสุขทันทีที่ได้ัักับอากาศอุ่นร้อนนั้น ถึงเ้าตัวจะบ่นกระปอดกระแปดเื่อากาศอยู่บ้างก็เถอะ แต่สุดท้ายแล้วทั้งแววตาและเื่ราวความทรงจำเกี่ยวกับฤดูร้อนที่แพทริเซียได้บอกเล่ามานั้นก็ทำให้เขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายชื่นชอบฤดูร้อนมากแค่ไหน เพราะอย่างนั้น เขาจึงใช้เวลาแทบทั้งคืนในการหาข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่แพทริเซียเคยได้เล่า ถึงเงื่อนไขในการต้องอยู่แค่ในเฉพาะคฤหาสน์มันจะเป็อุปสรรคกับเขา แต่มันก็ไม่สามารถห้ามสิ่งที่เขา้าจะทำให้โอเมก้าตัวขาวได้เลยสักนิด
เพราะแพทริเซียเป็เพื่อนคนสำคัญอีกคนของเขา
และเขาก็ยินดีจะทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้มีรอยยิ้มเช่นกัน
อัลฟ่าหนุ่มก้มลงไปมองสุนัขขนปุยตัวโตที่กำลังเอาเท้าหน้าของมันขูดอยู่กับประตูไม้บานใหญ่พร้อมก้มลงใช้จมูกดมจนเกิดเสียงฟุดฟิดที่ช่องระหว่างประตู การกระทำเ่าั้ของ
เ้าแซมมี่เรียกรอยยิ้มของเขาออกมาได้อย่างง่ายดาย มันคงไม่ใช่แค่เขาหรอกที่รู้สึกว้าเหว่ในตอนที่ไม่ได้เจอกับแพทริเซียแต่เ้าแซมมี่เองก็คงเหมือนกัน หรือบางทีแซมมี่อาจจะอยากเจอโอเมก้าตัวขาวนั่นมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ทุกเช้าที่เขากับแซมมี่มักจะออกไปเดินเล่นกันเป็ประจำและแซมมี่ก็จะคาบสายจูงของตัวเองเพื่อวิ่งไปรอเขาที่ประตูใหญ่อย่างรู้งาน แต่ในตอนนี้แซมมี่กลับเปลี่ยนจุดหมายจากประตูใหญ่ข้างล่างนั่นเป็ประตูไม้บานใหญ่หน้าห้องนอนของแพทริเซียแทน และทุกเช้าเ้าแซมมี่ก็มักจะส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมเสียงครางหงิงส่งมาให้เขาอยู่ตลอด ในตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามัน้าอะไรกันแน่ แต่พอนานวันเข้า ตัวเขาเองก็เริ่มเข้าใจแซมมี่เข้าจริง ๆ แล้วละ
ไซม่อนพรูลมหายใจตัวเองออกมาอย่างแ่เบาเมื่อประตูไม้บานใหญ่ยังไม่ถูกเปิดออกสักที ทั้งที่ปกติแล้วอีกฝ่ายจะรีบเปิดประตูหรือขานรับทันทีที่เขาเคาะเลยด้วยซ้ำ แต่ในวันนี้คนข้างในห้องกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรโต้ตอบกลับมาเลยสักนิด อัลฟ่าหนุ่มตัดสินใจเอื้อมมือขึ้นจะไปเคาะประตูอีกครั้งแต่สุดท้ายประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก และคนที่เขารอจะพบหน้าอยู่หลายสัปดาห์ก็อยู่ตรงหน้าอย่างเป็อิสระสักที คำพูดมากมายที่ถูกตระเตรียมไว้ทั้งคืนพลันถูกกลืนหายลงไปในลำคอทันทีที่ได้เห็นเ้าของดวงตากลมโตตรงหน้า ริมฝีปากของเขาถูกปิดสนิททั้งที่อยากจะเอ่ยคำพูดทักทายออกไป และแพทริเซียก็คงเป็แบบนั้นเช่นเดียวกัน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาและแพทนั้นยืนมองหน้ากันอยู่นานแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่เหมือนกับโลกหยุดหมุนที่เขามักจะได้อ่านในหนังสือนิยายนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวเขาเข้าแล้วจริง ๆ หูทั้งสองข้างอื้ออึงซะจนเขาได้ยินเสียงเห่าจากเ้าแซมมี่เพียงแค่แว่ว ๆ เท่านั้น และเพียงแค่ได้สบดวงตากลมโตคู่นั้น ไซม่อนก็ได้รู้แล้วว่าความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นกับตัวเขามาตลอดทั้งสัปดาห์นั้นมันคืออะไร แต่ยังไม่ทันที่อัลฟ่าหนุ่มจะได้เอ่ยปากบอกเลยสักนิด แพทริเซียก็เป็คนที่เอ่ยทำลายความเงียบที่มันปกคลุมเขาทั้งคู่อยู่
“คุณไซม่อนไม่มีเรียนเหรอ?”
“อ่า.. มี มีสิ” เขาเอ่ยตอบอีกฝ่ายตะกุกตะกัก
“แล้วไม่เตรียมตัวไปเรียนเหรอหรือว่าคุณไซม่อนมีธุระอะไรกับเรา?”
“จันทร์หน้าเราไม่มีเรียน”
“..”
แพทริเซียขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจทันทีที่เขาเอ่ยออกไปแบบนั้น นึกแล้วไซม่อนก็อยากจะเอาน้ำเย็นล้างหน้าตัวเองให้หายประหม่าสักที ปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้สนทนากับใครอยู่แล้วนั่นแหละ แต่พอเป็แพทริเซียที่เขามักจะได้สนทนาอยู่ด้วยตลอดและเป็คนที่เขาไม่ควรจะรู้สึกประหม่าหรือพูดคุยตะกุกตะกักด้วยสักนิด แต่ไอ้ความรู้สึกแปลก ๆ ที่มันมักจะก่อขึ้นมาในใจของเขานี่แหละที่ทำให้เขาไม่เคยได้กลับไปพูดคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างปกติเหมือนที่เขาเคยทักสักที
“ไม่มีเรียนแล้วคุณมาบอกเราทำไม?”
“แซมมี่อยากนั่งเรือแล้วก็อยากปิกนิกด้วย”
“แซมมี่?”
โฮ่ง!
เ้าแซมมี่เห่ารับทันทีที่แพทริเซียเอ่ยชื่อของมันขึ้นมา และนั่นก็เป็สิ่งที่ทำให้ไซม่อนได้เห็นรอยยิ้มหวานแรกของวัน โอเมก้าตัวขาวยิ้มกว้างก่อนจะนั่งลงเอื้อมมือลงไปขยี้ขนฟูของแซมมี่ด้วยความเอ็นดู จมูกสีดำใหญ่ของมันถูไถไปกับมือเล็กของแพทริเซียอย่างออดอ้อนจนไซม่อนอดอมยิ้มตามไม่ได้
“อื้ม แซมมี่อยากให้คุณไปด้วยนะ ดูสิ”
“แซมมี่ไม่เห็นจะพูดอะไรเลย”
“เขาบอกผ่านการกระทำหมดแล้ว”
“บอกว่าอะไรเหรอแซมมี่ ไหนบอกเราหน่อยสิ”
แพทริเซียใช้ปลายจมูกสวยของตัวเองถูไปกับจมูกสีดำของแซมมี่อย่างไม่นึกรังเกียจ สองมือเล็กกอบกุมใบหน้าของเ้าสุนัขขนปุยไว้ในมือก่อนจะบีบอย่างเบามือ เสียงหวานถูกดัดให้เล็กลงไปอีกเพื่อคุยกับสุนัขตรงหน้า
อัลฟ่าหนุ่มจ้องมองการกระทำเ่าั้ทั้งหมดและใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ถูกระบายด้วยรอยยิ้มบางที่แทบจะไม่มีใครเคยได้เห็น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่แพทริเซียเอ่ยถามแซมมี่นั้น ถ้าหากเ้าแซมมี่พูดได้ขึ้นมาจริง ๆ มันจะตอบว่าอะไร แต่เขาในตอนนี้ที่กำลังเก็บทุกการกระทำที่โอเมก้าตัวขาวตรงหน้าทำผ่านสายตากลับเอ่ยออกไปอย่างแ่เบาจนคนตรงหน้าต้องชะงัก
“คิดถึง”
แพทริเซียเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอัลฟ่าหนุ่มอยู่ครู่นึงก่อนจะตั้งสติและลุกขึ้นอย่างร้อนรนและค่อย ๆ ถอยหลังให้ห่างจากหน้าประตูซะจนคนที่เพิ่งหลุดปากบอกคิดถึงไปใจเสีย ในขณะที่ไซม่อนกำลังจะเอ่ยแก้ตัวขึ้นมา เสียงทุ้มก็ต้องกลืนหายลงไปในลำคอและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เขาเองก็ห้ามตัวเองไว้ไม่ทันเช่นกัน
“งั้นจันทร์หน้าไปกันนะ”
“..”
“เราก็คิดถึงเหมือนกัน”
สุดท้ายไซม่อนก็ได้รู้จนได้ว่าความรู้สึกที่มันเกิดกับตัวเขานั้นคืออะไร
และเขาคิดว่าแพทริเซียเองก็คงได้รู้แล้วเหมือนกัน
ความรู้สึกที่กำลังตรงกันอยู่ของพวกเขาน่ะ
- Simon’s theory -