Chapter twenty-four: dating?
ให้ตายเถอะ แพทริเซียไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเขาในวัย 21 ปีจะต้องมายืนหมุนตัวที่หน้ากระจกอยู่แบบนี้ ทั้งที่ร้อยวันพันปีตัวเขาเองไม่เคยแม้แต่จะคิดมากกับเสื้อผ้าหรือของนอกกายของตัวเองเลยสักนิด แต่กลับเป็เขาอีกนั่นแหละที่ใช้เวลาทั้งคืนเพื่อนอนคิดชุดที่จะต้องใส่ในวันนี้จนเกือบเช้า ทั้งที่วันนี้มันก็เป็วันธรรมดาอีกวันเพียงแค่นั้น
ใช่ วันธรรมดาวันนึงเพียงแค่นั้นเอง
แต่มันคือวันธรรมดาที่เขามีนัดกับไซม่อน ควินท์เรล ยังไงละ
โดยปกติแล้ว เขากับไซม่อนนั้นก็มักจะออกไปเดินเล่นกันเป็ประจำอยู่แล้ว ทั้งในตอนที่บังเอิญและไม่ได้บังเอิญ ถ้าหากจะให้พูดเื่ความบังเอิญของการเจอกันในคฤหาสน์มันก็ดูเป็เื่ยากซะเหลือเกินเพราะคฤหาสน์ควินท์เรลนั้นกว้างใหญ่ซะจนเขาเองก็กลัวจะหลงเข้าสักวันเหมือนกัน แต่ที่มันดูเหมือนบังเอิญในการเจอไซม่อน มันก็มีแต่ตอนที่เขาอยากไปเดินเล่นในสวนหรือนั่งตามม้านั่งที่น้ำพุโดยตั้งใจแค่นั้นแหละ
จะให้ทำยังไงได้ล่ะ
เขาเองก็ไม่ได้อยากเป็ฝ่ายชวนไซม่อนก่อนน่ะสิ
จะให้ว่ายังไงดีล่ะ เขาเองก็พอจะรู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าเขาเป็พวกประเภทแมวหยิ่งที่เพื่อนร่วมคณะมักจะพูดกัน ถึงเขาจะดูช่วยเหลือคนอื่นและใจดีกับใครมากแค่ไหนแต่เขาจะไม่มีทางเป็ฝ่ายเสียฟอร์มก่อนเลยสักครั้งและเขาก็มีทิฐิค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน มีหลายครั้งที่คุณพ่อกับคุณแม่คอยเตือนเขาเื่นี้ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อสิ่งนี้แหละที่เป็นิสัยที่เขาแก้ไม่ได้เลยสักครั้งและเขาก็จะไม่ยอมลดความเป็ตัวเองให้ใครง่าย ๆ เหมือนกัน
แต่นั่นมันก็คือความคิดก่อนหน้านี้แหละนะ
ถ้าหากเป็ในตอนนี้เขาคิดว่าเขาเองก็ยอมลดทิฐิของตัวเองลงเยอะอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะมีทำตัวหยิ่งหรือดูเหมือนไม่สนใจบ้างก็เถอะ แต่เขากลับคิดว่าเขาในตอนนี้ช่างต่างจากก่อนหน้านี้ซะเหลือเกิน ไหนจะการกระทำของเขาที่มักจะโอนอ่อนให้อัลฟ่าหน้าซามอยด์นั่นอยู่เป็ประจำ ไหนจะการที่เขามักจะทนกับคำอ้อนวอนหรือคำขอร้องจากอีกฝ่ายไม่ได้สักครั้งนั่นอีก แพทริเซียกลายเป็คนตามใจไซม่อนเข้าแล้วจริง ๆ แต่ถ้าหากจะให้เขาไปเป็ลูกแมวเชื่องให้กับพวกอัลฟ่ามันก็คงยากหน่อย
ถึงอัลฟ่าคนนั้นจะเป็ไซม่อนเองก็คงยากอยู่เหมือนกัน
มือเล็กเอื้อมไปหยิบเสื้อยืดสีขาวที่วางอยู่บนเตียงนุ่มขึ้นมาทาบทับตัวเองอีกครั้งก่อนจะจ้องมองเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่ มือทั้งสองข้างนั้นถือเสื้อสีที่ต่างกันและเขาก็สลับทาบทับเสื้อทั้งสองตัวกับมืออยู่อย่างนั้นไปมาซ้ำ ๆ และสุดท้ายแพทริเซียก็เลือกเสื้อสีขาวที่หยิบมาั้แ่ครั้งแรกจนได้ นึกแล้วเขาก็ตลกตัวเองอยู่เหมือนกันที่มาทำอะไรอย่างนี้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกเพียงไม่กี่วันฤดูร้อนที่เขารักก็จะหมดลงไปแล้วและเขากำลังจะใช้เวลาในฤดูร้อนไปกับอัลฟ่านั่น จู่ ๆ แพทก็อยากจะพิถีพิถันในการเลือกทุกอย่างขึ้นมาซะอย่างนั้น
แพทริเซียใช้เวลาพักใหญ่กับการแต่งตัวจนได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองพอใจ ดวงตากลมโตเหลือบมองไปยังนาฬิกาเรือนใหญ่และพบว่าใกล้จะถึงเวลานัดเข้าไปทุกที แล้วหัวใจดวงน้อยที่เคยทำงานอย่างปกติมาตลอดก็กลับเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ฝ่ามือเล็กเลื่อนมือขึ้นทาบทับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองไว้อย่างแ่เบา ความตื่นเต้นที่เขากดกลั้นมันไว้แทบจะทั้งคืน ในตอนนี้กลับปะทุขึ้นมาซะจนเขาเองก็ยังควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้เลย เขาไม่อยากจะยอมรับด้วยซ้ำว่าในตอนนี้เขากำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน ทั้งที่จริงแล้วเขากับไซม่อนก็มักจะใช้เวลาร่วมกันอยู่บ่อยครั้งแต่ในครั้งนี้มันกลับแตกต่างออกไปไม่เหมือนทุกครั้ง
หรืออาจะเป็เพราะกระดาษที่ถูกจดรายการสิ่งที่อยากทำด้วยกันจากไซม่อนก็ได้
ที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขนาดนี้
แผ่นกระดาษที่ถูกเขียนด้วยลายมือที่คุ้นเคยถูกสอดเข้ามาในช่องระหว่างประตูเหมือนอย่างเคย ถึงแม้จะไม่มีเสียงเคาะประตูอย่างที่อีกฝ่ายมักจะทำเป็ประจำก็เถอะ แต่แพทริเซียก็พอจะเดาได้เหมือนกันว่าไซม่อนนั้นเขินอายแค่ไหนกับการที่ต้องเอากระดาษแผ่นนี้มาให้เขา กิจกรรมมากมายที่ถูกเขียนรายละเอียดอธิบายลงไปอย่างชัดเจนพร้อมรูปที่ถูกแปะไว้นั้นทำแพทริเซียยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย ไซม่อนยังคงเป็คนที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจได้ตลอดเหมือนเดิม ความใส่ใจของอัลฟ่าหนุ่มที่เขาเคยได้เห็นและเขาคิดว่ามันคงเป็ทั้งหมดของไซม่อนแล้ว พอได้อ่านสิ่งเล็ก ๆ ที่อีกฝ่ายตั้งใจเลือกมาให้และข้อความเล็ก ๆ ที่เขียนเป็ตัวเลือกให้เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบแล้วมันก็ยิ่งทำให้เขาประทับใจกับความใส่ใจของอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไซม่อนกำลังทำอะไรกับใจของเขากันแน่
แต่ในตอนนี้แพทริเซียก็ไม่สามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองได้แล้วจริง ๆ
โดยเฉพาะตอนที่คิดถึงอีกฝ่ายนั่นแหละ
หลังจากคืนนั้นที่เราทั้งสองคนพูดคำว่าคิดถึงออกไป แพทก็ไม่ได้พบหน้าอัลฟ่าหนุ่มอีกเลยเป็เวลาสองวัน ซึ่งนั่นก็เป็สิ่งที่แพทคิดว่ามันเป็สิ่งที่ควรจะทำ ต่อให้ไม่ใช่ไซม่อนที่ดูเหมือนจะเป็ฝ่ายหลบหน้าเขา สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็เขาเองนั่นแหละที่จะหลบหน้าไซม่อนเพราะความเขินอายที่มีมันมากซะจนเขาเองก็คงรับมือไม่ไหวเหมือนกัน เขายังจำความรู้สึกและภาพที่ไซม่อนจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปพร้อมกับเอ่ยคำนั้นออกมาได้อย่างชัดเจน ถึงแม้เสียงทุ้มของอีกฝ่ายจะเอ่ยมันออกมาอย่างแ่เบา แต่ก็ทำให้ในคืนนั้นแพทริเซียแทบจะข่มตาหลับไม่ลงเลยสักนิด หัวใจเ้ากรรมที่เขาเคยคิดว่ามันคงเฉยชากับทุกอย่างไปแล้วกลับทำงานหนักที่สุดในคืนนั้น เขาทำได้เพียงแค่นอนฟังเสียงเต้นของหัวใจตัวเองอยู่ในห้องนอนที่เงียบสงบทั้งคืนเพียงเท่านั้น จากบทละครนับสิบเื่ที่เขาเคยได้แสดงมันออกไป บทบาทของคนที่กำลังมีความรู้สึกแบบนี้นั้นทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเรียกว่าอะไร
แต่เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้รู้สึกถึงมันต่างหาก
ไม่ใช่เพียงเพราะการแสร้งแสดงมันออกไป
ทั้งที่แพทริเซียเองก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนอย่างเขา เขาหาเหตุผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะปฏิเสธความรู้สึกที่เขามีต่อไซม่อนแต่ยิ่งนานนับวันเข้าก็ยิ่งหลบหลีกความรู้สึกตัวเองได้อย่างยากลำบาก สถานะของเขากับไซม่อนในตอนนี้ไม่ควรมีเื่ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิด ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ครูอย่างเต็มตัวอะไรทำนองนั้นก็เถอะแต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็ยังไม่เหมาะสมในความคิดเขาอยู่ดี ไหนจะฐานะและอนาคตที่ยังไงก็ไม่มีทางกันได้นั่นอีก ยิ่งความคิดเหล่านี้วนเวียนเข้ามา มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากจะถอยออกมาทุกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหยุดความคิดและถอยห่างออกมาแค่ไหน สุดท้ายแววตาลูกหมาของไซม่อนก็จะดึงเขากลับไปที่เดิมทุกครั้ง
โฮ่ง!
เสียงเห่าเรียกจากสุนัขตัวโตที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้อง แพทริเซียยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับวิ่งไปเปิดประตูบานใหญ่ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก ภาพของอัลฟ่าตรงหน้าก็ทำให้เขาอึ้งไปอยู่ชั่วขณะ โดยปกติในทุกวันเขามักจะเห็นไซม่อนกับทรงผมปกติตามธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกจัดแต่ง แต่ในวันนี้ผมสีเข้มของคนตรงหน้าถูกเซ็ตขึ้นไปจนเห็นหน้าผากกว้างที่รับกับใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แพทริเซียไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาจ้องมองอีกฝ่ายไปนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงกระแอมจากอัลฟ่าตรงหน้านั่นแหละจึงทำให้เขาต้องรีบหลบสายตาเมินหน้าหนีอย่างมีพิรุธ
ต่อให้เขาจะอยากเอ่ยชมแค่ไหนก็เถอะ
แต่ไม่มีทางหรอกที่ไซม่อนจะได้ยินคำชมจากเขาง่าย ๆ
“วันนี้คุณแต่งตัวน่ารักจัง”
สิ้นเสียงเอ่ยทักของอัลฟ่าหนุ่ม เ้าของใบหน้าหวานที่กำลังเห่อร้อนอยู่ก็เบิกตาโตด้วยความใ ทั้งที่แพทริเซียเพิ่งนึกในใจไปแท้ ๆ แต่กลับโดนคนที่เขาพยายามเมินเฉยเอ่ยชมเข้าแบบนี้ เขาเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ั์ตาคมมองสำรวจเขาั้แ่หัวจรดเท้าอย่างตั้งใจ เสื้อยืดตัวสีขาวที่ใส่คู่กับเอี๊ยมยีนส์ที่เขาไม่เคยคิดจะใส่สักครั้งแต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกดีที่สุดที่ได้ใส่มัน ไม่ว่าจะเป็เพราะแววตาของอีกฝ่ายหรือคำชื่นชมนั่นก็เถอะ แต่ในตอนนี้ไซม่อนกำลังทำให้เขารู้สึกว่ากำลังจะได้เริ่มต้นวันที่ดีจริง ๆ
“ขอบคุณครับ เราไปกันเลยไหม?”
“เอาสิ เราให้คนเตรียมเรือพร้อมแล้วละ”
“ถ้าเราพายเรือกันตอนนี้มันจะร้อนไปไหมครับ?”
“เราตามใจคุณแพทอยู่แล้ว ถ้าหากว่าอยากจะนั่งปิกนิกกันก่อนก็ได้ ทาครีมกันแดดแล้วใช่ไหม? วันนี้แดดข้างนอกค่อนข้างร้อนอยู่เหมือนกันนะ”
“เราทาแล้ว คุณล่ะทาหรือยัง?”
“ถ้าบอกว่ายังไม่ทา คุณแพทจะทาให้เราหรือเปล่า?” ไซม่อนเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาใสซื่อแต่คำถามนั้นกลับทำให้คนคิดไม่ซื่อหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“แล้วเราจะไปทาให้คุณทำไมกัน!”
แพทริเซียสวนกลับทันทีที่ตั้งสติได้ แพทริเซียแทรกตัวออกไปพร้อมกับเอื้อมมือปิดประตูบานใหญ่ด้วยอาการฟึดฟัด เสียงปิดประตูดังทำไซม่อนและเ้าแซมมี่ที่กำลังนั่งงุนงงกับอาการฟึดฟัดของโอเมก้าตัวขาวต้องสะดุ้งโหยงกันทั้งคู่ คนตัวเล็กในชุดเอี๊ยมยีนส์เดินจ้ำอ้าวอย่างเอาเป็เอาตายโดยที่ไม่หันกลับมามองคนที่มารับเลยสักนิด อัลฟ่าหนุ่มหันไปสบตากับเ้าสุนัขตัวโตอย่างไม่เข้าใจ ไซม่อนย้อนทบทวนคำถามที่ตัวเองได้เอ่ยถามออกไปและเขาก็ไม่คิดว่าเขาถามอะไรผิดไปสักนิด แต่ทำไมแพทริเซียถึงโกรธจนหน้าแดงถึงขนาดนั้นกัน เขาเกาท้ายทอยด้วยความงุนงงแต่ก็รีบเดินตามแพทริเซียไปเหมือนเดิมอยู่ดี
“คุณแพท รอเรากับแซมมี่ด้วยสิ!”
- Simon’s theory -
แสงแดดอุ่นร้อนที่มากระทบผิวขาวของแพทริเซียทำเขายิ้มออกมาด้วยความอารมณ์ดี เป็เวลานานหลายสัปดาห์ที่เขาไม่ได้ออกมาสูดอากาศท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ ถึงเขาจะได้ออกไปรับลมที่ระเบียงบ้างก็เถอะ แต่มันจะไปสู้กับการถูกต้นไม้สีเขียวชอุ่มและสูดกลิ่นลำธารที่แสนสดชื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน เสียงน้ำในทะเลสาบและนกที่กำลังขับร้องอยู่ทั่วบริเวณนั้นกำลังหล่อเลี้ยงหัวใจที่เหี่ยวเฉาของโอเมก้าตัวขาวได้อย่างดีเยี่ยม แขนเล็กทั้งสองข้างยืดเหยียดออกเพื่อรับลมเย็นที่พัดมา และในขณะที่แพทริเซียกำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว เขาก็แทบจะลืมไปเลยว่ายังมีอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
ในตอนนี้ไซม่อนปล่อยให้เ้าแซมมี่ได้ออกไปวิ่งสำรวจตามสวนอย่างที่มันมักจะทำอยู่เป็ประจำ สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่เ้าของแผนหลังเล็กที่กำลังยืดตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี ถึงในตอนแรกแพทริเซียจะดูฟึดฟัดไปบ้างแต่พออีกฝ่ายได้ัักับบรรยากาศที่ต่างจากห้องนอนที่แสนอุดอู้แบบนั้นมันก็ทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที และไซม่อนเองก็รู้สึกดีมากที่ได้เห็นมัน
สิ่งที่เขาได้ตระเตรียมให้อีกฝ่ายนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่เขาอยากทำมันจากคำบอกเล่าในวันนั้นหรอก จริง ๆ แล้วเขาเองก็แอบรู้สึกผิดอยู่ในใจเหมือนกันเมื่อได้ยินจากคุณเจมส์ว่าต้องให้แพทริเซียอยู่เพียงแค่ในห้องนั้นเป็เพราะในคฤหาสน์มีอัลฟ่าอยู่เยอะและมันจะไม่ปลอดภัยกับอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่ถ้าหากแพทริเซียไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ควินท์เรล หากอีกฝ่ายได้กลับไปอยู่บ้านหรืออยู่ในสถานที่ที่เป็ส่วนตัวมากกว่านี้ โอเมก้าตัวขาวตรงหน้าคงจะไม่ต้องถูกขังอยู่เพียงแค่ในห้องแบบนั้นเลย
เขารู้ดีว่าการควบคุมการกระทำตามสัญชาตญาณของอัลฟ่านั้นมันยากแค่ไหน แต่มันก็ไม่ยุติธรรมกับเพศตรงข้ามอย่างโอเมก้าสักนิด ทำไมต้องเป็โอเมก้าที่เป็ฝ่ายต้องระวังตัวและหาทางควบคุมฟีโรโมนของตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว ทำไมอัลฟ่าอย่างพวกเขาถึงไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิด แต่พอเขาตั้งคำถามนี้กับใคร คำตอบที่เขาจะได้รับกลับมาทุกครั้งก็มีเพียงแค่เสียงหัวเราะเย้ยหยันและความไม่เข้าใจในความคิดของเขาอยู่ตลอด แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดจะปล่อยให้ตัวเองถูกความคิดของคนอื่นหล่อหลอมไปในทางอื่นเลยสักนิด สิ่งเดียวที่ไซม่อนตั้งใจไว้นั่นก็คือ เขาจะทำให้ความเท่าเทียมของทุกเพศเกิดขึ้นได้ในอาณาจักรของเขา อย่างน้อยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลควินท์เรลจะต้องถูกปรับเปลี่ยนในอนาคตด้วยฝีมือของเขาให้ได้สักวัน
เขาเคยคิดไว้อย่างนั้นแต่ก็ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง
จนกระทั่งมีคนบางคนเข้ามาทำให้เขารู้สึกอยากเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนั่นแหละ
ใครบางคนที่เขาอยากปกป้องเป็พิเศษ
“คุณให้เขามาเตรียมกันั้แ่เช้าเลยหรือไงเนี่ย?” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมาทำให้ไซม่อนหลุดจากห้วงความคิดของตัวเองทันที โอเมก้าตัวขาวที่เคยยืดตัวอยู่ตรงหน้าเดินไปยังผ้าปูสีขาวตรงใต้ต้นไม้ใหญ่และมองสำรวจของที่วางอยู่บนผ้านั่นด้วยความสงสัย
เขาไม่รู้เลยว่าแพทริเซียจะสังเกตบ้างไหม
แต่ผ้าปูนั้นวางอยู่ที่เดิมกับที่อีกฝ่ายเคยจัดให้เมื่อครั้งก่อน
และแพทริเซียก็คงไม่รู้อีกนั่นแหละ ว่าสิ่งที่เ้าตัวกำลังตื่นเต้นอยู่ด้วยนั้นมันเป็ฝีมือของเขาทั้งหมด ั้แ่การปูผ้ายันอาหารว่างง่าย ๆ ที่อยู่ในจานทุกใบ
เพื่อเป็การไถ่โทษและต้อนรับอีกฝ่ายจากสัปดาห์ที่แสนอุดอู้ เขาจึงตั้งใจเตรียมทุกอย่างด้วยตัวเองให้เป็เหมือนดั่งรางวัลที่แพทริเซียเคยได้เตรียมให้เขา ไซม่อนไม่ได้คิดถึงเื่ความประทับใจหรืออะไรทำนองนั้นด้วยซ้ำ แต่สิ่งเดียวที่เขานึกถึงตอนทำทุกอย่างมันก็มีเพียงแค่รอยยิ้มของแพทริเซียที่คอยกวนใจเขาอยู่ทุกวันนั่นแหละ เขาเพียงแค่อยากให้รอยยิ้มนั้นมันคงอยู่ไปนาน ๆ เพราะคนตรงหน้านั้นเหมาะกับรอยยิ้มซะยิ่งกว่าใครคนไหนที่เขาเคยได้พบเจอมา
“คุณจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมครับ เดินมานั่งนี่สิ”
แพทริเซียเอ่ยแซวเขาพร้อมรอยยิ้ม และนั่นก็เป็เหมือนกับมนต์สะกดที่ทำให้เขาเดินตามเสียงเรียกนั้นไปอย่างง่ายดาย ไซม่อนทรุดตัวลงนั่งบนผ้าปูสีขาวที่เขาตั้งใจเตรียมไว้อย่างดี โอเมก้าตัวขาวเอื้อมไปหยิบกาน้ำชาก่อนจะรินใส่แก้วทั้งสองใบด้วยความชำนาญ ถ้วยชาลายสวยถูกเลื่อนมาตรงหน้าพร้อมกลิ่นชาหอม ๆ ที่ชวนให้ลิ้มลอง ฝ่ามือเล็กกอบกุมถ้วยชานั้นอย่างเต็มไม้เต็มมือก่อนจะเป่าไล่ความร้อนจนคนมองตามอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
“คุณยิ้มอะไรนักคุณไซม่อน วันนี้เราเห็นคุณยิ้มเยอะจนมันผิดปกติไปหมดแล้วนะ”
“อะไร เราหน้านิ่งก็หาว่าเราเ็า เรายิ้มก็บอกว่าผิดปกติ”
“ก็วันนี้มันผิดปกตินี่”
“เราแค่อารมณ์ดี”
“แน่สิ ก็วันนี้คุณไม่มีเรียนคำนวณอะไรนั่นใช่ไหมล่ะ?”
“เปล่า”
แพทริเซียเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังจดจ้องเขาอยู่ทันทีที่ได้ยินคำปฎิเสธออกมา
“อ้าว”
“เราอารมณ์ดีเพราะเห็นคุณแพทอารมณ์ดีต่างหาก”
คนตัวเล็กวางแก้วชาทันทีที่อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยจบประโยค แก้มเนียนใสขึ้นสีแดงระเรื่อจนเ้าตัวต้องยกมือขึ้นมาลูบข้างแก้มของตัวเองอย่างเบามือ แพทริเซียเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป็เพราะชาหรือแสงแดดนั่นหรือคนตรงหน้ากันแน่ที่ทำให้เขาหน้าร้อนผ่าวอยู่ตลอด เขาใช้เวลาอยู่ครู่นึงในการควบคุมสีหน้าของตัวเองก่อนจะเงยหน้าไปมองค้อนจนอัลฟ่าตรงหน้าหลุดยิ้มออกมา ทั้งที่ปกติแล้วไซม่อนแทบจะไม่เคยพูดอะไรอย่างมีเลศนัยเลยสักนิด แต่ทำไมวันนี้แพทริเซียถึงรู้สึกว่าทุกประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมามันมีนัยซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น ไหนจะแววตาลูกหมาที่มักจะทำให้เขาเชื่ออยู่บ่อย ๆ นั่นอีก วันนี้กลับดูไม่เหมือนเดิมสักนิด
วันนี้ไซม่อนเหมือนจิ้งจอกมากกว่าลูกหมามากกว่า
“อะไรของคุณ วันนี้คุณแปลกจริง ๆ นะเนี่ยคุณไซม่อน”
“อะไรเล่า เราก็พูดจริงนี่ เราอารมณ์ดีที่เห็นคุณแพทอารมณ์ดีนะ”
“หยุดเลย! ไม่ต้องพูดแล้ว!” แพทริเซียแหวใส่อีกคน
และนั่นก็ได้ผล อัลฟ่าหนุ่มทำเพียงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับเขาแล้วยกแก้วชาขึ้นดื่ม แพทเองก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าทำไมเขาถึงแสดงอาการฟึดฟัดใส่คนตรงหน้าได้มากถึงขนาดนี้ จริง ๆ แล้วเขาแค่รู้สึกว่าไม่ชอบเวลาตัวเองเขินหรือกำลังรู้สึกดีมากเกินไปเพราะอีกฝ่ายนั่นแหละ พอได้ยินคำพูดและการกระทำที่มันชวนให้เขินเมื่อไหร่ หัวใจของเขาก็มักจะเต้นแรงผิดปกติจนเขาอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลเลยด้วยซ้ำ แพทยังไม่อยากให้ไซม่อนได้เห็นว่าตัวเขาเองแสดงความรู้สึกออกชัดผ่านภาษากายมากมายขนาดนี้ เขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นนั่นแหละ และการปกปิดอาการเขินอายด้วยความหงุดหงิดมันก็ดูจะได้ผลอยู่เหมือนกัน
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้วที่ไซม่อนและแพทริเซียเอาแต่พูดคุยกันเื่กิจกรรมที่จะทำในวันนี้ หลังจากที่ผ่านการถกเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายทั้งคู่ก็จบที่ตัวเลือกอย่างการพายเรือและปิ้งบาร์บีคิวในตอนเย็น ถึงกิจกรรมในรายการที่ไซม่อนเขียนไว้จะยังมีอีกมากแต่เพราะเวลาที่จำกัดจึงทำให้พวกเขาเลือกได้เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น ไซม่อนบ่นอุบอิบด้วยความเสียดายแต่สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี เพราะเป็เขาเองนั่นแหละที่ถูกจัดตารางเรียนแน่นซะจนแทบไม่มีเวลาทำอะไรเลยสักนิด
“แต่เราก็อยากลองตกปลากับจับแมลง แล้วดูหนังกลางแจ้งอีกล่ะ”
“ไว้วันเสาร์ได้ไหมคุณไซม่อน เราทำทุกอย่างในวันเดียวไม่ได้นะ”
“เราว่างแค่วันอาทิตย์แล้วน่ะสิ”
“วันอาทิตย์นี้เราต้องกลับบ้าน”
ใบหน้าหล่อเหลาของไซม่อนง้ำงอลงทันทีที่ได้ยิน แพทริเซียนึกอยากจะปิดตาตัวเองไม่ให้มองภาพตรงหน้าซะตอนนี้ ริมฝีปากของอัลฟ่าหนุ่มเบะลงเล็กน้อยตามนิสัยประจำของเ้าตัว แพทเองก็ไม่ได้อยากจะทำให้อีกฝ่ายหงอยลงแบบนี้หรอกแต่เพราะตอนที่เข้าสู่่ฮีท เขาแทบจะไม่ได้ติดต่อที่บ้านเลยสักนิดและเขาเองก็อยากกลับไปกอดคุณพ่อกับคุณแม่ใจจะขาดอยู่แล้ว
“เราต้องกลับบ้านจริง ๆ”
“อื้ม เราเข้าใจ”
“แล้วคุณทำหน้าแบบนั้นทำไมกันล่ะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงแ่
“ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าถ้าคุณไม่อยู่จะต้องคิดถึงแน่ ๆ เลย”
เป็อีกครั้งที่ไซม่อนพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย แต่กลับร้อนรนไปถึงคนที่กำลังถูกเอ่ยถึงจนเขาต้องกัดริมฝีปากกลั้นยิ้มไว้และเบิกตากว้างมองค้อนใส่คนตรงหน้าทันที
“ทำไมวันนี้คุณแพทดูหงุดหงิดเราบ่อยจังเลย”
“เราไม่ได้หงุดหงิด!”
“แต่คุณขึ้นเสียง แล้วก็ทำหน้าเหมือนั์ด้วย”
“คุณว่าเราเหมือนั์เหรอไซม่อน?!”
“อื้อ”
“ยังจะมาอื้ออีก เดี๋ยวเถอะ”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิดใจเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็ั์ ั้แ่เกิดมาไม่เคยมีใครเปรียบเทียบเขากับอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ มีแต่ไซม่อนนี่แหละที่มักจะเปรียบเทียบเขากับอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่อย และยิ่งในตอนนี้ที่อีกฝ่ายยังคงทำปากขมุบขมิบราวกับไม่พอใจที่โดนเขาขู่อีกนั่นแหละที่ทำให้แพทริเซียอยากเอื้อมมือไปหยิกสักที เกิดมาเขาก็เพิ่งจะได้เจอคนที่ทำให้เขาทั้งเอ็นดูและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกันก็ตอนนี้แหละ แพทริเซียส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับคนตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่ถูกจัดเตรียมไว้ขึ้นมาสำรวจ และยังไม่ทันที่เขาจะได้อ่านชื่อหนังสือด้วยซ้ำ เ้าของเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นมาอีกจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“คุณแพท”
“อื้อ ว่าไง?” เสียงหวานขานรับ
“เราไม่รู้ว่าคำถามนี้มันแปลกไหม แต่เราสามารถถามคุณได้ทุกเื่ใช่ไหม?”
“ใช่สิ คุณถามเราได้ทุกเื่นั่นแหละ”
“หนังสือเล่มนั้น”
ไซม่อนโพล่งขึ้นมาพร้อมกับชี้หนังสือที่เขากำลังถืออยู่
“ทำไมเหรอ?”
“เขาบอกว่าการที่คนสองคนนัดพบกันหรือมีแผนทำกิจกรรมร่วมกันเพียงลำพัง ถ้าหากไม่ใช่ในฐานะเพื่อนกันมันจะเรียกว่าการออกเดท”
“..”
“แล้วเราสองคนคืออยู่ในฐานะเพื่อนหรือเปล่า?”
หูทั้งสองข้างของแพทริเซียอื้อไปทันทีที่ได้ยินคำถามจากปากของไซม่อน คำถามที่ดูจริงใจแต่แฝงไปด้วยนัยแบบนั้นทำเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ดวงตากลมโตที่มักจะหลบสายตาของอีกฝ่าย ในตอนนี้กลับต้องสบกับั์ตาคมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของคำว่าน้ำท่วมปากจริง ๆ แล้วละ
เอาเข้าจริงแล้ว คำถามของไซม่อนมันไม่ได้ตอบยากเลยสักนิด
ถ้าหากว่าเขาไม่ได้คิดไม่ซื่ออยู่แบบนี้
“เอาเป็ว่าเราจะไปเตรียมเรือก่อนก็แล้วกัน”
“..”
“ระหว่างนี้คุณแพทก็คิดคำตอบให้เราด้วยนะว่าสรุปมันคือเดทหรือเปล่า”
และเป็อีกครั้งที่แพทริเซียรู้สึกเหมือนตัวเองจะหน้ามืดทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนั้นจบ
หากเขาขอพรจากพระเ้าได้ในตอนนี้ เขาคงจะขอให้พระองค์ปิดหูของไซม่อน
เพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นแรงอยู่ในตอนนี้
- Simon’s theory -