Chapter twenty-two: Face to face
“ปกติไม่เคยเห็นอยากกินอะไรแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? คิดอะไรอยู่ถึงสั่งให้ฉันเอาของมาให้เยอะแยะขนาดนี้วะไซม่อน” อัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสีบ่นออกมายาวเหยียดใส่เพื่อนสนิทของตัวเอง เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายจากเจซทำให้ไซม่อนหัวเราะแห้ง ๆ ส่งกลับไปเพียงแค่นั้น
สองมือของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง แม้สาวใช้หลายคนจะเข้ามาอาสาถือของให้แต่ก็ถูกปฏิเสธไปด้วยสายตานิ่งเรียบของไซม่อนอยู่ดี บทสนทนาที่ดำเนินมาั้แ่พบหน้ากันและดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดได้ของเขาและเจซนั้นดูเป็เื่ปกติไปแล้ว ถึงแม้ในสายตาของคนอื่นเจซจะดูเป็คนเงียบและเ็าก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงแล้วอีกฝ่ายนั้นมีอารมณ์ขันและดูจะเข้าสังคมเก่งมากกว่าเขาซะด้วยซ้ำ
เสียงฝีเท้าพร้อมบทสนทนาที่กำลังไหลลื่นนั้นหยุดลงเพราะเขาทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ห้องรับแขกขนาดเล็ก ห้องรับแขกที่ไซม่อนขอไว้เพื่อเป็ห้องรับรองแขกส่วนตัวของเขา และแขกเพียงคนเดียวที่เขามีก็คือเจซนี่แหละ จากในตอนแรกที่เป็ห้องรับรองแขกธรรมดาทั่วไปแต่พอนานวันเข้าก็กลับกลายเป็ห้องที่เอาไว้เล่นสนุกสำหรับเขาและเจซเพียงเท่านั้น ของฝากมากมายที่ได้รับจากเจซถูกตกแต่งไว้บนตู้ขนาดสูงใหญ่ เมื่อมองไปกี่ครั้ง ของทุกชิ้นก็จะทำให้หวนนึกถึงความทรงจำในตอนที่ได้รับมา
ร่างสูงโปร่งของอัลฟ่าตาสองสีทิ้งลงบนโซฟาตัวกว้างอย่างสบายใจ ถุงกระดาษมากมายที่เขาหิ้วมาได้ถูกวางไว้บนโต๊ะกระจกตรงหน้า กลิ่นขนมที่เป็เอกลักษณ์ลอยมาแตะปลายจมูกโด่งของไซม่อนและทำให้เ้าตัวเผยยิ้มกว้างออกมาทันที ในขณะที่เจซนั่งเอนหลังมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่จะดูตื่นเต้นเป็พิเศษกับของตรงหน้า ไซม่อนก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูของในถุงกระดาษทุกใบราวกับว่าจะต้องตรวจสอบมันทุกชิ้นยังไงอย่างนั้น สองมือของเขาค่อย ๆ หยิบจับของในถุงออกมาดูทีละชิ้นอย่างตั้งใจ เสียงดันประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ั้แ่แรกทำให้ทั้งคู่เงยหน้าไปมองเพียงแค่ครู่นึง และเ้าสุนัขขนปุยตัวโตก็เป็ต้นเหตุของเสียงนั้นตามที่พวกเขาคาดไว้จริง ๆ แซมมี่ใช้จมูกของมันดันประตูบานกว้างพร้อมแทรกตัวเองเข้ามาในห้องก่อนจะดันประตูปิดอย่างเฉลียวฉลาด พวงหางของมันส่ายไปมาทันทีเมื่อเห็นว่าเป็เจซที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“ไงแซมมี่” เสียงทุ้มแหบของเจซเอ่ยทักทายก่อนจะตบบนพื้นที่ว่างของโซฟาข้างกายตัวเอง และเ้าซามอยด์ขนฟูก็รีบะโขึ้นไปนั่งข้างเขาพร้อมนอนเกยคางบนหน้าตักอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเจซลูบขนสีขาวราวกับปุยเมฆของมันอย่างทะนุถนอม
“นายรู้อะไรไหมไซม่อน”
“ว่าไง?” คนที่ถูกเรียกชื่อขานรับแต่ยังคงก้มมองที่ถุงตรงหน้าอยู่อย่างนั้น
“ฉันว่าตอนนี้ฉันอุ้มเ้าแซมมี่ไม่ได้แล้วละ”
“ฉันยังอุ้มไม่ไหว นายจะอุ้มไหวได้ยังไง”
“เมื่อก่อนตอนแซมมี่ยังเด็ก ฉันก็เป็คนอุ้มอยู่ตลอด” เจซบ่นพึมพำในลำคอพลางใช้นิ้วลูบเบา ๆ ตามจมูกของแซมมี่ที่กำลังจะเคลิ้มหลับเพราะััของตน
“ตอนนี้มันโตแล้วน่า”
“ก็คงเหมือนนายละมั้ง... นายเองก็โตขึ้นแล้วเหมือนกัน” ไซม่อนเงยหน้าสบตากับเพื่อนสนิทพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“โตแล้วอะไรของนาย?”
“งั้นก็ตอบมาสิว่าของพวกนี้ซื้อให้ใคร”
“เออน่า”
อัลฟ่าหนุ่มทรุดตัวลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันพร้อมกับหลบสายตาของเจซไปมองของในมือของตนแทน เจซอมยิ้มกับท่าทางของไซม่อนก่อนจะส่ายหน้าไปมาให้กับท่าทางที่ดูแปลกไปของเพื่อนสนิท ถ้าเป็ปกติแล้ว ไซม่อนคงจะตอบออกมาได้แบบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้การที่เลี่ยงจะตอบคำถามของเขาั้แ่แรกก็พอจะทำให้ดูออกแล้วละ ว่าคุณครูฝึกสอนคนนั้นน่าจะทำอะไรสักอย่างกับเพื่อนของเขา ไม่อย่างนั้นคนที่แทบจะไม่สนใจอะไรนอกจากตารางเรียนของตัวเองก็คงไม่ขอให้เขาซื้อนั่นนี่ตลอดทั้งอาทิตย์แบบนี้หรอก
ไซม่อนเคยเป็แบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะ
ตลอดทั้งสัปดาห์เจซได้รับสายจากเพื่อนสนิทแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะได้รับสายจากไซม่อนเพียงแค่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือ เฉพาะวันที่เ้าตัวไม่ได้มีเรียนแค่นั้น โดยทุกครั้งก็มักจะเป็การถามไถ่ทั่วไปและมีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่เอ่ยปากขอไปหาอีกฝ่าย แต่พอหลังจากที่แพทริเซียได้เข้ามาสอนที่คฤหาสน์ควินท์เรลก็ดูเหมือนว่าไซม่อนจะไม่ค่อยติดต่อเขาไปเหมือนอย่างเคย และนั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกน้อยใจหรืออะไรเลยสักนิด เพราะเขาคิดว่าไซม่อนคงจะวุ่นวายอยู่กับตารางเรียนที่แน่นของตัวเองและไม่มีเวลาติดต่อกันเหมือนกับที่เคยเป็ จนกระทั่งวันที่เขาได้แอบแวะมาหาไซม่อนที่คฤหาสน์ และบังเอิญไปเห็นว่าเพื่อนสนิทของเขาที่ดูไม่ประสีประสาอะไรเื่เพศตรงข้ามเลยสักนิด กำลังนอนอยู่บนตักของแพทริเซียนั่นแหละจึงทำให้เขาได้เข้าใจ
ไซม่อนไม่ใช่เด็กคนเดิมอีกต่อไปแล้วละ
“แล้ววันนี้คุณมอร์แกนเขาไปไหนแล้วล่ะ?”
“ลาป่วยสองสัปดาห์”
“กลับบ้านเหรอ?”
“อยู่ในห้องของเขานั่นแหละ นายจะถามอะไรนัก” น้ำเสียงหงุดหงิดที่ไซม่อนแทบจะไม่เคยใช้กับเจซเลยสักครั้ง พอเพื่อนสนิทของตัวเองยังคงวนเวียนอยู่แต่กับการพูดถึงคุณครูฝึกสอนของเขาก็ทำให้ความรู้สึกตะหงิด ๆ มันมีขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ แต่ถึงน้ำเสียงเขาจะแสดงออกถึงความไม่พอใจแค่ไหน เจซก็ยังคงเอาแต่หัวเราะเขาอยู่อย่างนั้น และนั่นมันก็ทำให้ไซม่อนหัวเสียไม่ใช่น้อย
“นายหัวเราะอะไรเจซ หน้าฉันมันตลกขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“หน้านายมันไม่ตลกหรอก แต่ท่าทางของนายตอนได้ยินเื่ของคุณมอร์แกนมากกว่าที่ตลก”
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“นายจะไปเห็นตัวเองได้ยังไงกัน”
“ก็ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด”
“งั้นก็ตอบมาสิว่าของทั้งหมดที่ให้ซื้อมานี่ซื้อให้ใคร คุณมอร์แกนเหรอ?”
“ฉันจะไปซื้อให้เขาทำไมกัน”
“แล้วนายซื้อให้ใคร?”
“นายหิวข้าวหรือเปล่า?” ประโยคคำถามที่เอ่ยออกมาทดแทนคำตอบของไซม่อนทำเจซหลุดหัวเราะออกมาได้อย่างง่ายดาย คิ้วขมวดพร้อมกับสายตามองค้อนของอัลฟ่าหนุ่มยิ่งทำให้เ้าของดวงตาสองสีหยุดหัวเราะไม่ได้เลยสักนิด
“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ เจซ แมคคอยด์”
“นี่นายขู่ฉันเหรอ? ฮ่า ๆ”
“เออ ฉันยอมรับ ฉันซื้อให้แพทริเซียนั่นแหละแต่มันน่าตลกตรงไหน”
“ตลกตรงนายไม่ยอมรับนี่แหละไอ้หมา”
“นายนี่มันกวนโอ๊ยจริง ๆ”
ไซม่อนส่ายหัวให้เพื่อนสนิทของตัวเองน้อย ๆ เอาจริงตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการที่เจซพูดถึงแพทริเซียบ่อย ๆ มันถึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจได้มากถึงขนาดนี้ แล้วไหนจะการที่ไม่อยากยอมรับว่าเขาสั่งของให้แพทริเซียนั่นอีก ทั้งที่มันก็ไม่ใช่เื่น่าอายเลยสักนิด แต่ทำไมการยอมรับออกไปตรง ๆ มันถึงดูยากเย็นกับเขาได้ถึงขนาดนี้
กลิ่นขนมโปรดของแพทริเซียที่ได้กลิ่นเมื่อไหร่ก็ชวนให้คิดถึงอีกฝ่ายอยู่ตลอดทุกครั้งที่ได้กลิ่น เวลาตลอดสัปดาห์กว่า ๆ นั้นมันช่างกวนใจเขาซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็เอาแต่เป็ห่วงกลัวว่าโอเมก้าตัวขาวนั่นจะก้าวออกมาจากห้องจนเกิดอันตราย ขนาดตอนที่เดินเล่นอยู่ในสวนกับแซมมี่ เขาก็ยังคงเอาแต่เงยหน้าขึ้นมองระเบียงห้องของแพทอยู่อย่างนั้น
หลังจากคืนนั้นที่เขาแวะเอาของไปให้อีกฝ่าย ไซม่อนก็ไม่ได้ไปที่หน้าห้องของแพทริเซียอีกเลย เพราะตารางเรียนที่ยิ่งอัดแน่นมากขึ้นทุกวันทำให้เขาแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยสักนิด ไซม่อนทำได้เพียงแค่ฝากของทั้งหมดที่ตัวเองซื้อมาให้ผ่านสาวใช้และแนบกระดาษใบเล็กส่งข้อความไปถึงอีกฝ่ายเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้รับกระดาษอะไรตอบกลับมาจากแพทริเซียเลยสักครั้ง ถึงจะได้ยินเื่ราวอาการของแพทจากคุณหมอและสาวใช้คนสนิทของแพทบ้างก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกแปลก ๆ ในใจของเขามันหายไปเลยสักนิด
ความรู้สึกที่เหมือนโดนมดกัดที่หัวใจน่ะ
เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามันคืออะไร
ไซม่อนเอนหลังลงไปกับเบาะโซฟากว้างและหันไปมองเจซที่เพิ่งหยุดหัวเราะไป อีกฝ่ายยังคงเอาแต่ลูบหัวแซมมี่พลางจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น สายตาที่คาดเดาไม่ได้ของเจซนั้นทำไซม่อนเดาไม่ถูกเลยสักครั้งว่าเพื่อนสนิทของตนนั้นคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในใจที่เขาไม่สามารถเอาไปถามใครได้ก็ยังกวนใจเขาจนเขาหลับตาแทบไม่ลง ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งอาทิตย์ทำอัลฟ่าหนุ่มยกมือขึ้นมานวดที่ขมับคลายความปวดที่กำลังเกิดขึ้น หากเขาหาคำตอบของคำถามที่กวนใจเขาอยู่ตลอดเวลาได้มันก็คงดี
แต่มีหวังต้องโดนเจซล้อเป็แน่
มันก็จริงอยู่ที่เขานั้นอ่อนประสบการณ์ด้านความรัก จริง ๆ แล้วประสบการณ์แทบเป็ศูนย์เลยก็ว่าได้ เพราะความรักที่เขาเคยได้รู้จักนั้นมีเพียงความรักจากครอบครัว เพื่อน และสุนัขตัวโปรดอย่างแซมมี่เท่านั้น ส่วนความรักแบบคนรักอย่างที่เคยเห็นในละครหรือตามหนังสือนิยายที่แสนจะหวานเลี่ยนนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาได้เลยสักนิด เพราะเป็เขาที่ไม่เคยได้พบใครนอกจากคนในคฤหาสน์และไม่มีใครมีโอกาสได้มาพบเขาเลยแม้แต่คนเดียว
และการที่จะเรียนรู้เองมันก็เป็เื่ยากเื่หนึ่งสำหรับเขาเช่นกัน การทำความรู้จักความรักและการที่จะเรียนรู้มันนั้นไม่ใช่เื่ที่เขาจะมานั่งท่องจำได้ง่าย ๆ เหมือนวิชาอื่นที่เขาต้องเรียนอยู่ทุกวัน เขาไม่สามารถคำนวณสูตรไหนบนโลกใบนี้เพื่อได้ผลลัพธ์หรือคำตอบของความรัก แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องทำยังไงถึงจะได้ัักับมัน
ความรักแบบคู่รักที่เขาเคยได้เห็นในละครน้ำเน่านั่น
แม้คุณย่าจะเคยพูดถึงคู่ครองในอนาคตของเขาบ้างแล้วก็เถอะ ดูเหมือนกับว่าทุกอย่างจะถูกจัดวางไว้อยู่แล้วและเขาไม่มีสิทธิ์ในการเลือกเส้นทางในอนาคตของตัวเขาเลย ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการต้องถูกจัดแจงอนาคตของตัวเองแบบนั้นสักนิด ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็ยังไง สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงแค่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ผู้สืบทอดตระกูลให้ดีที่สุดเพียงเท่านั้น และสุดท้ายความคิดทั้งหมดมันก็เปลี่ยนไปเพียงเพราะแค่เขาได้เจอกับโอเมก้าอย่างแพทริเซียนั่นแหละ
จากที่ไม่คิดอยากจะเรียนวิชาเฉพาะที่คุณย่าจัดมาให้แต่พอได้เจอกับคุณครูฝึกสอนอย่างแพทก็กลับอยากเข้าเรียนซะอย่างนั้น ถึงแม้ในวันแรกที่พบกันมันจะดูเป็จุดเริ่มต้นที่แย่ไปหน่อยแต่เมื่อเวลาผ่านไปและเขาได้ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายมากขึ้นมันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกดีที่มีต่ออีกฝ่ายมันมากขึ้นทุกวันจนเขาเองก็แปลกใจเหมือนกัน
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดวงตากลมโตคู่นั้นทำอะไรกับเขา
เพียงแค่ได้สบตาก็เหมือนโลกหยุดนิ่งทุกครั้ง
เพียงแค่คิดไซม่อนก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ดวงตาคมชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่กำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยแววตาสงสัย ถึงเขาจะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามเจซก็เถอะ แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเจซจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ยังไง ในเมื่อเจซเองก็ไม่เคยเล่าประสบการณ์เื่ความรักให้เขาฟังเลยสักครั้ง มันคงดูแปลกนิดหน่อยหากอยู่ ๆ เขาก็โพล่งถามเื่นี้ออกไป แถมในตอนนี้เจซก็ยังดูเหมือนกับจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ๆ กับเื่ของแพทริเซียอีก
บางทีการรู้ใจกันมากเกินไปมันก็น่ากลัวเกินไปหน่อย
ดวงตาสองสีที่กำลังจ้องมองใบหน้ามาอย่างไม่วางตาทำเขาต้องเลิกคิ้วส่งกลับไปด้วยความสงสัย แต่เจซก็กลับไม่ถามอะไรมา อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยักคิ้วส่งมาให้ครั้งเดียวแฝงความหมายว่าไม่มีอะไรอย่างรู้กัน แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ไซม่อนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ อัลฟ่าหนุ่มดีดตัวขึ้นมานั่งพร้อมกอดอกตัวเองไว้จนเจซเองก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าแล้วเช่นกัน สถานการณ์ที่ว่าเพื่อนอย่างไซม่อนจะต้องมีอะไรในใจอยู่แน่ ๆ และสิ่งนั้นมันก็กวนใจไซม่อนซะจนเก็บสีหน้าท่าทางไม่อยู่
“มีอะไรก็พูดมา” เสียงทุ้มแหบของอัลฟ่าตาสองสีเอ่ยถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นายเคยมีแฟนไหม?”
“เคย”
“..”
จะเป็ไปได้ยังไง?
ในเมื่อเขาไม่เคยได้ยินเื่พวกนี้จากเจซเลยสักครั้ง
“งงละสิว่าฉันไปมีตอนไหน”
“ใช่”
“เื่มันผ่านมานานแล้วเราเคยรักและต้องจบความสัมพันธ์ไปแค่นั้น”
“ถามได้ไหมว่าทำไมถึงต้องจบ?”
“เพราะมันไม่ควรเกิดั้แ่แรกละมั้ง”
น้ำเสียงของเจซแ่ลงชวนให้ใจหวิวขึ้นมา ถึงแม้อีกฝ่ายจะส่งยิ้มแห้ง ๆ มาให้เขาก็เถอะแต่แววตาและน้ำเสียงนั้นยังคงแสดงถึงความเสียใจที่ปกปิดไว้ไม่มิด พอได้เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทตรงหน้า ความกล้าที่จะถามเื่ที่ติดค้างอยู่ในใจก็ลดลงซะจนไซม่อนไม่กล้าถามอะไรอีกเลย
“ถามแค่นี้เหรอ?”
“อื้ม ถามแค่นี้แหละ” เขาตอบพร้อมพยักหน้าส่งกลับไปให้ด้วยรอยยิ้ม
“นายถามฉันได้ทุกอย่างนะไซม่อน ฉันตอบนายได้”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรถามอะไรก่อน”
“นายกำลังรู้สึกดีกับเขาอยู่ใช่ไหมล่ะ?” เจซเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกวน ๆ ที่ไซม่อนก็ไม่อาจเข้าใจความหมายของมันได้
เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดว่ารอยยิ้มที่แฝงการล้อเลียนแบบนั้นกับการที่เขาจะรู้สึกดีกับแพทริเซียนั้นมันผิดตรงไหน ในเมื่ออีกฝ่ายก็เป็เพื่อนและเป็ครูสอนที่ดีสำหรับเขา ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องรู้สึกแย่กับโอเมก้าตัวขาวนั่นเลยสักนิด
“นายจะยิ้มแบบนั้นทำไม? ฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรือคิดร้ายอะไรกับแพทริเซียสักหน่อย”
“ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“แล้วมันคือยังไง?”
“ความรู้สึกดี ๆ ตอนที่นายได้เจอหน้าเขาน่ะ มันเหมือนกับการที่เจอฉันหรือคนอื่น ๆ หรือเปล่าล่ะ?”
“ฉันไม่เข้าใจ มันจะต่างกันยังไงเจซ”
“งั้นวันนี้นายก็ลองไปมองหน้าเขาสิ เดี๋ยวนายก็ได้คำตอบเองนั่นแหละ”
- Simon’s theory -
หลังจากใช้เวลามื้อเย็นร่วมกับเจซอยู่ครู่ใหญ่จนทำให้เขาเกือบเื่ลืมเื่ราวที่คุยกันไปเมื่อตอนกลางวัน พอได้ระบายออกมาให้เพื่อนสนิทที่รู้ใจกันได้ฟังบ้าง ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งอาทิตย์ก็เหมือนจะหายเป็ปลิดทิ้ง ถึงเจซจะคอยย้ำบอกกับเขาว่าสามารถโทรหาและอีกฝ่ายจะมาหาได้ตลอดทุกเวลาก็เถอะ แต่เพียงแค่ได้ฟังเื่ของเจซ ความกล้าที่จะโทรหาเพื่อนสนิทก็ถูกแทนที่ด้วยความเกรงใจทันที มันไม่ใช่เพียงแค่เขาที่ต้องแบกรับตำแหน่งทายาทคนเดียวและผู้สืบทอดตระกูลที่น่าคาดหวัง แต่เจซก็กำลังแบกรับมันไว้เหมือนกัน
อนาคตของเราทั้งคู่มันสำคัญกับตระกูล
เราถูกปลูกฝังกันมาอย่างนั้น
เสียงถอนหายใจจากไซม่อนดังขึ้นเป็รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน อัลฟ่าหนุ่มหันไปมองเ้าสุนัขขนปุยตัวโตที่ยังนั่งมองรถของบ้านแมคคอยด์ราวกับจะรอจนกว่าให้มันหายลับตาไป ไซม่อนส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเมื่อไหร่แซมมี่ก็ยังคงเห็นเจซเป็เหมือนเ้านายอีกคนอยู่เสมอและไม่มีอะไรเปลี่ยนความซื่อสัตย์ของมันได้เลย ปกติแล้วแซมมี่มักจะไม่เข้าหาคนแปลกหน้าเลยสักนิด ขนาดกับคนในตระกูลเขาก็ยังมีแค่คุณย่าเท่านั้นที่มันมักจะเข้าไปเล่นด้วยอยู่ตลอด แต่กลับกัน พอมันเจอหน้าคุณอาของเขาเมื่อไหร่ก็มักจะมีเสียงขู่ในลำคออยู่ตลอด นี่ก็เป็สิ่งที่เขาแปลกใจมาตลอดเหมือนกัน
แสงไฟจากระเบียงห้องนอนชั้นสองถูกส่องลงมาจนไซม่อนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ประตูระเบียงบานกว้างถูกเปิดออกกว้าง เงาสีดำที่สะท้อนไปมาทำให้เขาได้รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นยังไม่นอน ไวกว่าความคิด สองขายาวก้าวฉับไปพร้อมกับสุนัขขนปุยสีขาว เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินขึ้นมาถึงโถงทางเดินชั้นสอง ถุงกระดาษมากมายที่ถูกตั้งไว้บนโต๊ะสีขาวยังคงถูกวางไว้ด้วยฝืมือของเขาเช่นเดิม ถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยขนมโปรด ข้าวของเครื่องใช้ และหนังสือที่เขาคิดว่าแพทริเซียจะชอบนั่นแหละ
อย่างน้อยก็อาจจะทำให้ความน่าเบื่อของการอยู่แค่ในห้องลดลงบ้าง
สองมือหนาคว้าถุงกระดาษไว้จนเต็มทั้งสองมือและมุ่งหน้าเดินไปยังห้องนอนของแพทริเซีย ห้องนอนที่เขาไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้เดินเฉียดมาร่วมสัปดาห์ อัลฟ่าหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองอย่างประหม่า เขาเอาแต่คิดถึงคำพูดเมื่อกลางวันของเพื่อนสนิทจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสองเท้าของเขามาหยุดที่หน้าประตูบานใหญ่ที่คุ้นเคยเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลิ่นวานิลลาเจือจางผ่านอากาศลอยมาแตะที่ปลายจมูกนั่นแหละ ไซม่อนค่อย ๆ ยกแขนขึ้นเพื่อบังกลิ่นไว้อย่างหักห้ามใจ
ถึงแม้กลิ่นหวานจะชวนให้ดอมดมมากแค่ไหน
แต่เขาก็ไม่ควรจะปล่อยให้ตัวเองเสียการควบคุมแบบนี้
จากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะเคาะประตูเพื่อพบกับคนในห้องสักหน่อย แต่ความคิดทุกอย่างก็ต้องถูกล้มเลิกไปเพียงเพราะแค่กลิ่นหวานที่ชวนให้ใจสั่นแบบนี้ หากเขาและแพทริเซียพบกันในตอนที่เราทั้งคู่สูญเสียการควบคุมมันคงไม่ใช่เื่ดีเลยสักนิด อาการบีบที่หัวใจเล็กน้อยทำไซม่อนต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หลายครั้งที่เขาได้เรียนรู้กับความผิดหวัง แต่ทำไมครั้งนี้มันช่างยากเกินจะหักห้ามใจ เ้าของเส้นผมสีเข้มก้มเอาศีรษะดันไว้กับประตูอย่างแ่เบา ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยกำลังกัดกินหัวใจเขาทีละนิด
ถึงจะไม่อยากยอมรับกับใครก็เถอะ
แต่ในตอนนี้เขาอยากพบหน้าแพทริเซียมากจริง ๆ
ความไม่คุ้นชินที่ไม่ได้เจออีกฝ่ายออกมาเดินเล่นในสวนตอนเช้า ความรู้สึกอ้างว้างเวลาที่เขาไปนั่งเล่นกับแซมมี่สองคนมันกำลังทำร้ายเขาทีละนิดอย่างน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แพทริเซียส่งผลกับความรู้สึกของเขามากมายขนาดนี้ แต่รู้ตัวอีกที การไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายก็ส่งผลกระทบกับเขาเข้าเต็ม ๆ แล้วละ
อัลฟ่าหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเกือบสิบนาทีและสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจแขวนถุงกระดาษทั้งหมดไว้ที่กลอนประตู สองมือหนากำเข้าหากันแน่นอย่างอดทน เพียงแค่เขาได้กลิ่นฟีโรโมนอีกฝ่ายที่เจือจางผ่านอากาศมายังทำให้เขาต้องอดกลั้นได้มากถึงเพียงนี้ แล้วถ้าหากต้องพบหน้ากัน การยับยั้งชั่งใจคงเป็เื่ที่ทำได้อย่างยากลำบาก
หากทุกอย่างมันจะเป็ไปตามสัญชาตญาณ
เขายอมตัดไฟั้แ่ต้นลมยังจะดีกว่า
และในขณะที่ไซม่อนกำลังเดินออกจากหน้าประตูด้วยแววตาละห้อย จู่ ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกลิ่นฟีโรโมนที่ทำอัลฟ่าหนุ่มต้องยกแขนขึ้นมาบังจมูกของตนไว้อีกครั้ง ใบหน้าขาวของโอเมก้าตรงหน้าที่เขาไม่ได้เจอมาพักใหญ่ทำไซม่อนชะงักค้างอยู่อย่างนั้น คำพูดมากมายที่เตรียมไว้เพื่อที่จะบอกอีกฝ่าย ตอนนี้พลันหายลับไปกับดวงตากลมโตคู่นั้นหมดแล้ว
แพทริเซียเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคลุมร่างเล็กของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะมองใบหน้าเขาสลับกับถุงกระดาษมากมายที่แขวนไว้ที่กลอนประตู ไซม่อนใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียวในการมองสำรวจอีกฝ่าย ดวงตากลมโตยังคงดูสดใสเหมือนอย่างเคย แก้มที่ขึ้นสีน้อย ๆ ทำเขาโล่งใจขึ้นมาทันที
อย่างน้อยแพทริเซียก็ไม่ได้ดูแย่ลงอย่างที่เขาคิดไว้
“เอ่อ คือ... เราได้ยินเสียงตะกุกตะกักเลยออกมาดู”
อัลฟ่าหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับประโยคอธิบายจากอีกฝ่ายเท่านั้น ถึงอยากจะพูดก็เถอะ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ กลิ่นฟีโรโมนของแพทเล่นซะเขาปั่นป่วนไปหมดจนต้องกลั้นหายใจไว้ ในตอนนี้เขาคงทำได้เพียงแค่พยักหน้าและส่ายหน้าตอบอีกฝ่ายเท่านั้น
เสียมารยาทชะมัด
“ของพวงนี้คุณไซม่อนเอามาให้เราเหรอ?”
“อื้ม” เขาพยักหน้าตอบกลับไปอีกครั้ง
“ขอบคุณนะคุณไซม่อน... เราดีใจมากเลยที่คุณมา”
คนตัวเล็กเอื้อมไปหยิบถุงกระดาษทั้งหมดมากอดไว้จนเต็มอ้อมแขนและส่งรอยยิ้มน่ารักมาให้เขาแทนคำขอบคุณ เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มและท่าทางแบบนั้น ดูเหมือนว่าฤดูร้อนจะทำงานอย่างหนักในคฤหาสน์ควินท์เรลแล้วละมั้ง ใบหูของเขาเริ่มร้อนผ่าวจนเป็สีแดงก่ำ ก้อนเนื้อที่หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นแรงมากกว่าตอนเขาออกกำลังกายซะอีก
“คุณไซม่อนไม่สบายเหรอ? ทำไมหน้าคุณแด-”
“คุณแพท ฟังนะ”
“หือ?”
ไซม่อนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยประโยคยาวเหยียดที่ทำให้โอเมก้าตัวขาวต้องยืนนิ่งด้วยความใ
“อย่าพยายามเปิดประตูระเบียงบ่อยนักเพราะกลิ่นมันลอยไปตามอากาศ ขนาดเราอยู่ข้างล่างยังได้กลิ่นคุณเลย แล้วก็ทานยาให้ตรงเวลาซะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่เป็อะไร เราเตรียมขนมกับข้าวของเครื่องใช้ที่มันอาจจะจำเป็กับคุณไว้ให้ในถุง มีหนังสือนิยายที่คุณน่าจะชอบด้วย ถ้าไม่ชอบก็บอกได้จะได้ไปเปลี่ยนให้ อย่างสุดท้าย รีบหายจะได้รีบมาสอนเราสักที แซมมี่เหงามาก แล้วเราก็จะรอไปพายคายัคกับคุณก่อนจะหมดฤดูร้อนนะ ราตรีสวัสดิ์คุณแพทริเซีย”
แต่ยังไงก็เถอะ นี่มันเป็หนทางเดียวที่อัลฟ่าอย่างเขาจะต้องทำเพื่อหลีกหนีอาการแปลก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขาในตอนนี้
“ฮะ.. คุณไซม่อน เดี๋ยวสิ”
ไซม่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมถึงตัดสินใจวิ่งออกมาจากที่หน้าห้องนอนของอีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่ได้ฟังคำบอกลาแบบนั้น มันไม่ใช่เพียงเพราะกลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่ายที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัว แต่เขารู้สึกเพียงแค่ว่าถ้าหากเขายังคงอยู่ตรงนั้นต่อไป เขาอาจจะต้องหยุดหายใจไปก่อนเพราะหัวใจที่เต้นแรงเกินไปแน่ ๆ และเขาเองก็มั่นใจดีว่าอาการและความรู้สึกเหล่านี้มันไม่เคยเกิดขึ้นตอนที่เขาได้เจอหน้าใครมาก่อน
ความรู้สึกคิดถึงจนอยากจะกอดแน่น ๆ สักครั้งน่ะ
- Simon’s theory -