“พูดจบหรือยัง? ถ้าจบแล้วก็เงียบปากเสีย!” ฉินเจิ้นถิงตวาดเสียงกร้าวพร้อมเผยไอสังหารปะทุออกจากร่าง
“เ้าฉินจวิ้นถึงกลับออกหน้างั้นหรือ คิดสังหารคนรุ่นเยาว์ หาก้าจะสู้ ข้าอวิ๋นซื่อเทียนยินดีเล่นเป็เพื่อนเอง!” แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของอวิ๋นซื่อเทียน จากนั้นเขาเดินออกมาพร้อมวาดฝ่ามือโจมตีทันที แม้อยู่ในถิ่นของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทว่ากลับกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก
ดวงตาของฉินเจิ้นถิงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นเขาวาดฝ่ามือโจมตีเช่นกัน ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูง พลังฝ่ามือที่ปล่อยออกไปย่อมน่ากลัว
เมื่อเข้าปะทะกัน คลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วลานประลอง ผู้อ่อนแอบางส่วนถึงกับต้องหลบหนี หาไม่แล้วพวกเขาจะถูกคลื่นพลังที่น่าทึ่งนั่นเขมือบกิน ทั้งฉินเจิ้นถิงและอวิ๋นซื่อเทียนต่างถอยหลังไปคนละก้าว ดูจากภายนอกฝีมือดูสูสี แต่ในความเป็จริงอวัยวะภายในร่างกายของอวิ๋นซื่อเทียนสั่นคลอนอย่างรุนแรง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น
“เ้าอวิ๋นซื่อเทียนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับข้า!” ฉินเจิ้นถิงกล่าวพลางแสยะยิ้ม ขณะมองอวิ๋นซื่อเทียนด้วยสายตาดูแคลน
“ดี ดีมาก ข้าอวิ๋นซื่อเทียนจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว!” อวิ๋นซื่อเทียนตาเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นหันไปมองไห่มั่วเฟิงและซูอวี่ “พวกเราไป!”
ไห่มั่วเฟิงและซูอวี่เป็ใคร แล้วจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าอวิ๋นซื่อเทียนอับอายในการปะทะครั้งนี้ พวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงส่งสัญญาณให้คนของพวกเขา จากนั้นคนของทั้งสามกองกำลังก็ะโขึ้นสัตว์อสูรเพลิง
อวิ๋นซื่อเทียนชำเลืองมองฉินเจิ้นถิงและเย่เฟิงก่อนพูดว่า “หวังว่าในงานชุมนุมหวงปั่ง เ้าฉินเจิ้นถิงจะโอหังแบบนี้!”
ในขณะเดียวกันมู่เยี่ยนมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน “ถึงสวะเช่นเ้าจะคว้าอันดับที่ 1 ในงานประลองสำนักยุทธ์ แต่ทางที่ดีเ้าอย่าโผล่หัวไปที่งานชุมนุมหวงปั่ง หาไม่แล้วเ้าจะไม่ได้ตายดีแน่!”
หลังสิ้นเสียงของทั้งสองคน ทั้งสามกองกำลังโดยมีสำนักศึกษาเสินเจียงเป็ผู้นำก็ขี่สัตว์อสูรเพลิงออกไป โดยทิ้งเหล่าผู้คนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้โกรธอยู่เช่นนั้น อาจกล่าวได้ว่าการปรากฏตัวของพวกอวิ๋นซื่อเทียนได้ก่อกวนความไม่สงบให้สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ขณะเดียวกันยังสาดน้ำเย็นใส่เหล่าศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทำให้พวกเขารู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
หากบอกว่าเย่เฟิงโดดเด่นที่สุดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่เทียบกับมู่เยี่ยน เซี่ยวหวู่ฉิง และไป๋หลีซวนก็ยังคงด้อยกว่า นี่ก็คือช่องว่างที่กล่าวถึง แม้แต่กับอัจฉริยะชั้นยอด ระหว่างพวกเขาก็ยังคงมีช่องว่างเช่นกัน เย่เฟิงในเวลานี้ยังมีพลังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับคนอย่างมู่เยี่ยน
หลังจากงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจบลงอย่างเป็ทางการ บรรดาศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนและผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังอื่น ๆ ของเมืองหลวงต่างก็แยกย้ายกันไป
มีหลายคนมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือกแฝงจิตสังหาร ซึ่งล้วนแต่เป็กองกำลังที่เย่เฟิงไปล่วงเกินคนของพวกเขาในการประลอง พวกเขาจึงอยากกำจัดเย่เฟิงเพื่อแก้แค้นให้กับคนรุ่นเยาว์ของกองกำลัง รวมไปถึงตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน และจวนเซิ่งอ๋องอีกด้วย
เย่เฟิงทำให้จ้าวเฉินอ๋องเล็กและจวนเซิ่งอ๋องอับอายขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าในงานประลอง จวนเซิ่งอ๋องย่อมเคียดแค้นชิงชังเป็อย่างมาก หากมีโอกาสต้องลงมือกำจัดอย่างไร้ความปรานีใด ๆ
ตู๋กูหลงและเฉินอ้าวเทียนคืออัจฉริยะที่เก่งที่สุดของสองกองกำลังอย่างตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉิน แต่เมื่อสิ้นสุดงานประลอง คนหนึ่งกลับถูกฆ่าตาย ส่วนอีกคนถูกทำลายการบ่มเพาะ สำหรับตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉินแล้ว มันคือความสูญเสียครั้งใหญ่ นับจากนี้พวกเขาจะสูญเสียยอดฝีมือที่เก่งที่สุดไป ดังนั้นความชิงชังที่ตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉินมีต่อเย่เฟิงจึงมีมากมายมหาศาล ั้แ่วันนี้ไปเย่เฟิงคือศัตรูตัวฉกาจที่สองตระกูลนี้หมายหัว
“เย่เฟิง เ้าเป็ไรไหม!” เมื่อเย่เฟิงเดินลงจากเวทีประลอง ฉินเยียนหรานและคนอื่นก็เดินมาหา
“ไม่เป็ไร” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม ก่อนหน้านี้เย่เฟิงได้รับาเ็จากการต่อสู้กับตู๋กูหลง และได้รับาเ็อีกครั้งจากการปะทะกับมู่เยี่ยนเมื่อครู่นี้ ทำให้อาการเขาสาหัสขึ้นไปอีก หากไม่มีพลังรักษาจากิญญาาวิหคเทพะที่มอบให้เขา เกรงว่าชีวิตตนคงหาไม่ไปนานแล้ว
“เย่เฟิง ยินดีด้วย!” ฉินเจิ้นถิงเดินมาหาเย่เฟิงพร้อมแสดงความยินดี
“ผู้น้อยต้องขอบคุณผู้าุโฉินที่ช่วยเหลือ” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับให้ฉินเจิ้นถิง
“ไม่เป็ไร!” ฉินเจิ้นถิงทำท่าโบกมือ แล้วกล่าวต่อว่า “การแสดงของเ้าในงานประลองครั้งนี้น่าทึ่งมาก แต่ก็ยังสร้างศัตรูไว้มากทีเดียว เพราะงั้นนับจากวันนี้ไปเ้าต้องระวังตัวให้มาก ๆ ตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน และจวนเซิ่งอ๋องคงทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเ้า เช่นนั้นเ้าก็พยายามอย่าออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกล่ะ!”
“ข้าจะพยายาม” เย่เฟิงพยักหน้าให้ฉินเจิ้นถิง จากนั้นมีเงาร่างเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากอ้อมแขนของเย่เฟิง เย่เฟิงก็ลูบตัวมันที่มีขนนุ่มนิ่มพลางยิ้ม “เ้าตัวเล็ก ่นี้เ้าเป็ไงบ้าง?”
“เมี้ยว!” เ้าตัวเล็กส่ายหัวไปมาเผยท่าทีขุ่นเคือง
“เย่เฟิง ปีศาจน้อยนี่คือสัตว์อสูรอะไรหรือ แล้วมันมาจากไหน?” การปรากฏตัวของเ้าตัวเล็กได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย ฉินเจิ้นถิงเผยสีหน้าสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้น
“เ้าตัวเล็กคือสัตว์อสูรคู่หูที่ข้าพามาจากเขาเทียนเสวียน ส่วนร่างแท้จริงเป็สิ่งใดข้าก็ยังทราบไม่แน่ชัด” เย่เฟิงกล่าว ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในเขาเทียนเสวียนก็รู้สึกว่าเ้าตัวเล็กนี่แตกต่างจากสัตว์อสูรทั่ว ๆ ไป ตัวเล็กน่ารักเพียงนี้ แต่กลับเชื่อฟังว่าง่าย แม้แต่บรรดาปีศาจพิภพที่อาศัยอยู่ในเขาเทียนเสวียนก็ยังไม่รู้ร่างที่แท้จริงของเ้าตัวเล็กว่าเป็สิ่งใด แล้วนับประสาอะไรกับเขา
“เ้าตัวเล็กนี่น่ารักจัง” ฉินเยียนหรานเดินมาแล้วอุ้มเ้าตัวเล็กพลางลูบขนนุ่มนิ่มของมัน ตอนที่เย่เฟิงออกจากเขาเทียนเสวียน ฉินเยียนหรานก็สังเกตเห็นเ้าตัวเล็กนี่แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางดีใจที่เย่เฟิงรอดชีวิตมาได้ จึงไม่ได้สนใจมัน
เ้าตัวเล็กกะพริบตาปริบ ๆ และทำตัวน่ารักขณะฉินเยียนหรานลูบตัวมัน จากนั้นมันทำท่าหาวหวอดตาปรือเหมือนง่วงนอน
“เอาเถอะ คิดว่าเ้าคงเหนื่อยกับงานประลองมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันเ้าค่อยมาพบข้า ข้าจะพาเ้าไปที่ที่หนึ่ง” ฉินเจิ้นถิงกล่าวกับเย่เฟิง
“ขอรับ” เย่เฟิงกล่าวพลางพยักหน้า “ผู้าุโ เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน”
ฉินเจิ้นถิงหันไปมองฉินเยียนหราน “เด็กน้อย เ้าจะกลับไปกับข้า หรือจะอยู่ที่เขตศิษย์สายนอกต่อ?”
“ข้าจะกลับที่พักของข้า” ฉินเยียนหรานตอบกลับอย่างไม่ลังเล แม้ฉินเยียนหรานจะมีฐานะไม่ธรรมดาในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่นางหวังพึ่งพาทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่อยากให้บิดาตนช่วยเหลือใด ๆ ดังนั้นนางจึงเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนด้วยฐานะศิษย์สายนอก ไร้ซึ่งอภิสิทธิ์ใด ๆ กระทั่งมีไม่กี่คนที่รู้ว่านางคือบุตรสาวของฉินเจิ้นถิง
“ดี!”
เมื่อได้ยินคำตอบของบุตรสาว ฉินเจิ้นถิงก็ยิ้มแห้งๆ เขามองฉินเยียนหรานกับเย่เฟิงสลับไปมาด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้วสินะ เห็นทีเ้าคงกำลังตามหาสามีของตัวเอง!”
“ท่านพ่อ พูดอะไรน่ะ...”
มีหรือฉินเยียนหรานจะไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดาตนพูด ใบหน้าพลันแดงระเรื่อ จากนั้นส่งเ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ในอ้อมแขนให้เย่เฟิงก่อนจะเดินออกไป
“เ้าเด็กคนนี้นี่นะ!” ขณะมองแผ่นหลังของบุตรสาวตนที่รีบเดินออกไป ฉินเจิ้นถิงก็ยิ้มแฝงความหมายลึกซึ้ง จากนั้นหันไปมองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “ลูกสาวข้ามีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่เคยหวั่นไหวกับชายใด ไม่รู้ว่าเ้าไปทำอะไรกับนางถึงได้หลงเสน่ห์เ้าเยี่ยงนี้?”
“เอิ่ม...” ขณะมองฉินเจิ้นถิง จู่ ๆ รอยหยักสองสามเส้นก็ปรากฏบนหน้าผากของเย่เฟิงคล้ายรู้สึกอึดอัด และไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปเช่นไร
แต่จากนั้นพอเย่เฟิงกลับถึงที่พักก็เริ่มรักษาาแทันที รอบนี้อาการไม่เบา แต่ดีที่เขานำเม็ดยากลับมาจากเขาเทียนเสวียนไม่น้อย และด้วยพลังรักษาจากิญญาาวิหคเทพะ การรักษาาแนี้จึงไม่ใช่ปัญหา
งานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนสิ้นสุด ข่าวลือมากมายถูกแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง หนึ่งในข่าวลือเ่าั้ทำให้บุคคลระดับสูงของตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉินโมโห ถึงกับถ่ายทอดคำสั่งให้สังหารเย่เฟิงด้วยตัวเอง ตราบใดที่คนของตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉินพบเจอเย่เฟิง จักต้องฆ่าเย่เฟิงทันทีโดยไม่สนใจวิธีใด ๆ
เห็นชัดว่าตู๋กูหลงและเฉินอ้าวเทียนเป็ตัวแปรสำคัญในตระกูลของตนเอง นอกจากตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉินแล้ว จวนเซิ่งอ๋องยังจ้องหาโอกาสกำจัดเย่เฟิง สาเหตุไม่ได้มาจากจ้าวเฉินอับอายขายหน้าเพราะเย่เฟิงในงานประลองเพียงอย่างเดียว แต่ฐานะลูกหลานตระกูลเย่ของเย่เฟิงทำให้เซิ่งอ๋องเกิดความสนใจ ในฐานะผู้ทำลายล้างตระกูลเย่ในปีนั้น เซิ่งอ๋องจะปล่อยให้ลูกหลานตระกูลเย่เติบโตได้อย่างไร ในวันนั้นเขาจึงส่งคนไปสืบข้อมูลเื่เย่เฟิงทันที
ขณะเดียวกันงานชุมนุมหวงปั่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว คนรุ่นเยาว์มากมายจากกองกำลังต่าง ๆ ในอาณาจักรจ้าวเริ่มเดินทางมาที่เมืองหลวงก่อนล่วงหน้า เพื่อใช้เวลาที่เหลือทำความคุ้นเคยกับเมืองหลวงและหาประสบการณ์เพิ่มเติม
ดังนั้นบรรยากาศในเมืองหลวงจึงเริ่มครึกครื้น อัจฉริยะจากทั่วสารทิศมารวมตัว เพื่อเตรียมตัวต้อนรับการมาของยุครุ่งเรือง
