แสงสายัณห์สลัวสาดลงบนรถม้าที่โคลงไปมา
เฉินโย่วไม่ได้คิดจะรีบกลับไปบนูเาหลงยวนถึงขนาดนั้น
แม้ว่าวันนี้นางจะมีคำถามอีกมากมาแสงสายัณห์สลัวสาดลงบนรถม้าที่โคลงไปมา
เฉินโย่วไม่ได้คิดจะรีบกลับไปบนูเาหลงยวนถึงขนาดนั้น
แม้ว่าวันนี้นางจะมีคำถามมากมายอัดแน่นอยู่ในหัว
ทว่าบัดนี้เมื่อรถม้าของนางถูกสกัดเช่นนี้ นางก็มีความคิดอยากจะรั้งอยู่ด้านนอกต่ออีกสักหน่อย
นางเองก็อยากเข้าไปชื่นชมความเจริญสักหน่อย
นางอยากจะลืมภาพเ้าของเรือนผมสีหมึกยาวสยายที่ยืนอยู่อย่างอ้างว้างในตำหนักรกร้างนั้น
ตำหนักรกร้างเป็แค่ส่วนเล็กๆ ของวังหลวง เป็เพียงส่วนเล็กๆ ในชีวิตที่นางเคยได้พบเห็น ทว่านางกับรู้สึกราวกับที่นั่นช่างอ้างว้างยิ่งกว่าทุ่งหญ้าที่แสนหนาวเหน็บ เพียงแต่นางก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ แม้ในใจจะสับสนเพียงใดก็ตาม
นางคิดจะรั้งอยู่ต่อ ดังนั้นจึงได้ลงจากรถม้า
นางะโลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้องรอให้คนมาคุกเข่ารอให้เหยียบลงจากรถม้า
ยามนี้นางเริ่มจะเข้าสู่่วัยสาวแล้ว ไม่ได้ก้าวสั้นๆ เช่นในยามที่ยังเป็เด็กเล็กอีก ขาเรียวยาวของนางะโลงจากรถม้าเพียงครั้งเดียวก็ลงมายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว กระทั่งหากให้อุ้มคนลงมาด้วยอีกสักคนก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไร
แน่นอนว่าเฉินโย่วไม่จำเป็ต้องแบกใครลงมาด้วย เพียงเท่านี้นางก็ดูรูปงามเกินใครแล้ว กระทั่งหลินเฟินที่มีแผนร้ายอยู่ในใจ บัดนี้ยังไม่กล้าจะมองหน้านางตรงๆ ด้วยซ้ำ
ในใจก็พึมพำว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านลุงท่านน้าที่หลังออกจากหอเฟิงเยว่แล้ว ยังอยากจะไปเรือนหนานเฟิงต่อ
บุรุษเพศที่งดงามถึงเพียงนี้ ไม่ว่าใครก็คงหลงใหลเสียจนอยากจะเปลี่ยนความชอบกันทั้งนั้น
“เฉินโย่ว พวกเรามารอรับเ้าไปกินอาหารอร่อย” หลินเฟินรู้จักหอเฟิงเยว่เป็อย่างดี ดังนั้นจึงค่อนข้างจะรู้งาน ต่อให้รู้สึกอึ้งอยู่ก็ยังสามารถเอ่ยปากขึ้นมาก่อนได้
เฉินโย่วพยักหน้า
แต่คนรอบข้างที่ได้ยินเช่นนั้นต่างพากันหัวเราะหึๆ
“พอดีเลย อาหารในวังหลวงรสชาติแย่เหลือเกิน ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะกินหัวสิงโตน้ำแดงเสียหน่อย”
น้ำเสียงของเฉินโย่วใสกังวาน
หลิวช่างเชอก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรก จึงยังค่อนข้างขวยเขินเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงคนอื่นๆ หัวเราะ ใบหน้าก็พลันแดงก่ำขึ้น เดิมทีเขาเองก็ไม่อยากมาที่นี่ ทว่าเมื่อได้ยินหลินเฟินบอกว่าลู่เฉินโย่วจะมาด้วย เขาก็อยากตามมาด้วยอย่างบอกไม่ถูก
ท่านพ่อของเขาพอรู้เื่ก็อารมณ์ดีนัก หลังจากเขาเข้าเรียนในชั้นเรียนเตรียมความพร้อมแล้วก็รู้จักเข้าสังคมกับเขาเสียที ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้บอกท่านพ่อว่าจะมาหาลู่เฉินโย่ว
หลงเชิงหั่วบัดนี้ไม่ได้มีท่าทีเคร่งขรึมดังเช่นปกติ ในยามปกติเพราะต้องแบกชื่อเสียงของท่านปู่เอาไว้ เขาจึงต้องรักษาภาพลักษณ์ของชนชั้นสูง ทว่าบัดนี้แววตาเคร่งครัดกลับทอประกาย ทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าหอเฟิงเยว่แห่งนี้ช่างเย้ายวนใจเขาเหลือเกิน
เหล่าเด็กหนุ่มไม่ได้รั้งอยู่ที่หน้าประตูต่อ ต่างพากันติดตามเฉินโย่วเดินเข้าไปด้านในหอเฟิงเยว่
หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ย่อมต้องเป็หอเฟิงเยว่ที่อยู่ใกล้กับสำนักเชิน
แน่นอนว่าหอเฟิงเยว่แท้จริงแล้วไม่ใช่หอเพียงหอเดียว แต่เป็หอสูงเรียงยาวหลายหลัง
ด้านในยังมีการแบ่งระดับ และเขตอย่างชัดเจน
ที่นี่ทำงานกันอย่างเชี่ยวชาญนัก มีทั้งสำหรับต้อนรับขุนนาง ต้อนรับพ่อค้า หรือจะเป็สำหรับต้อนรับคนธรรมดานักกวีก็มี กระทั่งสำหรับต้อนรับเหล่าบุตรชายจากชนชั้นสูงก็มีแยกเป็อีกส่วน
เหล่าพี่สาวด้านในล้วนแบ่งลำดับขั้นกันอย่างเคร่งครัด
ลำดับที่ต่ำที่สุดคือขั้นที่สี่ นางโลมขั้นนี้จำเป็จะต้องอุทิศร่างกายขายเนื้อหนัง ไม่มีอิสระในการเลือกแขก ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร ส่วนหน้าตาก็ล้วนแต่ดาษดื่นทั่วไป
ต่อมาคือนางโลมขั้นที่สาม เหล่าพี่สาวก็ยังต้องขายเนื้อหนังเป็หลัก ทว่ายังพอจะมีความรู้ด้านกวีอยู่เล็กน้อย พวกนางสามารถเข้าร่วมงานสังสรรค์ของบุคคลทั่วไปได้ หรือจะให้พวกนางทำการแสดงร่ายรำก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับสตรีในขั้นนี้ก็ยังไม่มีอิสระในการเลือกแขก ทว่าสามารถให้ลูกค้าช่วยไถ่ถอนตัวได้
ลำดับต่อมาคือนางโลมขั้นที่สอง สตรีประเภทนี้มีจำนวนมากที่สุด
นางโลมขั้นที่สองมีอิสระในระดับหนึ่ง ทุกคนล้วนแต่มีความสามารถพิเศษ ไม่ว่าจะเป็ในด้านกวี ขับลำนำ ร่ายรำหรือเดินหมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ถูกนำออกมาขายแทนเนื้อหนัง ด้วยสตรีขั้นที่สองขายศิลปะไม่ขายเนื้อหนัง ทว่าหากพวกนางพบเจอคนที่ถูกอกถูกใจ แล้วพวกนางยินยอมเองก็เป็ไปได้เช่นกัน โดยหนทางส่วนใหญ่ของพวกนางมักจะเป็การออกจากหอเฟิงเยว่ไปเป็อนุของขุนนางชั้นสูง
ส่วนสตรีที่ผู้คนพากันเฝ้าฝันมากที่สุดในหอเฟิงเยว่คือนางคณิกาชั้นหนึ่ง
นางคณิกาเหล่านี้จะไม่ขายเนื้อหนังเป็อันขาด
เหล่านางคณิกากล่าวได้ว่าเชี่ยวชาญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็พิณ หมาก อักษร วาดภาพ พวกนางล้วนแต่เป็เลิศ ทั้งยังต้องเรียนมารยาทและพิธีการกันมาั้แ่ยังเล็ก ในด้านนี้จึงไม่ด้อยกว่าเหล่าคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์แม้แต่น้อย
เหล่านางคณิกาล้วนแต่มีอิสระในตัวเอง สามารถเลือกคนที่อยากบริการได้ กระทั่งท่านอ๋องหรือคนรวยเพียงใดพวกนางก็ล้วนแต่สามารถปฏิเสธได้ สตรีเหล่านี้แม้แต่การเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ยังเคยมีให้เห็น
ด้วยเพราะขั้นสูงสุดของหญิงคณิกาคือการเป็หญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์ เล่ากันว่ายามบวงสรวงแคว้นต้องให้หญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์เป็ผู้ร่ายรำยามบวงสรวง
ตำแหน่งของหญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์จึงเป็ที่น่าเลื่อมใสนัก ชื่อเสียงก็สูงส่งตาม แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีตำแหน่งที่เรียกว่าหญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทว่าในอดีตตำแหน่งนี้ย่อมจะต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน
หลินเฟิน และคนอื่นๆ ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งขุนนางรุ่นที่สอง จึงล้วนแต่เป็บุตรที่ครอบครัวตามอกตามใจที่สุด เช่นนั้นเหล่านางโลมทั่วไปพวกเขาจึงเคยเห็นมาหมดแล้ว ทว่ากระทั่งพวกเขา ต่อให้อยากจะพบนางคณิกาสักคนก็ยังนับว่าแสนจะยากเย็น
วันนี้พวกเขาจึงได้เรียกเฉินโย่วมา ด้วยเพราะอยากจะอาศัยบารมีของเฉินโย่วเข้าไปในหอมู่เหยียนเพื่อชมเหล่านางคณิกาให้เป็ขวัญตา ด้วยพวกนางเ่าั้นับว่าเป็กลุ่มคนที่มีหน้ามีตาที่สุด ทั้งยังมีตำแหน่งสูงที่สุด และเชื่อถือได้ที่สุดในหอเฟิงเยว่
เฉินโย่วเดินตามหลินเฟินและคนอื่นๆ ไป เพราะย่ำสายัณห์แล้ว ยามมองไปยังหอต่างๆ ที่เรียงราย ก็เห็นโคมไฟค่อยๆ ถูกจุดขึ้น ดูแล้วเป็ภาพที่งดงามราวกับกำลังย่างกายเข้าไปในท้องฟ้าที่ดารดาษด้วยหมู่ดาวก็ไม่ปาน
กลิ่นหอมของอาหารโชยมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสตรี มีกลิ่นกระดาษ และหมึกปนมาด้วยจางๆ
หอเฟิงเยว่ดูหรูหราเป็อย่างยิ่ง ดูจากภายนอกย่อมจะดูไม่ออก แต่เมื่อเข้ามาข้างในกลับรู้สึกสบายอย่างน่าประหลาด
เฉินโย่วยามอยู่บนูเากระดูกเห็นเพียงชายชราจุดโคมไฟที่ขาเป๋และตาบอด ทว่าที่นี่คนจุดโคมไฟกลับเป็แม่นางน้อยรูปร่างสะโอดสะอง ดวงตาทั้งคู่ก็ยังกระจ่างใสอยู่
เ้าของเอวบางๆ นั้นกำลังเหยียดกายขึ้นจุดโคมไฟทีละดวง
ราวกับว่าเพียงพริบตาก็มีสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ประเดี๋ยวเดียวก็อันตรธานไปพร้อมกัน
เดิมทีหลินเฟินเดินนำอยู่หน้าสุด ทว่าไม่ทันรู้ตัวก็เปลี่ยนมาให้เฉินโย่วเดินอยู่ตรงกลางเสียแล้ว
ข้อแรกก็เพราะเฉินโย่วรูปงาม
ข้อสองก็เพราะเฉินโย่วอายุน้อยที่สุด ทั้งยังรูปงาม
ข้อสามก็เพราะเฉินโย่วนั้นทั้งมีชีวิตชีวาดูแล้วน่ารัก อีกทั้งยังรูปงาม
เอาเถิด ถึงอย่างไรคนรูปงามยามอยู่ในแคว้นเชินก็ไร้ศัตรู สามารถใช้ความงามเป็อาวุธได้อีก ไม่ว่าจะในสำนักเชินหรือในหอเฟิงเยว่ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน
เฉินโย่วเดินนำหน้าไปบนถนนที่ปูไปด้วยกรวดหิน ผ่านทั้งสะพานเล็กๆ ศาลานั่งพักและหอสูง
ไม่จำเป็ต้องแนะนำอะไร เด็กชายก็เดินนำไปถึงหอมู่เหยียนโดยตรง
เมื่อมาถึงหน้าหอแล้ว
เฉินโย่วก็หลับตาลง
ท่าทางราวกับกำลังเมามาย
เด็กหนุ่มชุดขาวทำท่าทางเคลิบเคลิ้ม ยังไม่ทันจะได้เจอสตรีก็มีท่าทีหมกมุ่นเสียแล้ว
ท่าทีนั้นบดบังหลินเฟินไปเสียสิ้น
“เ้าเคยมาที่นี่มาก่อนหรือ”
เฉินโย่วส่ายหน้า
“ที่นี่มีของอร่อย ข้าได้กลิ่นแล้ว”
อู๋ต้าห้าวที่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสจะพูดแทรกสักครา เมื่อได้ยินคำของเฉินโย่วก็รีบพยักหน้าตาม “ข้าก็ได้กลิ่นเหมือนกัน เหมือนจะเป็หัวสิงโตน้ำแดง กลิ่นช่างหอมน่ากินนัก”
ท่านลุงของเขาเป็ชือหลางแห่งกรมยุทธนาการ ท่านลุงมีแต่บุตรสาว
ในอดีตเคยมีบุตรชาย ทว่าก็สิ้นไปในาเสียแล้ว
ท่านลุงจึงได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนมดุจบุตรชายแท้ๆ
ส่วนท่านพ่อของเขาเป็คนธรรมดา เคยเป็พ่อครัวที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
พ่อครัวนั้นเป็อาชีพที่ต่ำต้อย ทั้งยังต้องใช้แรงงาน
เขาเองเดิมทีก็ต้องสืบทอดอาชีพของบิดากลายเป็พ่อครัวคนหนึ่ง
ทว่าต่อมาพี่ชายของท่านพ่อ ท่านลุงของเขาได้ตามหาตัวท่านพ่อพบ พวกเขาจึงได้พลอยได้รับบารมีของท่านลุงจนมีหน้ามีตาไปด้วย
ส่วนท่านพ่อนับแต่นั้นก็ไม่เป็พ่อครัวในหอสุราอีก ทว่ายามอยู่ในเรือนท่านพ่อก็ไม่ยอมลงครัวเช่นกัน
เดิมทีเขาไม่ต้องพูดถึงสำนักเชิน กระทั่งสำนักสอนเลี้ยงสัตว์เขาก็ยังไม่กล้าฝัน ครานี้เขาที่เข้าเรียนในชั้นเรียนเตรียมพร้อมก็ล้วนแต่ได้ท่านลุงเป็คนลงแรงไปไม่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าคนที่เหลือก็เหมือนจะััได้ถึงกลิ่นหอมของอาหารเช่นกัน
ไม่ทันได้ตั้งตัว ท้องของเหล่าเด็กหนุ่มก็ร้องโครกคราก
ขณะนั้นเองประตูของหอมู่เหยียนก็เปิดออก
ผู้ผลักประตูให้เปิดออกเป็โฉมงามนางหนึ่ง
เอวกิ่ว อกอวบอัด ขาเรียวยาว ยามเหมันต์ที่หนาวเสียดกระดูกเช่นนี้ ร่างของสตรีตรงหน้ากลับมีผ้าผืนเดียวพันไว้ ร่างขาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“คุณชายน้อยทั้งหลายจะเข้ามาหรือไม่เ้าคะ”
โฉมงามเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหยาดเยิ้ม ขาเรียวยาวของนางเกี่ยวประตูเอาไว้ ดูแล้วราวกับนางงูตัวหนึ่งที่กำลังเลื้อยเกาะประตูอยู่ก็ไม่ปาน ท่าทีอ้อนแอ้นนั้นชวนให้คนมองแล้วตาลายคอแห้งไปหมด
ยที่อยากถามอัดแน่นอยู่ในหัว
ทว่าบัดนี้เมื่อรถม้าของนางถูกสกัดเช่นนี้ นางก็มีความคิดอยากจะรั้งอยู่ด้านนอกต่ออีกสักหน่อย
นางเองก็อยากจะเข้าไปชื่นชมความเจริญสักหน่อย
นางอยากจะลืมภาพเ้าของเรือนผมสีหมึกยาวสยายที่ยืนอยู่อย่างอ้างว้างในตำหนักรกร้างนั้น
ตำหนักรกร้างเป็แค่ส่วนเล็กๆ ของวังหลวง เป็เพียงส่วนเล็กๆ ในชีวิตที่นางเคยได้พบเห็น ทว่านางกับรู้สึกราวกับที่นั่นช่างอ้างว้างยิ่งกว่าทุ่งหญ้าที่แสนหนาวเหน็บ เพียงแต่นางก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ แม้ในใจจะสับสนเพียงใดก็ตาม
นางคิดจะรั้งอยู่ต่อ ดังนั้นจึงได้ลงจากรถม้า
นางะโลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้องรอให้คนมาคุกเข่ารอให้เหยียบลงจากรถม้า
ยามนี้นางเริ่มจะเข้าสู่่วัยสาวแล้ว ไม่ได้ก้าวสั้นๆ เช่นในยามที่ยังเป็เด็กเล็กอีก ขาเรียวยาวของนางะโลงจากรถม้าเพียงครั้งเดียวก็ลงมายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว กระทั่งหากให้อุ้มคนลงมาด้วยอีกสักคนก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไร
แน่นอนว่าเฉินโย่วไม่จำเป็ต้องแบกใครลงมาด้วย เพียงเท่านี้นางก็ดูรูปงามเกินใครแล้ว กระทั่งหลินเฟินที่มีแผนร้ายอยู่ในใจ บัดนี้ยังไม่กล้าจะมองหน้านางตรงๆ ด้วยซ้ำ
ในใจก็พึมพำขึ้นมาว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านลุงท่านน้าที่หลังออกจากหอเฟิงเยว่แล้ว ยังอยากจะไปเรือนหนานเฟิงต่อ
บุรุษเพศที่งดงามถึงเพียงนี้ ไม่ว่าใครก็คงหลงใหลเสียจนอยากจะเปลี่ยนความชอบกันทั้งนั้น
“เฉินโย่ว พวกเรามารอรับเ้าไปกินอาหารอร่อย” หลินเฟินรู้จักหอเฟิงเยว่เป็อย่างดี ดังนั้นจึงค่อนข้างจะรู้งาน ต่อให้รู้สึกอึ้งอยู่ก็ยังสามารถเอ่ยปากขึ้นมาก่อนได้
เฉินโย่วพยักหน้า
แต่คนรอบข้างที่ได้ยินเช่นนั้นต่างพากันหัวเราะหึๆ
“พอดีเลย อาหารในวังหลวงรสชาติแย่เหลือเกิน ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะกินหัวสิงโตน้ำแดงเสียหน่อย”
น้ำเสียงของเฉินโย่วใสกังวาน
หลิวช่างเชอก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรก จึงยังค่อนข้างจะขวยเขินเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงคนอื่นๆ หัวเราะ ใบหน้าก็พลันแดงก่ำขึ้น เดิมทีเขาเองก็ไม่อยากมาที่นี่ ทว่าเมื่อได้ยินหลินเฟินบอกว่าลู่เฉินโย่วจะมาด้วย เขาก็อยากจะตามมาด้วยอย่างบอกไม่ถูก
ท่านพ่อของเขาพอรู้เื่ก็อารมณ์ดีนัก หลังจากเขาเข้าเรียนในชั้นเรียนเตรียมความพร้อมแล้วก็รู้จักเข้าสังคมกับเขาเสียที ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้บอกท่านพ่อว่าจะมาหาลู่เฉินโย่ว
หลงเชิงหั่วบัดนี้ไม่ได้มีท่าทีเคร่งขรึมดังเช่นปกติ ในยามปกติเพราะต้องแบกชื่อเสียงของท่านปู่เอาไว้ เขาจึงต้องรักษาภาพลักษณ์ของชนชั้นสูง ทว่าบัดนี้แววตาเคร่งครัดกลับทอประกาย ทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าหอเฟิงเยว่แห่งนี้ช่างเย้ายวนใจเขาเหลือเกิน
เหล่าเด็กหนุ่มไม่ได้รั้งอยู่ที่หน้าประตูต่อ ต่างพากันติดตามเฉินโย่วเดินเข้าไปด้านในหอเฟิงเยว่
หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้าย่อมต้องเป็หอเฟิงเยว่ที่อยู่ใกล้กับสำนักเชิน
แน่นอนว่าหอเฟิงเยว่แท้จริงแล้วไม่ใช่หอเพียงหอเดียว แต่เป็หอสูงเรียงยาวหลายหลัง
ด้านในยังมีการแบ่งระดับและเขตอย่างชัดเจน
ที่นี่ทำงานกันอย่างเชี่ยวชาญนัก มีทั้งสำหรับต้อนรับขุนนาง ต้อนรับพ่อค้า หรือจะเป็สำหรับต้อนรับคนธรรมดาจิตรกรก็มี กระทั่งสำหรับต้อนรับเหล่าบุตรชายจากชนชั้นสูงก็มีแยกเป็อีกส่วน
เหล่าพี่สาวด้านในล้วนแบ่งลำดับขั้นกันอย่างเคร่งครัด
ลำดับที่ต่ำที่สุดคือขั้นที่สี่ นางโลมขั้นนี้จำเป็จะต้องอุทิศร่างกายขายเนื้อหนัง ไม่มีอิสระในการเลือกแขก ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร ส่วนหน้าตาก็ล้วนแต่ดาษดื่นทั่วไป
ต่อมาคือนางโลมขั้นที่สาม เหล่าพี่สาวก็ยังต้องขายเนื้อหนังเป็หลัก ทว่ายังพอจะมีความรู้ด้านกวีอยู่เล็กน้อย พวกนางสามารถเข้าร่วมงานสังสรรค์ของบุคคลทั่วไปได้ หรือจะให้พวกนางทำการแสดงร่ายรำก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับสตรีในขั้นนี้ก็ยังไม่มีอิสระในการเลือกแขก ทว่าสามารถให้ลูกค้าช่วยไถ่ถอนตัวได้
ลำดับต่อมาคือนางโลมขั้นที่สอง สตรีประเภทนี้มีจำนวนมากที่สุด
นางโลมขั้นที่สองมีอิสระในระดับหนึ่ง ทุกคนล้วนแต่มีความสามารถพิเศษ ไม่ว่าจะเป็ในด้านกวี ขับลำนำ ร่ายรำหรือเดินหมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ถูกนำออกมาขายแทนเนื้อหนัง ด้วยสตรีขั้นที่สองขายศิลปะไม่ขายเนื้อหนัง ทว่าหากพวกนางพบเจอคนที่ถูกอกถูกใจ แล้วพวกนางยินยอมเองก็เป็ไปได้เช่นกัน โดยหนทางส่วนใหญ่ของพวกนางมักจะเป็การออกจากหอเฟิงเยว่ไปเป็อนุของขุนนางชั้นสูง
ส่วนสตรีที่ผู้คนพากันเฝ้าฝันมากที่สุดในหอเฟิงเยว่คือนางคณิกาชั้นหนึ่ง
นางคณิกาเหล่านี้จะไม่ขายเนื้อหนังเป็อันขาด
เหล่านางคณิกากล่าวได้ว่าเชี่ยวชาญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็พิณ หมาก อักษร วาดภาพ พวกนางล้วนแต่เป็เลิศ ทั้งยังต้องเรียนมารยาทและพิธีการกันมาั้แ่ยังเล็ก ในด้านนี้จึงไม่ด้อยกว่าเหล่าคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์แม้แต่น้อย
เหล่านางคณิกาล้วนแต่มีอิสระในตัวเอง สามารถเลือกคนที่อยากบริการได้ กระทั่งท่านอ๋องหรือคนรวยเพียงใดพวกนางก็ล้วนแต่สามารถปฏิเสธได้ สตรีเหล่านี้แม้แต่การเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ยังเคยมีให้เห็น
ด้วยเพราะขั้นสูงสุดของหญิงคณิกาคือการเป็หญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์ เล่ากันว่ายามบวงสรวงแคว้นต้องให้หญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์เป็ผู้ร่ายรำยามบวงสรวง
ตำแหน่งของหญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์จึงเป็ที่น่าเลื่อมใสนัก ชื่อเสียงก็สูงส่งตาม แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีตำแหน่งที่เรียกว่าหญิงคณิกาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทว่าในอดีตตำแหน่งนี้ย่อมจะต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน
หลินเฟินและคนอื่นๆ ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งขุนนางรุ่นที่สอง จึงล้วนแต่เป็บุตรที่ครอบครัวตามอกตามใจที่สุด เช่นนั้นเหล่านางโลมทั่วไปพวกเขาจึงเคยเห็นมาหมดแล้ว ทว่ากระทั่งพวกเขา ต่อให้อยากจะพบนางคณิกาสักคนก็ยังนับว่าแสนจะยากเย็น
วันนี้พวกเขาจึงได้เรียกเฉินโย่วมา ด้วยเพราะอยากจะอาศัยบารมีของเฉินโย่วเข้าไปในหอมู่เหยียนเพื่อชมเหล่านางคณิกาให้เป็ขวัญตา ด้วยพวกนางเ่าั้นับว่าเป็กลุ่มคนที่มีหน้ามีตาที่สุด ทั้งยังมีตำแหน่งสูงที่สุด และเชื่อถือได้ที่สุดในหอเฟิงเยว่
เฉินโย่วเดินตามหลินเฟินและคนอื่นๆ ไป เพราะย่ำสายัณห์แล้ว ยามมองไปยังหอต่างๆ ที่เรียงราย ก็เห็นโคมไฟค่อยๆ ถูกจุดขึ้น ดูแล้วเป็ภาพที่งดงามเหลือเกิน ราวกับกำลังย่างกายเข้าไปในท้องฟ้าที่ดารดาษด้วยหมู่ดาวก็ไม่ปาน
กลิ่นหอมของอาหารโชยมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสตรี มีกลิ่นกระดาษและหมึกปนมาด้วยจางๆ
หอเฟิงเยว่ดูหรูหราเป็อย่างยิ่ง ดูจากภายนอกย่อมจะดูไม่ออก แต่เมื่อเข้ามาข้างในกลับรู้สึกสบายอย่างน่าประหลาด
เฉินโย่วยามอยู่บนูเากระดูกเห็นเพียงชายชราจุดโคมไฟที่ขาเป๋และตาบอด ทว่าที่นี่คนจุดโคมไฟกลับเป็แม่นางน้อยรูปร่างสะโอดสะอง ดวงตาทั้งคู่ก็ยังกระจ่างใสอยู่
เ้าของเอวบางๆ นั้นกำลังเหยียดกายขึ้นจุดโคมไฟทีละดวง
ราวกับว่าเพียงพริบตาก็มีสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ประเดี๋ยวเดียวก็อันตรธานไปพร้อมกัน
เดิมทีหลินเฟินเดินนำอยู่หน้าสุด ทว่าไม่ทันรู้ตัวก็เปลี่ยนมาให้เฉินโย่วเดินอยู่ตรงกลางเสียแล้ว
ข้อแรกก็เพราะเฉินโย่วรูปงาม
ข้อสองก็เพราะเฉินโย่วอายุน้อยที่สุด ทั้งยังรูปงาม
ข้อสามก็เพราะเฉินโย่วนั้นทั้งมีชีวิตชีวา ดูแล้วน่ารัก อีกทั้งยังรูปงาม
เอาเถิด ถึงอย่างไรคนรูปงามยามอยู่ในแคว้นเชินก็ไร้ศัตรู สามารถใช้ความงามเป็อาวุธได้อีก ไม่ว่าจะในสำนักเชินหรือในหอเฟิงเยว่ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน
เฉินโย่วเดินนำหน้าไปบนถนนที่ปูไปด้วยกรวดหิน ผ่านทั้งสะพานเล็กๆ ศาลานั่งพักและหอสูง
ไม่จำเป็ต้องแนะนำอะไร เด็กชายก็เดินนำไปถึงหอมู่เหยียนโดยตรง
เมื่อมาถึงหน้าหอแล้ว
เฉินโย่วก็หลับตาลง
ท่าทางราวกับกำลังเมามาย
เด็กหนุ่มชุดขาวทำท่าทางเคลิบเคลิ้ม ยังไม่ทันจะได้เจอสตรีก็มีท่าทีหมกมุ่นเสียแล้ว
ท่าทีนั้นบดบังหลินเฟินไปเสียสิ้น
“เ้าเคยมาที่นี่มาก่อนหรือ”
เฉินโย่วส่ายหน้า
“ที่นี่มีของอร่อย ข้าได้กลิ่นแล้ว”
อู๋ต้าห้าวที่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสจะพูดแทรกสักครา เมื่อได้ยินคำของเฉินโย่วก็รีบพยักหน้าตาม “ข้าก็ได้กลิ่นเหมือนกัน เหมือนจะเป็หัวสิงโตน้ำแดง กลิ่นช่างหอมน่ากินนัก”
ท่านลุงของเขาเป็ชือหลางแห่งกรมยุทธนาการ ท่านลุงมีแต่บุตรสาว
ในอดีตเคยมีบุตรชาย ทว่าก็สิ้นไปในาเสียแล้ว
ท่านลุงจึงได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนมดุจบุตรชายชายแท้ๆ
ส่วนท่านพ่อของเขาเป็คนธรรมดา เคยเป็พ่อครัวที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
พ่อครัวนั้นเป็อาชีพที่ต่ำต้อย ทั้งยังต้องใช้แรงงาน
เขาเองเดิมทีก็ต้องสืบทอดอาชีพของบิดา กลายเป็พ่อครัวคนหนึ่ง
ทว่าต่อมาพี่ชายของท่านพ่อ ท่านลุงของเขาได้ตามหาตัวท่านพ่อพบ พวกเขาจึงได้พลอยได้รับบารมีของท่านลุงจนมีหน้ามีตาไปด้วย
ส่วนท่านพ่อนับแต่นั้นก็ไม่เป็พ่อครัวในหอสุราอีก ทว่ายามอยู่ในเรือนท่านพ่อก็ไม่ยอมลงครัวเช่นกัน
เดิมทีเขาไม่ต้องพูดถึงสำนักเชิน กระทั่งสำนักสอนเลี้ยงสัตว์เขาก็ยังไม่กล้าฝัน ครานี้เขาที่เข้าเรียนในชั้นเรียนเตรียมพร้อมก็ล้วนแต่ได้ท่านลุงเป็คนลงแรงไปไม่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าคนที่เหลือก็เหมือนจะััได้ถึงกลิ่นหอมของอาหารเช่นกัน
ไม่ทันได้ตั้งตัว ท้องของเหล่าเด็กหนุ่มก็ร้องขึ้นมา
ขณะนั้นเองประตูของหอมู่เหยียนก็เปิดออก
ผู้ผลักประตูให้เปิดออกเป็โฉมงามนางหนึ่ง
เอวกิ่ว อกอวบอั๋น ขาเรียวยาว ยามเหมันต์ที่หนาวเสียดกระดูกเช่นนี้ ร่างของสตรีตรงหน้ากลับมีผ้าผืนเดียวพันไว้ ร่างขาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“คุณชายน้อยทั้งหลายจะเข้ามาหรือไม่เ้าคะ”
โฉมงามเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหยาดเยิ้ม ขาเรียวยาวของนางเกี่ยวประตูเอาไว้ ดูแล้วราวกับนางงูตัวหนึ่งที่กำลังเลื้อยเกาะประตูอยู่ก็ไม่ปาน ท่าทีอ้อนแอ้นนั้นชวนให้คนมองแล้วตาลายคอแห้งไปหมด