โคมไฟสีแดง
ประตูไม้บานใหญ่
หน้าประตูมีสตรีผิวขาวราวกับหิมะยืนอยู่
ยามได้เห็นสตรีนางนี้ กระทั่งหลินเฟินที่กล่าวว่าตนเป็ผู้เชี่ยวชาญในหอเฟิงเยว่ก็ยังอดหน้าแดงไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นยามนี้ร่างอรชรยังยืนอยู่ตรงหน้าเฉินโย่ว
เดิมทีเขายังคิดว่าถ้าแสดงตัวออกนอกหน้าเกินไปจะทำให้เหล่าสหายร่วมชั้นเรียนดูถูกหรือไม่
ทว่าหากทำท่าทีเขินอายก็คงถูกหัวเราะเยาะเป็แน่
ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่เขามาเยือนหอมู่เหยียน เมื่อมาถึงแล้วก็ยังมีคนเปิดประตูต้อนรับอีก
เหล่าคุณชายในกลุ่มล้วนแต่เป็บุตรของผู้มีอำนาจ ทรัพย์สินที่มีในมือย่อมจะต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน ทว่าหอมู่เหยียนแห่งนี้พวกเขาล้วนแต่ไม่เคยมาเยือน
ยิ่งเมื่อได้พบกับสตรีตรงหน้า ก็ทำให้ยิ่งรู้สึกราวกับพรหมลิขิต
มีอยู่หลายคราที่ท่านพ่อ และพี่ชายของพวกเขาได้เชิญเหล่านางคณิกาไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ทว่าทุกคราพวกเขาก็ล้วนแต่ปฏิบัติกับพวกนางด้วยความเคารพราวกับแขก ท่าทีล้วนเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ดังนั้นจึงไม่เคยพาพวกเขาไปด้วยสักครา
ทั้งนางคณิกาเหล่านี้ยังไม่ออกมาพบใครง่ายๆ ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าพวกนางช่างลึกลับ
ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะมีคนมาเปิดประตูให้ตน
แม่นางที่เดินมาเปิดประตูให้นั้นยังเลอโฉมนัก
แม่นางร่างแบบบางทำทีอ่อนระทวยจนไม่อาจยืนตรงได้ ทำให้พวกเขานึกอยากอยากจะยื่นมือออกไปช่วยพยุง
กระทั่งเด็กหนุ่มแสนเ้าชู้อย่างหลินเฟินมือไม้ก็เก้ๆ กังๆ ไปหมดไม่รู้จะทำเช่นไร
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
อู๋ต้าห้าวที่เพิ่งจะพูดเื่หัวสิงโตน้ำแดงไปเมื่อครู่ บัดนี้ก็ได้แต่ใบหน้าแดงซ่าน หันไปมองทางอื่นแทน ไม่กล้ามองหน้าสตรีใต้โคมไฟนางนั้นอีก
ส่วนหลงเชิงหั่วก็ทำตัวสุภาพเรียบร้อย สายตาแน่วแน่จ้องมองสตรีขาเรียวใต้แสงรำไร พลันดวงตาก็ค่อยๆ ทอประกาย
เขาผู้ที่ภาคภูมิใจกับท่านปู่ และท่านตาที่เป็ขุนนางเสมอมา ด้วยคนหนึ่งนั้นเป็ถึงช่างชู่แห่งกรมราชทัณฑ์ ส่วนอีกคนนั้นเป็ถึงเสนาบดี ตลอดทางจึงได้แสดงท่าทีของปัญญาชนชั้นสูงที่หยิ่งผยองเ็า สำรวมวาจา รวมถึงบัดนี้ยามที่อยู่กับสหายก็ทำให้เขายิ่งสงบเสงี่ยมกว่าเดิม แม้แววตานั้นจะยังดูเย็นเยียบ แต่ติ่งหู และใบหูของเด็กหนุ่มกลับแดงเถือก
เหล่าคุณชายที่เดินทางมาที่นี่เพราะคำร่ำลือ บัดนี้กลับไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดสักคน
แม่นางท่าทางยั่วยวนที่ยืนอยู่หน้าประตู บัดนี้จึงยกมือข้างเรียวงามของตนขึ้นปิดปาก แล้วหัวเราะเบาๆ
เรียวแขนขาวยามอยู่ใต้แสงเทียนดูราวกับสะท้อนแสงได้
ทั้งยังดูนวลเนียนราวกับหยกเนื้อดี
ดูแล้วราวกับปีศาจงูที่แสนยั่วยวนตัวหนึ่ง
ร่างนั้นเลื้อยไปกับบานประตู
บัดนี้หลินเฟินกำลังไตร่ตรองว่าจะเอ่ยปากเช่นไร ทันใดก็เห็นเฉินโย่ววิ่งโผไปราวกับกางปีก กอดหมับเข้ากับร่างอรชรของพี่สาวตรงหน้า
ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ได้แต่เบิกตาโพลงจ้องมองเด็กชายตรงหน้าอย่างโง่งม
กระทั่งเ้าของร่างบางนั้นก็รู้สึกโง่งมขึ้นมาเช่นกัน
พี่สาวแสนสวยนางนั้นได้แต่ยืนงง ทว่าใบหน้าขาวเนียนกลับค่อยๆ ซับสีเืขึ้นมา
“น่ารังเกียจนัก คุณชายน้อยออกแรงเยอะถึงเพียงนี้ บ่าวเจ็บไปหมดแล้ว…”
น้ำเสียงหวานนุ่มของสตรีดังขึ้น ดวงตาคู่งามที่คลอไปด้วยน้ำตาเหลือบมองเฉินโย่วอย่างน่าสงสาร
“อ้อมกอดของพี่สาวช่างแข็งเหลือเกิน” เฉินโย่วเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าไร้เดียงสา นางเห็นพี่สาวแสนสวยยืนไม่ตรงราวกับงูตัวหนึ่งที่กำลังเลื้อยอยู่ คราแรกจึงได้คิดจะพุ่งตัวเข้าไปจับนางมัด
ทว่าเมื่อพุ่งเข้าไปแล้วก็พบว่าสตรีตรงหน้าไม่ใช่งูอย่างที่คิด เพียงแต่เมื่อมาถึงตรงหน้านางก็ทำตามความเคยชิน ยื่นมือออกไปลองหยิกพี่สาวนางนี้คราหนึ่ง
ความจริงแล้วคนอื่นๆ เมื่อเห็นท่าทางของเฉินโย่วก็ทั้งอิจฉาทั้งใ คิดในใจว่าเ้าเด็กนี่ช่างรนหาที่ตายเสียจริง
เหล่านางคณิกาล้วนแต่ขายศิลปะไม่ขายร่างกาย ทว่าสหายร่วมชั้นของเขาเพียงได้พบกันคราแรกก็ลงมือเสียแล้ว เช่นนี้พวกเขาจะไม่โดนตะเพิดออกไปได้อย่างไร
ทว่าเมื่อพวกเขาหันไปมองพี่สาวแสนสวย ก็เห็นนางช้อนตาขึ้นมองเฉินโย่วอีกครา จากนั้นจึงได้ยินเสียงสะอื้นของนางดังขึ้นเบาๆ สายตานั้นหลังจากที่หยุดอยู่ที่เฉินโย่วครู่หนึ่งก็หันหน้ากลับไปพร้อมกับเอวบางที่เอี้ยวหนีเช่นกัน
“หากคุณชายน้อยรังเกียจว่ากั่วเอ๋อร์ไม่ดีพอ เช่นนี้คุณชายลองไปเยือนห้องของกั่วเอ๋อร์ดีหรือไม่เ้าคะ กั่วเอ๋อร์จะสวมชุดคาดอกที่คนในเมืองหลวงกำลังนิยมกันให้คุณชายดู”
ทว่านางนั้นเอี้ยวกายหนีไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกดึงกลับไป
ผู้ที่ดึงก็ยังคงเป็เฉินโย่ว
“พี่กั่วเอ๋อร์ ท่านบอกข้าแค่ว่าที่ใดมีข้าวให้กินก็พอ เื่อื่นไม่จำเป็ต้องรบกวนท่านหรอก” เฉินโย่วกล่าวไป มือก็จับเรียวแขนขาวของอีกฝ่ายไว้
ใบหน้างามของเ้าของเรียวแขนปรากฏแววกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ที่แท้ก็ยังมีคุณชายที่มาที่นี่เพื่ออาหารจริงๆ ช่างหยาบคายนัก
“มีในโถงเ้าค่ะ บัดนี้กำลังรับรองแขกผู้มีเกียรติกันอยู่พอดี หากว่าเหล่าคุณชายไม่รังเกียจ ก็เข้าไปพร้อมกับกั่วเอ๋อร์ได้” โฉมงามเอ่ยเชิญชวนด้วยท่าทีเปี่ยมมารยาท
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าแม่นางตรงหน้าแท้จริงแล้วไม่ได้ใช้ผ้าพันกายอย่างลวกๆ ทว่าบนกายนางนั้นคือชุดที่ถูกตัดให้เหมือนผ้าผืนหนึ่งที่รัดกายนางเอาไว้แน่น ไม่อาจดึงให้หลุดได้โดยง่าย
หลินเฟิน และคนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกการกระทำของเฉินโย่วบดบังรัศมีไปหมดสิ้น
เดิมทีเขาอยากจะพาเฉินโย่วที่มาจากพื้นที่ห่างไกลมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ทว่าไม่คาดคิดว่าท่าทีของอีกฝ่ายจะดูคุ้นเคยกับเื่พรรค์นี้ ทั้งยังดูเหนือชั้นกว่าเขาเสียอีก
ในเมื่อโฉมงามได้เอ่ยเชิญอย่างจริงจัง เฉินโย่วก็ตอบรับไมตรีอย่างรู้มารยาทเช่นกัน
เมื่อได้ยินว่าในโถงมีอาหารให้กิน เฉินโย่วก็รีบพุ่งตัวไปทันที
โฉมงามกั่วเอ๋อร์ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดิมทีนางมองเห็นเหล่าคุณชายมาจากในหอ คุณชายที่เดินนำหน้ามาช่างสะดุดตานัก ตอนนั้นนางยังตื่นใเห็นเขาเป็ชาว์ จึงได้รีบยื้อแย่งออกมาเปิดประตูทันที
ไม่คาดคิดว่าจะถูกเด็กหนุ่มล้อเล่นเช่นนี้
คุณชายตรงหน้าไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย เอาแต่คิดเื่อาหารเท่านั้น
ในหอแห่งนี้นางได้ชื่อว่าเป็อันดับหนึ่งด้านการร่ายรำ เรียกได้ว่าแทบจะเทียบเท่ากับปีศาจงูใบบทละครชุดขององค์หญิงก็ว่าได้
นางฝึกฝนร่างกายมาอย่างยากลำบาก ถึงขั้นนำงูมาเลี้ยงเพื่อเลียนแบบท่าทาง
ทว่าบัดนี้กลับโดนอีกฝ่ายเมินเสียได้
แต่จะว่าไปก็ไม่อาจเรียกได้ว่าถูกเมิน เพราะคุณชายตรงหน้ายังคงกุมมือนางเอาไว้
กั่วเอ๋อร์ไม่รู้จะกล่าวอันใด เพราะมือของคุณชายน้อยที่กุมมือนางเอาไว้ช่างอ่อนนุ่มเหลือเกิน
ทั้งคุณชายน้อยคนนี้ยังดูงดงามกว่านางเสียอีก
ยามที่มืออ่อนนุ่มคู่นั้นกุมมือของนางเอาไว้ นางก็ได้แต่ใจเต้นโครมคราม ใบหน้าพลันร้อนลวกขึ้นมา
“คุณชายน้อยมีนามว่ากระไรหรือเ้าคะ”
“ข้ามีนามว่าลู่เฉินโย่ว ส่วนคนเหล่านี้คือสหายร่วมชั้นเรียนของข้า แต่ให้พวกเขาแนะนำตัวเองเถิด ข้าเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน”
เหล่าคนด้านหลัง “…”
“คุณชายลู่ช่างน่าสนใจจริงๆ เ้าคะ เพียงแต่ผู้ที่มาเยือนหอมู่เหยียนเป็ครั้งแรกจำเป็ต้องผ่านการทดสอบ จึงจะสามารถพบกับเหล่าพี่สาวในหอได้นะเ้าคะ”
“พี่สาวเ่าั้งามหรือไม่” เฉินโย่วมองพี่สาวตรงหน้าแล้วถามขึ้น
กั่วเอ๋อร์มองเด็กหนุ่มตรงหน้าตนแล้วก็เห็นว่าเขากำลังจ้องมองหน้าอกของนางอยู่ แววตานั้นช่างใสสะอาด ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ได้
“กั่วเอ๋อร์รูปร่างผอมบาง จึงทำได้เพียงแค่นำทางแขกที่มาเยือนเท่านั้น ส่วนเหล่าพี่สาวในหอล้วนแต่หน้าตางดงามกว่ากั่วเอ๋อร์เป็พันเท่า ทั้งหน้าอกก็ใหญ่กว่ากั่วเอ๋อร์มากเช่นกัน” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย แม่นางกั่วเอ๋อร์ก็หน้าแดงขึ้นมา แววตาที่จ้องมองเฉินโย่วช่างแสนอ่อนโยน
“พี่กั่วเอ๋อร์อย่าถ่อมตนไปเลย ข้าน้อยคิดว่าพี่สาวเองก็งดงามมากเช่นกัน” หลินเฟินในที่สุดก็เลิกนิ่งใบ้ กลับมามีสติสนทนากับอีกฝ่าย
ถึงขั้นที่เริ่มจะเรียนรู้จากสหาย คิดจะจูงมือพี่สาวด้วยเช่นกัน
ทว่าเมื่อยื่นมือออกไปกลับโดนพี่สาวเบี่ยงหลบเสียได้
กระทั่งชายเสื้อก็ยังไม่อาจัั
เขาไม่รู้ว่าแม่นางกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้านี้แท้จริงแล้วสถานะของนางในหอนี้ไม่ธรรมดา จึงไม่มีใครสามารถััร่างกายได้โดยง่าย
ทว่าบัดนี้กลับถูกเฉินโย่วกุมมือเอาไว้แน่น
แม้ใบหน้านางยังคงประดับท่าทีอ่อนโยนเอาไว้ แต่ในใจเต็มไปด้วยโทสะ และความฉงน
จวบจนนางจูงเฉินโย่วมาถึงโถงใหญ่ เหล่าพี่สาวคนอื่นๆ ในหอมู่เหยียนก็พากันตื่นตะลึง
แม่นางหลินกั่วเอ๋อร์นางนี้คือผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเป็ที่สุด ทุกท่วงท่าของนางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน ทว่าบัดนี้กลับมาตัวติดหนึบกับเด็กหนุ่มเสียได้
รอจนเด็กหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น
ทั้งโถงจึงพากันเงียบเสียงลงทันที
หลินกั่วเอ๋อร์คือยอดหญิงงามพราวเสน่ห์ ทั้งยังฝึกฝนร่างกายเสียจนราวกับปีศาจงู
เมื่อวันเวลาผ่านไป นางก็ได้กลายเป็หญิงคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอเฟิงเยว่
ทว่าบัดนี้ความงามของนาง ก็ยังไม่อาจต้านทานรัศมีของเด็กหนุ่มข้างกายได้
เพียงเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น คนอื่นๆ ต่างก็ลงความเห็นว่าความงามของกั่วเอ๋อร์นั้นมีแต่จะขับเน้นความงามของเด็กหนุ่มราวกับนางเป็แค่ใบไม้สีเขียว การปรากฏตัวของเขาราวกับทำให้เมฆหมอกพลันผุดพรายขึ้นมารอบด้าน ท่าทีผ่าเผยเหนือสามัญทำให้เขางามดุจดอกเหมยที่เบ่งบานอย่างท้าทายอยู่ลำพังท่ามกลางหิมะหนาในเหมันต์ฤดู เพียงแค่ได้เห็นเขาก็แทบจะจำความงดงามอื่นๆ ในชีวิตไม่ได้อีกเลย