“พวกเ้าไม่รู้สึกหรือว่าข้าโเี้อำมหิต” นางถามเสียงเรียบ ไม่หันศีรษะกลับไป กลิ่นอายความห่างเหิน หม่นมัวและอ้างว้างแผ่กำจายออกมาทั่วร่าง
“คุณหนูอวี้ทำร้ายคุณหนูไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เมื่อวานยังวางแผนเล่นงานหมายทำร้ายท่านให้ถึงตาย ทั้งยังคิดทำลายชื่อเสียง วันนี้สตรีร้ายกาจผู้นั้นก็ได้รับกรรมที่ตนเองก่อแล้ว หากนางไม่คิดทำร้ายคุณหนูจะล้มไปชนก้อนหินได้อย่างไร นี่คง้าทำให้คุณหนูเสียโฉมกระมัง คิดไม่ถึงว่ากรรมจะตามสนองเร็วเพียงนี้” โม่หลันเห็นท่าทางเศร้าหมองของโม่เสวี่ยถงก็รู้สึกสงสารจับใจ คุณหนูที่เป็เช่นนี้ชวนให้รู้สึกปวดใจยิ่งกว่ายามอ่อนแอเสียอีก
ไม่ว่าจะเมื่อครู่นี้หรือเมื่อวาน อวี้ซือหรงก็ไม่มีเจตนาดี หากนางทำสำเร็จ ทั้งชีวิตของคุณหนูก็นับว่าถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว สตรีเช่นนี้สมควรได้รับผลกรรมแล้ว
“ข้าก็คิดเช่นนั้น จึงได้ทำแบบนี้” โม่เสวี่ยถงปิดเปลือกตาลง ริมฝีปากทอยิ้มเย็นะเื ตนเองจะใจอ่อนได้อย่างไร อวี้ซือหรงคิดทำให้นางเสียโฉม หากไม่หลบ หรือจะให้นางยืนรอคนมาผลักเพื่อทำลายโฉมหน้าของตนเอง
นางไม่มีวันลืมว่าตนเองกลับมาเพื่อแก้แค้น ชาติก่อนใครติดหนี้ตนเองไว้ นางจะต้องเอาคืนให้ครบทั้งต้นทั้งดอก กับอวี้ซือหรงนี่เป็เพียงการเอาคืนส่วนหนึ่งเท่านั้น รอยยิ้มที่ริมฝีปากชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หัวใจของนางล้วนกลายเป็น้ำแข็งไปแล้ว
เนื่องจากหัวใจเต็มไปด้วยความหมองเศร้า โม่เสวี่ยถงจึงเดินวนอยู่ภายในวัดเป็เวลานาน โม่หลันและโม่เยี่ยก็เดินเป็เพื่อนนางเงียบๆ จนกระทั่งแข้งขาเมื่อยล้าจึงพากันกลับที่พัก
เมื่อกลับมาถึงเรือน แม่นมสวี่ก็มารออยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนางรู้เื่ที่เกิดขึ้นกับโม่เสวี่ยถงเมื่อเช้าก็รีบออกมาจากจวนทันที ครั้นเห็นพวกนางกลับมาก็พุ่งเข้าสวมกอดโม่เสวี่ยถง สั่นสะท้านไปทั้งตัว ปากก็พร่ำร้องแต่ว่า “ทูนหัวของบ่าว อย่ากลัวนะเ้าคะ แม่นมอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”
ตัวของแม่นมสวี่ค่อนข้างเย็น คงเป็เพราะยืนตากลมรออยู่นานแล้ว แต่ยามอยู่ในอ้อมอกของนางโม่เสวี่ยถงรู้สึกอุ่นใจยิ่ง แต่ความอบอุ่นนี้ก็ทำให้นางปวดใจ พลันพลิกมือขึ้นสวมกอดแม่นมสวี่กลับ ขบริมฝีปากข่มความเศร้าสลดในหัวใจลงชั่วครู่ แล้วปลอบประโลมเบาๆ “แม่นม... ถงเอ๋อร์ไม่เป็ไร ยังสบายดีอยู่ ไม่เป็อะไรเลยจริงๆ ต่อไปถงเอ๋อร์จะระวังไม่ให้มีเื่เกิดขึ้นกับตัวเองอีก แม่นมจะได้ไม่ต้องวิตกกังวล... ดีหรือไม่”
“ไม่มีเื่อะไรก็ดีแล้ว ในที่สุดคุณหนูของบ่าวก็โตแล้วจริงๆ” แม่นมสวี่ก้มหน้ามองโม่เสวี่ยถง เห็นนางไม่ร้องไห้ ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นไม่มีน้ำตาเช่นคนที่ถูกรังแก มิหนำซ้ำยังฉายแววยิ้มบางๆ อีกด้วย นางอดรู้สึกชื่นชมมิได้ ในที่สุดคุณหนูของนางก็เป็ผู้ใหญ่แล้ว และไม่ยอมให้ใครรังแกได้อีกต่อไป
“พวกเ้าไม่มีเื่ แต่หรงเอ๋อร์ของเราไม่ใช่ คิดไม่ถึงว่าสกุลโม่จะให้กำเนิดสตรีที่มีจิตใจโหดร้ายได้เพียงนี้” น้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างไม่อาจห้ามอยู่ลอยมา นางเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยท่าทางดั่งจะกินเืกินเนื้อยืนอยู่หน้าประตู โดยมีอวี้ซือหรงที่พันแผลบนใบหน้าไว้เหลือเพียงจมูกยืนอยู่ด้านหลัง สายตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
คนสกุลอวี้ช่างไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครแม้แต่น้อยจริงๆ นี่ก็มาเพื่อสะสางบัญชีแค้นล่ะสิ แต่ดูจะสำคัญตนเกินไปหรือไม่ นางเป็ผู้ก่อเื่แท้ๆ แต่ยังกล้าเรียกร้องความเป็ธรรมจากผู้อื่น
“โม่เสวี่ยถง เ้าผลักข้าไปชนก้อนหินทำให้ข้าต้องเสียโฉม ช่างอำมหิตนัก เสียแรงที่ข้าดีกับเ้า ไม่คิดว่าจะถูกใช้อุบายเล่นงานลับหลังเช่นนี้” ทันทีที่เห็นโม่เสวี่ยถง อวี้ซือหรงก็ตวาดแหวและปราดเข้ามาหมายจะตบตี
อวี้ซือหรงอาละวาดด้วยความแค้นใจ แท้จริงแล้วนางคิดจะทำร้ายโม่เสวี่ยถง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหลบไปก่อน ตอนที่โม่เสวี่ยถงเป็ลมไปยังมาขวางอยู่หน้าเท้าของนางทำให้ทรงตัวไม่อยู่ล้มกระแทกโขดหินอย่างแรง เ็ปสุดพรรณนา จนตอนนี้ใบหน้าที่เคยงดงามของนางต้องกลายเป็แผลลึกถึงสองแผล ท่านหมอที่เชิญมาก็อธิบายชัดเจนแล้วว่าถึงจะใช้ยาที่ดีเลิศเพียงใด สุดท้ายก็เกรงว่าจะยังหลงเหลือแผลเป็
แค่คิดว่าตนเองต้องเสียโฉมเพราะโม่เสวี่ยถงก็แค้นใจจนแทบจะกินเืกินเนื้อของอีกฝ่าย ใบหน้าหงิกงออัปลักษณ์ดูร้ายกาจ นางเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามุมกำแพงอยู่ตรงข้ามกับนางพอดี หากชนถูกจุดนั้นโม่เสวี่ยถงไม่ตายก็ต้องเสียโฉม ถึงยามนี้แล้วนางก็ยังคิดร้ายต่อโม่เสวี่ยถงมิวางวาย
ขณะที่โม่เยี่ยคิดจะเข้าไปขวาง หางตาเหลือบเห็นฉินอวี้เซวียนเข้าพอดี ร่างพลันชะงัก ตัดสินใจยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ฉินอวี้เซวียนปราดเข้าไปขวางหน้าอวี้ซือหรงราวกับเหาะ จึงถูกนางชนเข้าเต็มที่ เขากระเด็นไปด้านหลังสองสามก้าว ท้ายที่สุดก็หยุดนิ่งอยู่หน้าโม่เสวี่ยถง
“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันก่อน แล้วเล่ามาให้ละเอียดกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินพาสาวใช้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองโม่เสวี่ยถงอย่างไม่พอใจ
นางไม่ชอบอวี้ซือหรงเป็เื่จริง แต่เมื่อเกิดเื่แบบนี้ย่อมพัวพันมาถึงสกุลฉิน และนี่คือสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจรับได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความเกี่ยวข้องกับโม่เสวี่ยถง ดังนั้นบัดนี้สีหน้าจึงมีแต่ความเฉยชา ไม่มีความเมตตาอ่อนโยนเช่นยามปรกติ มองจนโม่เสวี่ยถงรู้สึกเย็นวาบในหัวใจ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มขื่น ที่แท้ฮูหยินผู้เฒ่าก็หาได้รักนางอย่างแท้จริงไม่
“หึ! จะต้องอธิบายอันใดอีกเล่าเ้าคะ บุตรสาวของสกุลอวี้ถูกทำร้ายจนกลายเป็แบบนี้ พวกท่านยังไม่เห็นพูดอะไรสักคำ” เฉินซื่อแค่นเสียงเย็น สายตามองโม่เสวี่ยถงอย่างมาดร้าย แล้วก็เลื่อนไปที่ฉินอวี้เซวียนด้วยประกายตาเย็นะเื “เซวียนเกอ อย่าลืมว่าซือหรงก็เป็ญาติผู้น้องสายตรงของเ้า เ้าเป็พี่ชายไม่แก้แค้นแทนน้องสาวที่ถูกทำร้ายจนเสียโฉมก็ช่าง แต่นี่ยังมาทำท่าปกป้องนางอีก หรือว่าระหว่างพวกเ้าสองคนมีอะไรที่มากกว่านั้น”
คำกล่าวนี้ทำให้ทุกคนนึกระแวงในตัวโม่เสวี่ยถงกับฉินอวี้เซวียน
“ท่านป้าสะใภ้กล่าวอะไรเช่นนั้น พวกนางสองคนล้วนเป็ญาติผู้น้องของข้า ไหนเลยจะเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ แต่เื่ยังไม่มีข้อยุติ ควรจะฟังจากที่ท่านย่าสอบถามแล้วค่อยตัดสินใจดีกว่า อย่าเพิ่งร้อนใจ น้องหญิงถงยังเยาว์นัก ท่านป้าสะใภ้กล่าวเช่นนั้นไม่กลัวว่าจะแปดเปื้อนเพราะปากของตนเองหรือ” ฉินอวี้เซวียนแววตาเข้มขึ้น กล่าวต่อจากนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่เพียงแต่เป็การตอบโต้นางเฉินกลับไปอย่างแเี ในขณะเดียวกันยังอธิบายถึงเหตุผลในการกระทำของตนเอง แต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เขาเบื่อหน่ายสกุลอวี้เต็มทน ไหนเลยจะมีวาจาที่ดีไปกว่านี้ได้
“ยังไม่คุกเข่าลงอีก” ฮูหยินผู้เฒ่ากระทุ้งไม้เท้าที่พื้นสองครั้ง สายตาเย็นเยียบมองไปที่โม่เสวี่ยถง คุณหนูใหญ่สกุลอวี้กล่าวมาแบบนี้ นางเป็ผู้าุโสูงสุดในที่นั้นย่อมต้องให้คำอธิบาย
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียด
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูของเรามิใช่เป็ฝ่ายผิด นางเป็คนใจอ่อนและขี้กลัวเป็ที่สุด จะวางแผนคิดร้ายต่อคุณหนูอวี้ได้อย่างไร” แม่นมสวี่ซึ่งอยู่ด้านข้างร้อนใจยิ่ง วิ่งเข้ามาคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าฉิน
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านลองดูซือหรงของเราให้ดีๆ แบบนี้นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร นี่ยังไม่นับได้ว่าจิตใจอำมหิต ลงมืออย่างเหี้ยมโหดอีกหรือ เป็เด็กเป็เล็กยังร้ายกาจขนาดนี้ โตไปจะขนาดไหน ผู้ใดแต่งสตรีร้ายกาจแบบนี้เข้าสกุล เรือนชั้นในคงมีแต่ความวุ่นวายไม่สิ้นสุด” นางเฉินเห็นฉินอวี้เซวียนไม่เข้าข้างฝ่ายตนก็ถลึงตาใส่ด้วยความโมโห แล้วหันมาพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยวาจารุนแรง
พออวี้ซือหรงนึกถึงว่าครานี้ตนเองต้องเสียโฉมไปจริงๆ มิหนำซ้ำฉินอวี้เซวียนก็ยังมีท่าทางปกป้องโม่เสวี่ยถงอย่างเห็นได้ชัด จึงหันไปซบอกมารดาร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
ยามนี้มีคนมากมายเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์
โม่เสวี่ยถงก้าวเข้ามาอย่างใจเย็น ฉุดแม่นมสวี่ให้ลุกขึ้น แล้วบอกโม่หลันให้พานางไปยืนด้านข้าง หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับมาย่อตัวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าฉินอย่างงดงาม เงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างใสบริสุทธิ์ไม่มีราคีแม้เพียงส่วนเสี้ยว และไม่มีโทสะเพราะคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ท่านยายก็คิดว่าถงเอ๋อร์เป็คนผลักคุณหนูอวี้หรือเ้าคะ หลานอยู่ข้างกายท่านมานาน ย่อมไม่มีทางทำเื่เช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลานกับคุณหนูอวี้ไม่มีความแค้นใดต่อกัน แล้วมีเหตุผลใดต้องไปทำร้ายนาง ท่านยายอย่าโกรธเคืองไปเลย โปรดเห็นแก่สุขภาพของตนเองด้วย จะถูกหรือผิดย่อมต้องอาศัยความคิดเห็นของมวลชนเป็ผู้ตัดสิน”
“เ้าไม่ได้ทำจริงๆ หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นโม่เสวี่ยถงตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้แล้วยังเป็ห่วงสุขภาพของตนเอง ทั้งคำพูดยังดูสูงส่งมีเหตุผล สีหน้าจึงค่อยดูผ่อนคลายลง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ลืมเื่ที่จะให้นางคุกเข่าไปเสียสนิท
“ท่านยาย ตอนนั้นหลานยืนดูไผ่ม่วงกับูเาหินจำลองอยู่ด้านหน้า ส่วนคุณหนูอวี้ยืนอยู่ด้านหลัง ถามหน่อยเถิดว่าหลานจะผลักคุณหนูอวี้จากตำแหน่งนั้นได้อย่างไร หลานไม่ทราบจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดนางจึงกล่าวหาว่าหลานเป็ผู้กระทำ”
“โม่เสวี่ยถงเ้าพูดเหลวไหล เมื่อก่อนมีครั้งไหนบ้างที่เ้าถูกคนเข้าใจผิดแล้วข้าไม่เข้าไปช่วย มีครั้งไหนบ้างที่เ้าได้รับาเ็แล้วข้าไม่ปกป้องเ้า คิดไม่ถึงว่าจะใจร้ายถึงขนาด้าให้ข้าตาย” อวี้ซื่อหรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยื่นหน้าออกมาจากอ้อมอกของนางเฉิน สายตาจ้องโม่เสวี่ยถงอย่างแค้นเคือง ด่าไปก็ร้องไห้ไป
“คุณหนูอวี้แน่ใจหรือว่าช่วยข้า ครั้งนั้นข้าถูกขัดขาสะดุดล้ม เดิมทีก็แค่ขาแพลงนิดหน่อย คุณหนูอวี้ให้คนมาช่วยหามข้ากลับไป แต่ระหว่างทางสาวใช้ผู้นั้นก็หกล้มทำให้ข้าตกลงมาข้อเท้าเกือบหัก ยังมีอีก ครั้งญาติผู้พี่ของคุณหนูอวี้ฉีกหน้าข้าต่อหน้าผู้คน ก็ยังเป็เพราะคุณหนูอวี้เข้าช่วยเหลืออีกนั่นแหละ ทำให้ต่อมาในภายหลังทุกคนต่างพูดกันออกไปว่าข้าเย่อหยิ่งจองหอง ไม่เคารพผู้ใหญ่ พฤติกรรมเสื่อมทรามไร้มารยาท เื่แบบนี้มีอีกเยอะ คุณหนูอวี้จะให้ข้าสาธยายให้ครบทุกเื่หรือไม่เล่า”
โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้น ในแววตาอ่อนโยนไม่มีไฟโทสะแม้แต่น้อย คล้ายว่าสิ่งที่กล่าวไปเมื่อครู่ตนเองมิเคยเก็บมาใส่ใจ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าสู้สายตา
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หาใช่คนโง่งม ใครฟังไม่ออกก็แปลกแล้ว ต่างคิดไปว่าคุณหนูใหญ่สกุลอวี้ที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็กุลสตรีนุ่มนวลอ่อนโยน ที่แท้ก็มิได้เป็ดั่งคำร่ำลือ ฟังจากความหมายที่เล่าก็บ่งชัดว่าเป็สตรีที่มีจิตใจอิจฉาริษยาคนหนึ่ง ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง ทุกสิ่งล้วนวางกลอุบาย ช่างน่ารังเกียจยิ่ง
“ถงเอ๋อร์ มีเื่เช่นนี้จริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินถามโม่เสวี่ยถง แต่กลับมองอวี้ซื่อลูกสะใภ้อย่างไม่อยากเชื่อ
เื่เล็กน้อยเหล่านี้ปรกติฮูหยินผู้เฒ่าฉินไม่เคยใส่ใจ อวี้ซื่อ้าแต่งหลานสาวของตนเองเข้าสกุลฉิน ย่อมต้องทำบางอย่างหมกเม็ดไม่เปิดเผย โม่เสวี่ยถงเป็เด็กหัวอ่อนขี้กลัว ปรกติแค่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าก็ลนลานจนไม่กล้าพูดอะไรแล้ว แม้แต่สาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่กล้าต่อต้าน หลานสาวที่ไม่เป็ที่โปรดปรานผู้นี้กับฮูหยินของตน ไหนเลยอยู่ดีๆ จะกล้าเอ่ยถึงเื่ราวเหล่านี้ให้ตนเองฟัง ดังนั้นทุกเื่ย่อมถูกปิดบังไว้เจ็ดแปดส่วน
“เื่เล็กๆ น้อยๆ ของสตรี ท่านแม่ไม่จำเป็ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกเ้าค่ะ มิใช่เื่ใหญ่อันใด คุณหนูเ่าั้ก็แค่เข้าใจถงเอ๋อร์ผิดไปเท่านั้นเอง”
อวี้ซื่อถูกมองจนไม่อาจรักษาสีหน้าไว้ได้ ได้แต่กล่าวแก้ตัว ยามนี้นางแทบอยากจะจับอวี้ซือหรงโขกกำแพงตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เื่ราวเหล่านี้มิใช่ความลับแต่ประการใด แค่แม่สามีไปสอบถามไหนเลยจะไม่รู้ความจริง คนรู้มากในจวนก็มีอยู่ไม่น้อย ปรกตินางต้องข่มขวัญมิให้ไปพูดอะไรซี้ซั้วต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าฉิน แต่หากทุกเื่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ใครจะรู้ว่านางจะสามารถปิดปากคนให้เงียบลงได้อีกหรือไม่
ต่อให้สกุลอวี้มือยาวเข้ามามากเพียงใดก็ไม่อาจยับยั้งเื่ในสกุลฉิน เพราะเื่ของอวี้ซือหรงกระทบมาถึงตนเอง หากฮูหยินผู้เฒ่าเกิดความสงสัยเื่อื่นๆ ด้วยเล่า วันเวลาในภายหน้านางย่อมลำบากแน่
ฉินอวี้เซวียนได้ยินแล้วสีหน้าพลันนิ่งขรึม
“ท่านป้าสะใภ้ ถงเอ๋อร์ไม่ทราบว่าตนเองเคยไปล่วงเกินสิ่งใดต่อคุณหนูอวี้ เื่ที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไปเถิด แต่วันนี้ถงเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าคุณหนูอวี้ชัดๆ แล้วจะเป็ผู้ผลักนางได้อย่างไร คุณหนูอวี้เสียหลักลื่นล้ม ถงเอ๋อร์ใหลบไปด้านข้างทำให้สะดุดล้มลงไปก่อน ด้วยเหตุนี้คุณหนูอวี้จึงพุ่งเข้าชนหินูเาจำลอง แต่ถ้าตรองดูให้ดี หากเวลานั้นเป็ถงเอ๋อร์ที่หลบไม่ทัน ผู้าเ็ย่อมไม่ใช่คุณหนูอวี้… แต่เป็ถงเอ๋อร์นะเ้าคะ หรือจะโทษที่ถงเอ๋อร์หลบไปด้านข้างทำให้คุณหนูอวี้ชนก้อนหิน?”