“เรา...เราบอกไม่ได้”
“เห็นมั้ย ม่านก็เป็ซะอย่างนี้! มีอะไรไม่เคยบอก นี่เรารักกันจริงมั้ยวะ หรือแค่รามที่รักม่านห่วงม่านและก็เป็บ้าไปเองคนเดียวแบบนี้!”
“ราม...” ยังไม่ทันที่ม่านจะคว้าแขนของคนรักเอาไว้ได้รามสูรก็เดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไปแล้ว ตลอดทั้งเช้ารามไม่คุยกับม่านเลยหลังจากที่เราทะเลาะกัน ่บ่ายที่มีเรียนเราก็ยังคงทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ ติดที่ว่าไม่มีบทสนทนาที่เอ่ยออกมาจากปากคนทั้งคู่ รามสูรยังทำหน้าที่ส่งม่านไปเรียนตามปกติและรับม่านหยี่กลับหลังจากเลิกเรียน ทว่ากลับไม่มีการพูดคุยหรือถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างที่เคยทำ สุดท้ายแล้วเป็ม่านเองที่ทนการกระทำแสนเ็าของคนรักไม่ได้
“ราม...คุยกันหน่อย”
“คุยได้แล้วเหรอ”
“ถ้ายังประชด เราจะไม่คุย”
“...ก็ได้ครับ”
“เรามีปัญหา เื่เงิน ตอนนี้เรายังไม่ได้จ่ายค่าเทอม”
“แล้วทำไมไม่บอกราม! ม่าน”
“ฟังก่อน ขอร้อง ฟังม่านก่อน”
“ครับ”
“รามก็รู้เราเป็แฟนกันก็จริงแต่เื่บางเื่มันก็ส่วนตัวไปจนทำให้เราพูดไม่ได้ อย่างเื่เงิน เราก็พูดไม่ได้เข้าใจมั้ย เราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราตกถังข้าวสารหรือเราเกาะรามกิน”
“...”
“เราไม่อยากให้รามคิดอย่างนั้น”
“รามไม่...”
ม่านส่ายหน้าห้ามเอาไว้ก่อน
“รู้มั้ยเวลารักกันมันก็ดี แต่ไม่รู้วันไหนที่เราจะทะเลาะกันอย่างวันนี้ ม่านไม่อยากให้เราสองคนเอาเื่เงิน ๆ ทอง ๆ ขึ้นมาทะเลาะกันหรือเป็ข้อผูกมัดกันเอาไว้ เข้าใจม่านใช่มั้ย”
“...ครับ รามเข้าใจ”
“นั่นแหละ”
“ม่านรู้มั้ยรามห่วงแทบบ้าอยู่แล้ว ม่านไม่พูดอะไรเลย รามไม่ได้คิดว่าม่านมีคนอื่นหรอกนะ แต่รามไม่รู้ไงว่าม่านกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่ รามแค่คิดว่าตัวเองกระจอกที่ไม่สามารถเป็ที่พึ่งให้ม่านได้ในตอนที่เธอมีปัญหา”
“รามไม่ได้กระจอกหรอกนะ ม่านขอโทษที่ทำให้รามต้องคิดอย่างนั้น”
“ครับ รามก็ขอโทษเื่เมื่อเช้า”
“ไม่เป็ไร เราเข้าใจ” เพราะถ้ารามสูรมีเื่เดือดเนื้อร้อนใจแล้วไม่บอกไม่กล่าวกับเขา ม่านหยี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนไหวไหม ก็คงจะะเิออกไปอย่างที่รามทำนี่แหละ
“อย่างนั้นเราไปจ่ายค่าเทอมกัน”
“...”
“ให้ยืม ไม่ได้ให้เปล่า ถ้าไม่สบายใจจะถือว่าให้ม่านยืม มีเมื่อไหร่ค่อยคืน โอเคมั้ย”
“อืม” ม่านหยี่จำใจยอมรับเพราะถ้าหากเขาไม่รับเงินก้อนนี้จากรามสูรเขาก็ไม่รู้จะมีทางไหนหาเงินให้ทันภายในระยะเวลาสองวันเพื่อมาจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา อย่างน้อย ๆ การที่รามให้ม่านหยิบยืมเงินในครั้งนี้ก็ทำให้คนที่ยืมไม่ได้รู้สึกผิดมาก
“โอเคงั้นไปจ่ายตังค์กัน”
“ขอทางหน่อยครับ ๆ !!!” ร่างสูงก้าวข้ามบันไดทีละสองขั้นะโขึ้นไปด้วยเพราะหวังให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น เสื้อนักศึกษาสีขาวหลุดลุ่ย ผมที่เคยเป็ทรงตอนนี้ชี้โด่เด่ไปคนละทิศทาง ่ขายาว ๆ ของเขามันพาเขาไปได้ไม่ไกลเท่าที่ใจหวังสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรรามสูรก็มาถึงด้วยเวลาอันเฉียดฉิว อีกแค่สิบนาทีห้องก็จะปิดแล้ว
ตอนนี้รามสูรและม่านหยี่กำลังจะเรียนจบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจแล้ว รามรีบวิ่งหน้าตั้งเอาวิทยานิพนธ์ไปส่งให้ตรงเวลา ด้วยเพราะวันนี้เป็วันสุดท้ายที่ต้องส่งวิจัยเล่มหนานี้ให้แก่ทางคณะหลังจากที่เขาพึ่งได้ลายเซ็นอนุมัติจากอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจกต์เมื่อวาน!
“ผมเอาเล่มโปรเจกต์มาส่งครับ!”
“วางไว้ตรงนั้น” อาจารย์ผู้หญิงชี้ไปที่กองวิจัยเล่มหนาที่มันวางทับกันอยู่อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย หน้าปกสีน้ำเงินเข้มตัวหนังสือพิมพ์สีทองบ่งบอกว่าวิทยานิพนธ์เหล่านี้ได้ผ่านการค้นคว้าหาความรู้และลงทุนทุ่มแรงกายแรงใจในการศึกษาครั้งนี้สักแค่ไหน เขาก็เป็หนึ่งในนั้น
“เรียนจบแล้วยินดีด้วยนะคะนักศึกษา”
“ครับ ขอบคุณครับ หวัดดีครับอาจารย์” เขาจำเธอได้เพราะเธอเคยสอนรายวิชาเรียนรวมของเด็กคณะบริหารธุรกิจสองสามตัว เป็หนึ่งในสามอาจารย์ที่ใจดีที่สุดประจำคณะ นอกนั้นเหมือนั์เหมือนมาร
“ฮัลโหลครับ รามส่งแล้วเรียบร้อย โอเค โอเคครับ กำลังกลับ...ได้เลย” ปลายสายโทรมาบอกว่าเก็บของเรียบร้อยแล้ว ให้เขาซื้อของใช้ที่จำเป็ติดไม้ติดมือเข้าไปอีกนิดหน่อยเราก็จะพร้อมสำหรับการออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้เขากับม่านวางแผนกันว่าจะไปเที่ยวที่ภาคเหนือด้วยเพราะตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เราไม่เคยได้ไปเที่ยวด้วยกันเลยสักครั้ง ที่เที่ยวที่ไกลสุดคงเป็การดูหนังในวันว่าง ๆ ของเราสองคน นอกนั้นม่านหยี่ก็ไม่ยอมที่จะปลีกตัวไปไหนเลย เขาเข้าใจม่านดี เลยใช้ข้ออ้างนี้ในการขอพาม่านไปเที่ยวและเขาก็แอบ ๆ คิดเอาไว้ว่า แค่คิดน่ะนะ มันยังไม่ถึงขั้นนั้น บางทีม่านอาจตกลงหรือไม่ตกลงก็ได้ เขาไม่แน่ใจนักหรอก เพียงแต่ว่า...เขาคิดว่าจะขอม่านหยี่แต่งงาน
รามคิดเื่แต่งงานมาได้ปีกว่าแล้ว แต่เหมือนว่าทั้งเขาและม่านก็ยังไม่มีใครพร้อมด้วยเพราะยังเรียนด้วยกันทั้งคู่ ทั้งมารดาของเขาก็ยังไม่รับรู้เื่ม่านหยี่ แม่รู้แค่เพียงว่าเขามีแฟน แต่ไม่รู้ว่าแฟนของเขาเป็ผู้ชายและคบกันมากว่าสี่ปีแล้ว คนที่รู้เื่ม่านมีแค่พี่ไอ้อัส พี่ชายของเขา
ชายหนุ่มนั่งในรถแล้วเปิดคอนโซลหน้ารถเพื่อเช็กดูของสำคัญว่ายังอยู่ดีอยู่มั้ย กล่องสีแดงกำมะหยี่ถูกวางซ่อนเอาไว้ท่ามกลางซองจดหมายต่าง ๆ นานาที่เขาพยายามขนขึ้นมาทำรกบนรถเพื่อปกปิดกล่องแหวน ม่านคงไม่สงสัยเพราะม่านไม่เคยค้นอะไรในรถเขาเลย มีแค่เขาที่ทำตัวมีพิรุธอยู่ทุกวัน กลัวใจว่าจะทำแผนแตกเสียเอง
“มาแล้ว ๆ ครีมอาบน้ำกับแปรงสีฟันหนึ่งคู่”
“ดีมาก ขอบคุณครับ”
“เราเกือบส่งไม่ทันแหนะ อาจารย์กำลังจะปิดห้องเลย”
“จริงเหรอ”
“ใช่ เพราะอาจารย์ติ๋มเลยที่ให้ลายเซ็นเราช้า”
“เถอะน่า สุดท้ายก็ส่งแล้ว เรียนจบแล้วด้วยกันทั้งคู่นะ”
“เราใส่ชื่อม่านในกิตติกรรมประกาศด้วย”
“จริงเหรอ!”
“จริงครับ”
“เขินเลย”
“ดีใจนะเนี่ยที่รามทำให้ม่านเขินได้”
“พูดเกินไปเถอะเธอน่ะ” แปรงสีฟันและครีมอาบน้ำถูกจัดลงไปในกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ก่อนที่จะรูดซิปปิดเป็อันเรียบร้อย ม่านกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้งเพื่อคิดหาว่ามีสิ่งของอะไรที่ตนลืมจัดเข้ากระเป๋าหรือไม่
“ไปกินข้าวได้แล้ว ไม่ลืมอะไรแล้ว ถ้าลืมก็ซื้อเอา” รามสูรเดินมาดันหลังคนรักที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ ม่านเป็คนรอบคอบ นั่นคือสิ่งที่ดี แต่บางครั้งม่านหยี่ก็ชอบถามเื่เดิม ๆ ทุก ๆ ห้านาที นั่นทำให้เขาต้องคอยเตือนม่านอยู่เสมอว่าเื่นี้ม่านได้ทำไปแล้ว
“ม่านอยากกินอะไร”
“อืม...ไอติมลุงเอก”
“หมายถึงข้าวเย็น ไม่ใช่ของหวาน”
“แหะ ๆ กินราดหน้าแล้วกัน ไม่ได้กินมานานแล้ว” ถึงแม้จะเป็กับข้าวมื้อพิเศษฉลองการส่งเล่มวิทยานิพนธ์ แต่อาหารก็ไม่ได้พิเศษต่างไปจากเดิม รามสูรยังคงให้ม่านเป็คนคิดเมนูที่อยากกิน และเขาก็ยังคงตามใจพาม่านไปในร้านอาหารที่อยากกินอยู่ดี ม่านหยี่ชอบกินของหวาน ซึ่งของหวานนั่นถ้าไม่ใช่ขนมไทยใส่น้ำกะทิโปะบนน้ำแข็งเย็น ๆ ก็เป็ไอศกรีมร้านลุงเอกที่ซึ่งม่านหยี่ทำงานอยู่ หรือแท้จริงแล้วความพิเศษของมื้ออาหารมันไม่สำคัญเท่ากับความธรรมดาในแต่ละวันที่เรามีให้กัน คงเพราะความธรรมดาเ่าั้มันคงเส้นคงวา สม่ำเสมอ และพิเศษมากพอแล้ว
“ม่านบอกลุงเอกไว้แล้วนะว่าจะลาออก”
“เหรอครับ แล้วแกว่าไง”
“แกก็เสียดายแต่ก็บอกว่ากลับมาเยี่ยมได้ตลอดเลย จะให้กินไอติมฟรี”
“สงสารแกนะ ไม่มีใครเลย”
“อืม ถ้าไม่ติดว่าเธอชวนกลับไปทำงานที่บ้านเราคงทำที่นี่ไปพลางหางานประจำ”
“ไม่ได้หรอก ม่านต้องกลับไปกับราม” ไม่กลับได้ยังไงล่ะ จะหาทางพากลับไปให้ได้ ตบแต่งเข้าบ้านให้รู้แล้วรู้รอด
มื้อเย็นในวันนี้จบด้วยราดหน้าข้างทางเ้าประจำที่เขาและม่านหยี่มากินด้วยกันหลังจากเลิกเรียนั้แ่ปีหนึ่งจนกระทั่งถึงปีสี่ และไม่ลืมที่จะแวะไปบอกลาลุงเอกชายแก่เ้าของร้านไอศกรีมที่ดูแก่ลงไปอีกเท่าตัวเมื่อเขาและม่านหยี่หันหลังจากมา ลุงเอกไร้ญาติขาดมิตร ภรรยาแกเสียไปเมื่อหลายปีก่อนและแกก็ไม่มีลูก ดังนั้นจึงรักและเอ็นดู เห็นรามสูรและม่านหยี่เป็เสมือนลูกหลานในบ้าน เขาสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมลุงบ่อย ๆ ม่านเองก็แอบปาดน้ำตา คงจะใจหายที่ต่อไปนี้จะไม่ได้มาทำงานที่ร้านไอศกรีมเล็ก ๆ แห่งนี้อีกแล้ว
“เดี๋ยวพากลับมาเดือนละครั้งเลยเอามั้ย”
“ได้เหรอ”
“ได้สิ รามซะอย่าง”
“โม้” ม่านหยี่ว่าพลางปาดน้ำตาออกจากหน่วยตารื้น
สองคนออกเดินทางั้แ่เช้ามืดไปสนามบินด้วยเพราะรามมีแผนการเที่ยวเกือบสิบหน้ากระดาษภายในระยะเวลาสามวันสองคืนนี้ ดังนั้นไกด์จำเป็เลยจองเที่ยวบินที่เช้าที่สุดเพื่อที่จะถึงจังหวัดเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด เป็ครั้งแรกในชีวิตของม่านหยี่ที่ได้ก้าวเท้าแตะผืนดินภาคเหนือของประเทศไทย ไอความร้อนพัดปะทะผิวกายจนม่านหยี่เบ้หน้า
“นึกว่าจะหนาว”
“แต่ก็เย็นกว่ากรุงเทพนะ”
“แต่ร้อนเท่า ๆ ภูเก็ตเลย” เ้าของประโยคชะงักกึก นึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป แต่ยังดีที่รามไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติในประโยคนั้นของเขา
สองคนเช่ารถยนต์เพื่อที่จะขับเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ ไกด์จำเป็อย่างรามสูรพาม่านหยี่ไปเที่ยวกินขนมหวานชื่อดัง อีกทั้งยังไปเที่ยวชมวัดและโบราณสถานที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วเมือง อาหารการกินที่เชียงใหม่เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์และมีให้เลือกสรรมากมาย มีร้านอาหารคาวหวานนับร้อยที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งเมือง ร้านข้าวมันไก่และข้าวซอยชื่อดังที่ตั้งอยู่ภายในคูเมืองก็สะดวกด้วยเพราะมีที่จอดรถ รามพาม่านหยี่แวะร้านอาหารเป็ครั้งที่ห้าในขณะที่คนรักของเขาบอกว่าภายในท้องไม่มีที่จะยัดลงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นม่านหยี่ก็ยังนั่งยิ้มแป้นเมื่อไอศกรีมรสโปรดถูกนำมาเสิร์ฟ
“ยิ้มแป้นเชียว หน้าบานออกหมดแล้วม่าน”
“คนมันมีความสุขไง”
รามเกือบจะอดใจไม่ไหวควักเอาแหวนแต่งงานออกมาขอม่านหยี่กลางร้านอาหารตอนนี้ เขารักรอยยิ้มของม่าน รักเวลาที่ม่านหยี่ยิ้มแล้วดวงตากลมโตสองข้างนั้นก็ยิ้มไปด้วย ม่านเป็คนที่สมควรได้รับแต่สิ่งดี ๆ และเขาก็จะเป็คนสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ม่านหยี่เอง
“หูโผล่แล้วม่าน” รามสูรว่าพลางเอื้อมมือไปลูบหัวคนรัก ม่านหยี่ถดคอหนีััอุ่น ๆ บนหัวทุยของตนเอง แต่อีกใจก็ชอบเวลาที่รามแสดงความรักความเอ็นดูต่อตนเองแบบนี้
“ว่าเราเป็หมาเหรอราม”
“รามยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย ม่านคิดไปเอง” ผู้ชายตัวโตทำท่าเฉไฉไม่ยอมรับว่าเมื่อครู่ตนเองพูดอะไรลงไป ม่านหยี่ชี้หน้าคาดโทษเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บทลงโทษจากม่านหยี่ก็เป็อะไรที่รามสูรเต็มใจรับเอาไว้ทุกอย่างนั่นแหละ
รถยนต์ที่เช่าจากสนามบินเชียงใหม่ขับเลี้ยวตามโค้งที่คดเคี้ยว ด้วยภูมิศาสตร์ทางภาคเหนือนั้นโดยส่วนมากเป็ูเา เมืองใหญ่จะตั้งอยู่ในบริเวณแอ่ง พ้นจากเมืองใหญ่แล้วอำเภอนอกรอบจะต้องสัญจรบนถนนที่ตัดผ่านูเา นั่นทำให้การขับรถสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ชินทางหรือมาครั้งแรกอย่างรามสูรและม่านหยี่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็พิเศษ กว่าที่คนทั้งคู่จะขับรถขึ้นมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเขาได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย
สองคนผลัดกันอาบน้ำ แต่กว่าจะตกลงกันได้รามก็อิดออดยักแย่ยักยันอยู่นานเลยทีเดียว ด้วยเพราะเด็กชายรามสูรอยากอาบน้ำพร้อมกับคนรักอย่างที่เคยทำเป็ประจำตอนอยู่หอพัก แต่ม่านหยี่กลับบอกว่าไม่ได้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะอากาศบนดอยหนาวมาก ถ้าหากจะอาบพร้อมกันสองคนมีหวังคงได้หนาวตายเพราะรามสูรน่ะกว่าจะอาบน้ำได้ลีลาเป็ชั่วโมง อย่างนี้ม่านหยี่เลยไม่เอาเด็ดขาด ได้ยินดังนั้นเด็กชายรามสูรก็หาเื่มาต่อรองร้องขอไปเรื่อยจนกว่าจะได้อาบน้ำก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม อากาศเย็นบนดอยยิ่งทำให้รู้สึกหนาวขึ้นไปอีก
“ที่พักเอาชุดหมูกระทะมาเสิร์ฟ”
“อ้อ! มันน่าจะรวมในแพ็คเกจแล้ว” รามว่าพร้อมทั้งสะบัดผมเปียกชื้นของตัวเองให้น้ำมันกระเด็นไปโดนม่าน
“เดี๋ยวจะโดนนะราม” ม่านหยี่ชี้หน้าคาดโทษ พร้อมกับจัดของให้คนรักนั่งลงตรงกันข้ามกับตัวเอง
สองคนผลัดกันคีบหมูและผักใส่จานของฝ่ายตรงข้าม รามมักจะแกล้งขโมยหมูของม่านอยู่เสมอและหาข้ออ้างมาบอกว่าหมูมีขาวิ่งลงน้ำและว่ายน้ำหนีหายไปแล้ว เหมือนรามกำลัง ‘แต่งเื่โกหกเด็กอนุบาล’ และเด็กอนุบาลที่ว่าก็ทำตาขึงใส่รามทุกครั้งจนอดหัวเราะไม่ได้
“มีความสุขมากมั้ยม่าน” ชายหนุ่มนั่งมองคนรักที่เปลี่ยนจากเคี้ยวหมูมาเคี้ยวผักตุ้ย ๆ ม่านหยี่ทำเพียงแค่พยักหน้าจากนั้นก็ยิ้มจนแก้มกลมทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นไปปิดตา
“ม่าน...ม่านครับ”
เ้าของชื่อกลืนอาหารลงคออย่างยากลำบาก รามมักจะมีคำสุภาพต่อท้ายชื่อเขาหากว่ากำลังจะพูดเื่ที่จริงจัง มันจะเป็แบบนี้ทุกครั้ง และม่านหยี่ก็รู้สึกว่าครั้งนี้มันจะต้องจริงจังกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา
“อือฮึ”
“รามทำให้ม่านมีความสุขมั้ย”
“อือ” ม่านหยี่พยักหน้า ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมานี้เขามีความสุข ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกวันแต่ต้องยอมรับว่าความสุขในชีวิตของม่านหยี่ส่วนใหญ่เป็เพราะรามสูรทั้งนั้น
“ถ้า ถ้าเกิดว่า รามอยาก อยากทำให้ม่านมีความสุขไปตลอดชีวิต ม่านจะโอเคมั้ย”
เขาน่ะไม่ค่อยเข้าใจประโยคนี้หรอกนะ ไม่รู้ว่ารามกำลังจะสื่ออะไร เสมือนหัวสมองของเขาหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ
“ราม...หมายความว่ายังไง”
ท่ามกลางความเงียบงันในยามค่ำคืน มีเพียงแค่แสงไฟสีทองที่ทอประกายให้แสงสว่างยาวเป็แนวไปตามที่พักแต่ละหลัง กับอากาศเย็น ที่ตอนนี้มันค่อย ๆ เย็นลงจนทำให้ม่านตัวสั่น ใจสั่น ผีเสื้อในท้องของเขาเหมือนรับรู้ว่ากำลังจะเกิดเื่ราวน่าตื่นเต้นขึ้น พวกมันพากันขยับตัวกระดุกกระดิกค่อย ๆ กางปีกอย่างเกียจคร้าน
“ม่าน ม่านรู้ใช่มั้ยว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี้มันดีมาก ๆ เลย และราม รามก็รู้สึกว่า ถ้ารามไม่ขอม่านตอนนี้รามคงเสียดายไปชั่วชีวิต”
“อือ” ม่านหยี่ขบกัดริมฝีปากตนเองจนรู้สึกเจ็บจี๊ด หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำท่ามกลางเสียงฉู่ฉ่าของกระทะที่ตอนนี้กลายเป็สิ่งของประกอบฉากไปแล้ว
มือหนาล้วงเอากล่องสีแดงกำมะหยี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ข้างในนั้นมันบรรจุแหวนสีเงินเอาไว้หนึ่งวง รามสูรค่อย ๆ เปิดมันอย่างเบามือ จากนั้นก็หยิบแหวนโลหะออกมาถือเอาไว้ มืออีกข้างของเขาค่อย ๆ เอื้อมไปจับเอามือเรียวของม่านหยี่ขึ้นมาถืออย่างเบามือ ััเย็นเยียบจากแหวนโลหะถูกความอบอุ่นจากมือแกร่งโอบล้อมเอาไว้หมดแล้ว
“แต่งงานกับรามนะม่าน”
“...”
“รามสัญญาว่าจะรักและดูแลม่านให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รามจะอยู่เคียงข้างม่านตลอดไปนะ”
“...รามสูร”
“ครับ”
“นึกว่าจะไม่ขอซะแล้ว”
“แต่งงานกับรามนะม่าน”
“อือฮึ”
รามสูรเตรียมคำพูดมาก่อนหน้านี้ประมาณสามหน้ากระดาษเศษแต่กลับลืมมันไปหมดสิ้น พอบทจะขอเขากลับพูดขอออกมาท่ามกลางเตาหมูกระทะเสียงดังฉ่า ๆ บางทีเขาอาจจะใจร้อนเกินไปจนไม่ได้ตระเตรียมอะไรให้มันเข้าที่เข้าทางกว่านี้หรือบางทีมันอาจไม่มีจังหวะที่เหมาะสมหากเขาไม่เอ่ยขอสักที
“ดีใจที่สุดเลย!!!” ชายหนุ่มว่าพร้อมทั้งชูแขนทั้งสองข้างขึ้นทำท่าทางเหมือนอยากกอดคนรัก แต่ด้วยเพราะเตาหมูกระทะขวางกั้นอยู่ทำให้ไม่สามารถโผเข้าไปกอดได้อย่างใจ้า
“เบา ๆ เดี๋ยวรบกวนคนอื่น” ม่านยกมือขึ้นจุ๊ปากห้ามปรามว่าที่เ้าบ่าวหมาด ๆ ของตน ต่อจากนี้ไม่รู้ชีวิตของเขาจะเป็อย่างไร ตลอดชีวิตที่ผ่านมาม่านหยี่เจอแต่เื่ราวร้าย ๆ ที่คอยบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจไม่จบสิ้น ก็ได้แต่หวังว่าการแต่งงานครั้งนี้ของเขากับรามสูร จะทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้น
แต่ม่านหยี่หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังคิดผิด
ผิดมหันต์...
“แม่...”
“แม่ได้ยินม่านมั้ย”
“ฮัลโหลแม่” เ้าของน้ำเสียงสั่นเครือรู้สึกใจไม่ดี เมื่อไร้เสียงตอบรับจากปลายสาย พักหลังมานี้เขาไม่ค่อยได้โทรติดต่อกับใครอื่นสักเท่าไหร่ แม้แต่ “แม่” เองก็ด้วย
“แม่ แม่ได้ยินม่านมั้-” เสียงสัญญาณขัดข้องดังแทรกเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ จนร่างบางเริ่มอยู่ไม่สุข ดวงหน้าสวยคอยหันมองกลับหลังไปยังประตูห้องพักด้วยกลัวว่ารามสูรจะเปิดประตูเข้ามาเจอจังหวะไม่ดีแบบนี้ รามรู้ดีว่าม่านไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง ที่คบ ๆ กันอยู่ก็ไม่ใช่จะโทรติดต่อกันบ่อยนัก ยิ่งพอเรียนจบก็คงต้องหายหน้าหายตาด้วยเพราะภาระงานที่เพิ่มขึ้น อย่างนั้นม่านหยี่เลยเป็คนไร้ญาติขาดมิตรสมกับคำว่าเด็กกำพร้า
“ม่าน ม่านได้ยินแม่มั้ย”
แต่แท้จริงแล้วสถานภาพของม่านหยี่นั้นตรงกันข้ามกับคำว่าเด็กกำพร้าอย่างสิ้นเชิง
“แม่สบายดีมั้ย ม่านขอโทษครับ ม่านไม่ได้ติดต่อไปเลย”
“ไม่เป็ไรลูก แม่สบายดี แค่ก ๆ ๆ” เสียงไอคอกแคกที่ปลายสายบ่งบอกว่ามารดาสุขภาพห่างจากคำว่าดีไปไกลโข
“แม่ เขาพาแม่ไปหาหมอมั้ย” คงไม่มีเด็กกำพร้าที่ไหนที่มีพ่อแม่ครบสูตร ใช่แล้วล่ะ ม่านมีแม่ มีพ่อ มีครอบครัว มีทุกสิ่งทุกอย่างอย่างที่ใครคนอื่นเขามีกัน
“เลื่อนนัดหมออาทิตย์ก่อน พ่อว่าจะพาไปอาทิตย์นี้”
“ทำไมเขาชอบผิดนัด!”
“ม่านไม่เอา ไม่พูดอย่างนั้นลูก”
แต่สิ่งที่ม่านหยี่ไม่มีอย่างครอบครัวของใครอื่นเขา นั่นคือความรัก
“เขาผิดนัด! เขาก็รู้ว่าแม่ต้องไปหาหมอตลอด!”
“แม่ไม่เป็ไรม่าน ผิดนัดแค่ไม่กี่วันเองลูก”
“ไม่ได้นะแม่ แม่เป็มะเร็งนะไม่ใช่ไข้หวัด!” เขารับรู้ได้ถึงความเจ็บจากปลายเล็บมือทั้งห้าที่จิกลงไปในอุ้งมือ ม่านรู้สึกโกรธจนอยากจะจิกทึ้งบิดาที่ไม่พามารดาไปหาหมอตามนัด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทำไม่ได้
“แม่สบายดี แค่ก ๆ”
“แม่...” และเมื่อความโกรธที่ซึ่งหาพื้นที่ระบายออกไม่ได้ก็กลั่นตัวเป็น้ำตาไหลระลงบนดวงหน้าสวย เขาเกลียดบิดา เกลียดโรคบ้านี่ที่ทำให้แม่ต้องไม่สบาย เกลียดบ้านที่ตนเองเติบโตมา เกลียดอำนาจและคำขู่ต่าง ๆ นานาที่บิดาเคยพูดเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตัวเองที่ตอนนี้ไม่สามารถดูแลแม่ได้อย่างที่เคยให้สัญญาเอาไว้ในตอนเด็ก เด็กชายม่านหยี่อายุเก้าขวบสัญญากับแม่เป็มั่นเป็เหมาะว่าจะดูแล ปกป้อง และคุ้มครองแม่ไม่ให้ใครมาทำร้ายได้ ถึงแม้จะมีกันแค่สองแม่ลูกเขาก็ไม่หวั่นไหว
แล้วดูตัวเขาเองในตอนนี้สิ ห่างไกล อ่อนแอ และยังเห็นแก่ตัวมีความสุขเพียงแค่คนเดียว โดยที่ปล่อยให้แม่ติดอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นรกบนเกาะนั่น
“ม่านลูก แม่ไม่เป็ไรจริง ๆ แข็งแรงมาก เดี๋ยวพ่อเขาก็จะให้คนพาไปหาหมอแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”
“...ฮึก ครับ” เด็กชายม่านหยี่กลืนก้อนความเ็ปลงคอ ก่อนที่จะััได้ถึงความเย็นจากแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย
“แม่ ม่านมีเื่จะบอก”
“หื้มมม?”
“ม่านเรียนจบแล้วนะ”
“เก่งมาก ม่านหยี่ของแม่เก่งที่สุดเลย!” น้ำเสียงปลาบปลื้มใจที่ได้รับมาั้แ่เด็กทำให้ม่านหยี่ยิ้มออก คงมีแต่แม่คนเดียวเท่านั้นที่ยินดีกับความสำเร็จของเขาไม่ว่าจะเด็กจนโต
“รามขอม่านแต่งงาน และม่านก็ตกลง” อีกเื่ที่พึ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ คือเขาตกลงแต่งงานกับรามสูรคนรัก ที่ซึ่งมารดารู้จัก และยิ่งไปกว่านั้น บิดาก็รู้จัก...
“ม่าน...” แต่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้มารดาไม่เห็นด้วย แม่ไม่ได้อยู่ข้างเขาดั่งเช่นที่ผ่านมา
“...ครับ” ไม่มีบทสนทนาถูกสร้างขึ้นมา มีเพียงความเงียบและเสียงลมหายใจของอีกฝั่ง ม่านไม่ได้ยินว่ามารดากำลังพูดอะไร แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมารดาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้
“ม่านไม่ได้ล้อแม่เล่นใช่มั้ยลูก”
“ไม่ครับ เราไปเที่ยวด้วยกันเมื่อสองวันก่อน รามขอม่าน และม่านก็ตกลงแล้ว ถ้าแม่อยากเห็นรูปแหวนม่านจะส่งให้ดู” มือข้างซ้ายกำเข้าหากันแน่น ััเย็น ๆ ของแหวนยังคงอยู่ตรงนั้นที่สุดโคนนิ้วนาง
“ม่าน หยุดเถอะนะม่าน อย่าทำอย่างนี้ อย่าทำร้ายตัวเอง อย่าทำร้ายเขา อย่าทำอะไรเพื่อแม่อีกเลยนะม่าน” และแล้วมารดาก็ร้องไห้โฮอย่างห้ามไม่อยู่...
“ทำไมล่ะแม่!” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
“ม่าน ม่านหยุดเถอะนะลูก แม่อยู่กับม่านได้ไม่นาน แต่เขา ฮึก...เขารักม่านจริง ๆ นะลูก อย่าทำอย่างนี้เลยนะม่าน”
“แม่...” กลับกลายเป็ว่าความหวังดีของเขามันย้อนกลับไปทำร้ายทั้งแม่ ทั้งตัวเขาเอง รวมถึงรามสูรด้วยอย่างนั้นเหรอ
“ม่านหยุด...”
“แม่ ฮัลโหล...แม่ได้ยินมั้ย แม่!” เสียงปลายสายขาดห้วงไปสักพักใหญ่ ก่อนที่จะสามารถติดต่อได้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้คนที่พูดสายกลับไม่ใช่แม่ของเขา!
“ว่ายังไงลูกชาย ไหนพูดอีกทีซิ!”