“ว่ายังไงลูกชาย ไหนพูดอีกทีซิ!”
“คุณ!”
“พูดกับพ่อมึงให้มันดี ๆ ม่าน ถ้ามึงอยากให้แม่มึงได้ไปหาหมอพรุ่งนี้ มึงพูดให้มันดี ๆ” เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนขู่มาตามสาย แม้มันจะเป็เพียงแค่คำขู่แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานอำนาจความโหดร้ายของมันได้ ยิ่งคนที่ขู่เป็บิดาแล้วด้วยนั้น
“ผมกับรามสูร เราจะแต่งงานกัน”
“ฮ่าๆๆๆ ไปทำอีท่าไหนวะ ทีแรกกูบอกแค่ให้เข้าไปตีสนิทเป็เพื่อนมัน แต่มึงก็บอกว่ามึงกับมันไปไกลเกินเพื่อนแล้ว พอมาตอนนี้ ยังมาตกลงแต่งงานกันอีก หนูตกถังข้าวสารไปแล้วนี่หว่า ฮ่าๆๆๆ” บิดาหัวเราะชอบใจราวกับได้ของเล่นชิ้นใหญ่ที่ถูกใจนักหนา แน่ล่ะ เื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหากไม่ใช่เพราะบิดาเป็ตัวเร่งเชื้อไฟ เขากับรามคงจะยังมาไม่ถึงขั้นนี้กันหรอก
“เดี๋ยวกูโอนเงินให้ มึงจะเอาเท่าไหร่”
“...”
“อย่าให้มันมากนะม่านหยี่ เงินมึง ชีวิตมึง ชีวิตแม่มึง อยู่ในกำมือกูนะ อย่าให้กูได้มีน้ำโหจะได้มั้ย! คุยกันดี ๆ ประสาพ่อลูกมันจะตายรึไง หรือต้องให้มีเืตกยางออก มีเจ็บตัวกันไปข้างก่อน ห้ะ!!!”
ขนาดห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร เขายังััได้ถึงความน่าสะพรึงในน้ำเสียงที่บิดาตวาดกร้าว พ่อไม่เคยทำตัวเป็พ่อ พ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูลูกแม้แต่น้อย พ่อที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างที่อยากได้รวมถึงใช้อำนาจข่มขู่แม่และลูกชายอย่างเขาด้วย
“จะโอนเท่าไหร่ก็โอนมา”
“เห้ยพวกมึงฟังนะ ลูกกูกำลังจะมีผัวแล้วว่ะ ฮ่าๆๆๆ”
เป็พ่อที่คอยสร้างความอับอาย อัปยศ และความเกลียดชังให้กับชีวิตของเขาั้แ่ลืมตาดูโลก จนกระทั่งตอนนี้ บิดาไม่เคยทำตัวสมกับเป็บิดาเลยสักครั้ง
“กูให้แสนนึง โอนไปให้แล้ว เอาไปทำไรก็ทำ หรือจะจัดงานแต่งใหญ่โตก็ได้ตามใจมึง ฮ่าๆๆๆ อย่าลืมเขียนการ์ดเชิญแม่กับพ่อด้วยนะลูกชาย โอ๊ะลืมไป มึงบอกมันว่ามึงเป็ลูกกำพร้านี่หว่า ฮ่าๆๆๆ”
เขาเกลียดเสียงหัวเราะนั่น เกลียดเวลาที่ผู้ชายคนนั้นรู้ว่าตนเองชนะในเกมนี้อีกแล้ว เขาเกลียดชัยชนะของพ่อ เกลียดลูกน้องพ่อ เกลียดบ้านของพ่อ เกลียดเงินของพ่อ
“วางนะ”
และเช่นเดียวกันนั้นเขาก็เกลียดตัวเองยิ่งกว่า เพราะเขายังอยู่ตรงนี้ ที่นี่ ไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง แม้แต่จะพาแม่ออกจากขุมนรกแห่งนั้น เกลียดที่ตนเองยังต้องพึ่งพาเงินของผู้ชายคนนั้น เกลียดที่ไม่ว่าจะอย่างไรม่านหยี่คนนี้ก็ยังต้องกลับไปที่เกาะนั่น ที่บ้านหลังนั้น และเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของพ่ออยู่ดี
สามปีที่แล้วหลังจากที่เขากับรามสูรคบกัน แม่คือคนแรกที่ม่านหยี่ตั้งใจจะบอก ทว่า...เื่ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“ใคร มึงกำลังคบกับใครนะ”
ในขณะที่กำลังคุยกับแม่อยู่ โทรศัพท์ก็ถูกแย่งออกไปโดยพ่อของเขา...
“ราม” ในตอนนั้นม่านหยี่ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่บิดากำลังถาม ถ้าหากเขาเอะใจสักนิด ระวังตัวสักหน่อย บางทีเื่ทั้งหมดอาจไม่เป็แบบนี้ก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ...ม่านหยี่ไม่ทันระวังตัวว่าผู้เป็พ่อกำลังจะใช้ตนเองและแม่เป็เครื่องมือในหมากเกมนี้
“ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันชื่อจริงนามสกุลอะไร”
“รามสูร ชัยพิพัฒน์”
“ชัยพิพัฒน์งั้นเหรอ ชัยพิพัฒน์กรุ๊ปสินะ...”
“ทำไม”
“กูอนุญาตให้มึงตั้งคำถามกับกูั้แ่เมื่อไหร่!” ฟังเสียงแข็งกร้าวของผู้เป็พ่อที่กรอกตามปลายสายลงมาก็ทำให้ลูกชายคิดได้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น
“ไม่...ครับ”
“ดี ชัยพิพัฒน์ กูรู้จักอิคุณนายรุ่งฤดี กูพยายามขอแบ่งที่บนเกาะมันมาสร้างโรงงาน แต่มันดันเป็อีแก่หวงที่ ไม่ยอมแบ่งขายให้กู”
“...”
“นี่ขนาดปรึกษากับ ส.จ.ณัฐ แล้วนะ กูยังเอาตรงนั้นมาเป็ของกูไม่ได้ ดีล่ะ ถ้ามึงเข้าถึงตัวลูกชายมันได้ มึงก็ต้องทำ”
“...มะ”
“อย่าคิดจะพูดคำนั้นออกมาม่านหยี่! กูล่ะเกลียดชื่อมึงจริง ๆ แต่มึงอย่าลืมนะว่าชีวิตมึง ค่ายารักษาโรคแม่มึง ค่ากินค่าอยู่ของมึง สิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับความเป็ความตายของแม่มึงขึ้นอยู่กับกู อย่าได้ลืมเื่นี้ไป!”
“...”
“หรือถ้าลืมก็ให้จำใส่หัวมึงเอาไว้ อย่าคิดจะเล่นตุกติกกับกู เพราะไม่อย่างนั้นคีโมแม่มึงก็จะไม่ได้ทำ กูจะไม่พาแม่มึงขึ้นฝั่งไปหาหมอตลอดไป ให้มันแห้งตายคาเกาะอยู่นี่แหละ!”
“ไม่ได้นะ!”
“ทำตามคำสั่งของกู มึงไม่มีสิทธิ์มาสั่งว่ากูทำอะไรได้หรือไม่ได้!”
“...”
“เข้าใจมั้ย!”
“ครับ เข้าใจครับ!” คำสั่งนั้นถือเป็ที่สิ้นสุด ห้ามมีข้อต่อรอง ห้ามสงสัย ห้ามโต้แย้งในเื่ที่ตนเห็นว่าไม่สมควร ไม่มีคำว่าทำไม่ได้หากพ่อของเขา้าให้มันเกิดขึ้น เื่ราวของม่านหยี่และรามสูรก็ต้องเกิดขึ้นและดำเนินไป พ่อหวังเพียงแค่ผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับโดยไม่สนใจความรู้สึกของใครหน้าไหนทั้งสิ้น ส่วนม่านเองนั้นก็กลายเป็คนอ่อนแอ หลายครั้งหลายคราวก็กังขาในความรู้สึกของตนเองว่าแท้จริงแล้ว
“เขารักรามสูรจริง ๆ ใช่ไหม”
“คิดอะไรอยู่” เสียงของคนรักปลุกเรียกสติม่านออกจากภวังค์ รถยนต์พุ่งทะยานไปข้างหน้าบนทางด่วนยกระดับที่สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เขากับรามสูรกำลังเดินทางไปสนามบินเพื่อที่จะกลับบ้านของรามสูร และยังมีเื่งานแต่งงานที่เรากำลังวางแผนกันเอาไว้ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีโอกาสกลับกรุงเทพอีกเมื่อไหร่ ดูเหมือนว่ารามจะตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเรามาก มากเป็พิเศษ รามสูรไม่หยุดพูดถึง ‘งานแต่งงานของเรา’ เลย รามมักจะถามความคิดเห็นของม่านว่าหากธีมงานแบบนี้ม่านจะชอบไหม หรือม่านมีความเห็นว่าอย่างไร ชุดเ้าบ่าวม่าน้าสีอะไร รามคิดว่าถ้าหากเราใส่ชุดแล้วยืนเคียงคู่กันจะต้องดูดีมากแน่ ๆ เื่สถานที่จัดงาน เื่อาหาร รามคิดหนักแม้กระทั่งว่าจะให้่เช้าเป็งานหมั้นแล้ว่บ่ายเป็งานแต่ง
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“ตื่นเต้นเหรอ”
“อืม” แท้จริงแล้วความรู้สึกในใจของเขามันห่างไกลกับคำว่าตื่นเต้นไปมากโขเลยล่ะ ม่านหยี่กำลังคิด คิดหนักว่าถ้าหากรามสูรรู้เื่ราวทั้งหมดจะเป็อย่างไร เขาควรจะบอกรามดีไหม บอกความจริงทุกเื่ที่เขาเคยโกหกรามสูรตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ถ้าหากเขาบอกความจริงกับรามสูรก่อนที่ชีวิตคู่ของเราสองคนจะเริ่มต้นขึ้น มันจะยังมีคำว่าเรา...อยู่ในอนาคตอันใกล้ที่ซึ่งรามรู้ความจริงไหม รามจะยังรักเขาและเข้าใจเื่ราวทั้งหมดที่เขาทำลงไปหรือไม่ ถ้าเขาบอกไปรามสูรจะช่วยอะไรได้ไหม เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว รามกับเขาก็เป็เพียงแค่เด็กน้อยอายุ 23 ปีที่พึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ความรักที่สองเราคิดว่ามันสุกงอมควรค่าแก่เวลาลงหลักปักฐานใช้ชีวิตร่วมกันมันอาจยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้ เราต่างก็เป็เด็กด้วยกันทั้งคู่ จะรู้อะไรเกี่ยวกับความรักสักแค่ไหนกันเชียว
บางทีม่านหยี่อาจคิดผิดที่ตกลงแต่งงานกับรามสูร
“นายน้อย สวัสดีครับ”
“ครับ”
“นายหัวราม สวัสดีจ้า”
“อ้าวนายหัวน้อย! กลับบ้านเหรอครับ”
หลังจากเข็นรถเข็นที่บรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่เอาไว้ 3 ใบออกมาจากสายพานรับกระเป๋า ม่านหยี่ก็ต้องเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่ต่างพากันเรียกทั้งยังโบกมือทักทายคนรักของเขา ราวกับว่ารามสูรเป็ที่รู้จักของผู้คนเหล่านี้มานานมากแล้ว
“พี่พลอยู่ข้างนอกครับนายน้อย มาครับผมช่วย”
“เอ่อ...ครับ ขอบคุณครับ” ม่านหยี่ค้อมหัวขอบคุณทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายสงสัย
“ทำไมพวกเขารู้จักรามอะ”
“ตอนเด็กมาวิ่งเล่นแถวนี้บ่อย”
“ในสนามบินเนี่ยนะ”
“ใช่ แม่รามพามา บางทีก็รอแม่”
“นายน้อย แหม่ กลับมาไม่ทักพี่เลยนะ”
“แหม่พี่แจ็ค ผมพึ่งมาถึงครับ อย่างอนผมเลยนะ ผมมีน้ำหอมมาฝากด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาขึ้นมาให้”
“อุ๊ย! ทั้งหล่อ ทั้งใจดี รักตายเลย”
“ฮ่าๆๆๆ” ม่านหยี่มองคนรักที่หัวเราะจนตาหยี ตอนนี้เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ทำไมทุกคนที่นี่ดูเหมือนจะรู้จักและสนิทชิดเชื้อกับรามเป็อย่างดี ทุกคนเรียกรามว่านายหัว นายน้อย หรือไม่ก็นายหัวน้อย เป็อะไรที่เขาไม่เคยได้ยินจากปากคนรัก
“นั่นพี่แจ็ค แกเป็กะเทย ตอนรามเด็ก ๆ เวลาแม่ไปธุระจะฝากรามเอาไว้กับแม่พี่แจ็ค เราเลยสนิทกัน”
“ไม่เห็นเข้าใจเลย” ม่านไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองทำหน้าตายังไง แต่ที่รู้ ๆ คือรามกำลังหัวเราะเขาแน่ ๆ
“พี่พล! พี่หนิม! สวัสดีครับ”
“นายน้อยสวัสดีครับ! นี่ดีนะเนี่ยนายน้อยจำผมได้ เรียกพี่ ๆ ตลอดเลย ชื่นใจครับผม” พี่พลดูห่างไกลกับคำว่าพี่ชายมากโข แต่ถึงอย่างนั้นรามและพี่พลคงสนิทกันถึงเล่นกันได้แบบนี้
“แหม่ ใครจะจำไม่ได้ครับ ยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้” รามสูรพูดแซว
“ฮ่า ๆ มาครับกลับบ้านกัน”
“ครับ” รถตู้ครอบครัวขนาดใหญ่จอดรออยู่บริเวณลานจอดรถในสนามบิน มีคนขับรถที่ดูเหมือนพนักงานโรงแรมรออยู่สองคน คนแรกคือพี่พล คนที่สองน่าจะเป็หนิมที่รามเรียกชื่อไปตอนแรก สองคนสวมเครื่องแบบสีดำ กระเป๋าเสื้อบนอกข้างซ้ายปักโลโก้สีทองที่เขียนว่า Grand Central Andaman Pearl Hotel เอาไว้ ซึ่งม่านคิดว่ารามสูรไม่เคยเล่าอะไรให้เขาฟังเกี่ยวกับโรงแรมนี้ หรือแม้กระทั่งพี่แจ็ค พี่พล หรือหนิมเอง รามก็ไม่เคยพูดถึง
“นายน้อยหิวมั้ยครับ แวะกินข้าวกันก่อนมั้ย”
“ม่านหิวมั้ย”
“ฮึ? อ่อ อืม ๆ” นาทีนี้ม่านหยี่ก็คงต้องตามน้ำไปก่อน
“ครับพี่พล แวะกินข้าวก่อนก็ได้”
“ครับผม!”
“พี่พล ไอ้อัสมันอยู่บ้านมั้ย”
“คุณอัสนีอยู่บนฝั่งครับ ขึ้นมาเมื่อวานนี่เอง ผมนี่แหละมาส่ง”
“ถ้างั้นแวะไปกินข้าวที่โรงแรมก่อนแล้วเดี๋ยวเราค่อยไปเกาะกันนะ แม่น่าจะรออยู่”
“คือนายน้อยครับ”
“มีอะไรรึเปล่าพี่พล”
“คือ...คุณนายไม่อยู่นะครับ ไปสวิตเซอร์แลนเมื่อวานก่อน”
“ห้ะ! แล้วทำไมแม่ไม่บอกอะไรผมเลย”
“คือเอาเครื่องบินส่วนตัวบินไปเลยครับ คุณนายบอกว่าไปงานวันเกิดเพื่อนสนิท แต่พึ่งมาบอกผมตอนที่ผมส่งคุณนายที่สนามบินแล้ว ผมก็นึกว่าคุณนายบอกนายน้อยแล้ว”
“ไม่อะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“แล้วไอ้อัสรู้มั้ย”
“พึ่งรู้เมื่อวานครับ”
“แม่นะแม่!” ม่านหยี่มองหน้าคนรักที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันให้มารดา แต่สิ่งที่กำลังทำให้เขาช็อกอยู่คือพี่พลคนขับรถบอกกับเราว่าแม่ของรามสูร ‘นั่งเครื่องบินส่วนตัว’ ไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อไปงานวันเกิดเพื่อนสนิท คนเราจะมีเครื่องบินส่วนตัวกันไปทำไมนะ
“เครื่องบินส่วนตัวเหรอราม”
“ใช่ครับ” ในขณะที่ม่านกำลังงงงวยและรู้สึกว่าตนเองเป็อากาศธาตุอยู่นั้น พี่พลก็แทรกเข้ามาดึงเขาเข้าสู่บทสนทนา
“คือ...ยังไง” ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เข้าใจ ม่านหยี่ยังคิดหาเหตุผลดี ๆ สักข้อในการซื้อเครื่องบินส่วนตัวไม่ได้เลย...
“เอ่อคืออย่างนี้นะม่าน”
“ไม่เดี๋ยวราม เราไม่เข้าใจ”
“เพื่อนเหรอครับนายน้อย”
รามสูรในตอนนี้ดูเหมือนคนที่รู้ตัวว่าตนเองกำลังจะงานเข้า จริงอยู่ที่เขาคบกับม่านหยี่มาหลายปีแล้ว แต่ชีวิตส่วนตัวของเขานั้นไม่ค่อยได้เล่าให้ม่านฟังสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะม่านหยี่ไม่ได้เป็คนช่างจ้อชอบถามหรือละลาบละล้วงอยากรู้อยากเห็นเกินไป และเขาเองก็ไม่ได้อยากโพนทะนาชีวิตความเป็อยู่ของตนเองให้คนอื่นรับทราบ เขาอยากให้ม่านคิดแค่ว่ารามสูรเป็ลูกคนรวยที่ไม่ได้ทำตัวหัวค...จนเกินไปก็เท่านั้น
“คือ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยว่ะลุง”
“พี่ครับ พี่พล”
“ครับ...พี่พล”
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมอธิบายให้คุณเขาฟังเองครับ” พี่พลอาสาเป็ทั้งสารถีและคนเล่าเื่ราวทั้งหมดเพื่อชี้แจงแถลงไข
“คือคุณรามสูรแกเป็ลูกชายของคุณนายรุ่งฤดีน่ะครับ”
“...”
“คุณนายรุ่งฤดีเป็เ้าของกิจการต่าง ๆ ในภูเก็ต ทั้งโรงแรม ทั้งฟาร์มไข่มุก ทั้งร้านของฝาก ห้างสรรพสินค้า อู่ต่อเรือ กลุ่มชัยพิพัฒน์กรุ๊ป”
‘กลุ่มชัยพิพัฒน์’
เป็ชื่อที่เขาเคยได้ยินมาแค่ไม่กี่ครั้ง แต่จำได้แม่นว่าบิดาใส่ความเกลียดชังลงไปในน้ำเสียงยามเอ่ยถึงมัน
“โรงแรมก็มีทั้งบนฝั่ง ที่เรากำลังจะไป กับโรงแรมบนเกาะที่...”
“ที่เราจะไปเย็นนี้” รามสูรเสริมราวกับเป็ลูกคู่รับส่งกันเป็อย่างดี
“ครับผม!”
“...”
“จริง ๆ แล้วถ้าเป็นายน้อยหรือแขกของนายน้อยมาเยือน ก็จะใช้เครื่องบินส่วนตัวบินจากสนามบินไปลงที่ลานจอดเครื่องบินบนเกาะ แต่่นี้มีแขก VIP เข้า เครื่องบินก็เลยไม่ว่างซักลำ”
คำว่าซักลำทำให้ม่านรู้สึกใขึ้นไปอีก
นี่หมายความว่าที่บ้านรามสูรไม่ได้มีเครื่องบินส่วนตัวแค่ลำเดียวอย่างนั้นเหรอ!
“แขก VIP รอบนี้ใครเหรอพี่พล ทำไมดูวุ่นวายกันจัง สองสามอาทิตย์ก่อนที่โทรหาไอ้อัสก็บอกยุ่ง ๆ กับแขก VIP”
“เห็นว่ามาจากซาอุครับ เป็เ้าชายหรือยังไงนี่แหละ”
ครานี้สองคนมองหน้ากันอย่างเหลือจะเชื่อ หน้าตาของม่านหยี่ไม่หลงเหลือที่ให้เครื่องหมายคำถามประดับอยู่แล้ว
“ไม่ม่าน อันนี้เราไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว”
ม่านหยี่ไม่รู้ว่าจะต้องใอะไรก่อนดี ต้องใที่พึ่งรู้ว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่คบกันมา รามสูรเป็ลูกชายคนเล็กของชัยพิพัฒน์กรุ๊ปซึ่งร่ำรวยมาก เรียกได้ว่าเป็มหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ หรือเขาต้องใที่มีเ้าชายมาพักโรงแรมของราม หรือที่ม่านต้องใคือรามไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับครอบครัวของตนเองให้เขาฟังเลย แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ไม่ใช่แค่รามสูรที่มีความลับ ม่านหยี่เองก็มีความลับที่บอกใครไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นก็จะถือว่าเจ๊ากันไปในเื่นี้
“งอนรามมั้ย”
“เื่อะไร”
“เื่นี้ ที่รามไม่ได้เล่าอะไรให้ม่านฟังเลย”
“อืม...ไม่หรอก ดีใจซะอีกมีแฟนรวย” ม่านหยี่แกล้งพูดไปแบบนั้น
“รามไม่ได้รวยหรอก แม่รามนู่น ขอตังค์ไปเรียนยังบ่นอยู่เลยว่ารามใช้ตังค์เปลือง”
“คุณนายบ่นเพราะคุณรามซื้อรถต่างหากครับ ไม่ได้บ่นเพราะขอตังค์ไปเรียน”
“รู้ดีนะพี่พล”
“ฮ่าๆๆๆ”
ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่คนพื้นเมืองพยายามทำนุบำรุงถนอมเอาไว้เพื่อใช้เป็จุดขายของการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยว ถัดไปจากนั้นก็เป็ที่ตั้งของโรงแรมขนาดใหญ่ ตึกสูงระฟ้าตั้งเรียงรายกระจายห่างกันไปหลายสิบเมตร สวนสีเขียวสดบริเวณด้านหน้าโรงแรมถูกตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพรรณ รวมทั้งยังมีประติมากรรมต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าตอนนี้พวกเขาเข้าสู่แผ่นดินแห่งไข่มุกอันดามันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ม่านหยี่มองป้ายหินอ่อนหน้าโรงแรมสลักตัวหนังสือ Grand Central Andaman Pearl Hotel เอาไว้ก่อนที่รถตู้คันใหญ่จะเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถและจอดนิ่งสนิทบริเวณหน้าโรงแรม พี่พลดูท่าทางกระตือรือร้นมากเป็พิเศษ เพราะเมื่อรถจอดนิ่งสนิทพี่พละโลงจากที่นั่งคนขับแล้ววิ่งอ้อมมายังประตูในส่วนของผู้โดยสาร พร้อมทั้งเปิดเลื่อนทำราวกับว่าเขาและรามสูรเป็แขกผู้มีเกียรติที่ต้องดูแลเป็อย่างดี
“ขอบคุณครับ” รามสูรตอบยิ้ม ๆ
“เดี๋ยวเราลงไปกินข้าวกันที่โรงแรมก่อนนะม่าน”
“อืม”
ว่าอย่างไรว่าตามกัน ถึงยังไงเขาก็ขัดขืนอะไรไม่ได้อยู่ดี ม่านหยี่เดินตามหลังคนรักไปยังห้องอาหารของโรงแรมขนาดใหญ่ แต่ก่อนหน้าที่จะไปถึงที่นั่น พนักงานโรงแรมที่ไม่ว่าจะติดธุระอื่นใดของตนอยู่นั้นเมื่อรามสูรเดินผ่านไปทุกคนต่างก็หยุดยืนและไหว้ทำความเคารพ
“สวัสดีค่ะนายหัว”
“สวัสดีค่ะคุณรามสูร”
“สวัสดีครับนายน้อย”
ทุกคนกล่าวต้อนรับเป็เสียงเดียวกัน นั่นทำให้ม่านหยี่รู้สึกขนลุก คนพวกนี้ราวกับถูกลงโปรแกรมให้พูดสวัสดีอย่างอัตโนมัติ
“ราม”
“ครับ”
“เราไม่ชินเลย มันแบบ...ไม่ชิน” ม่านหยี่สาวเท้าก้าวยาว ๆ เดินให้ทันคนรักพลางลูบแขนตัวเองป้อย ๆ
“หึ ๆ เดี๋ยวก็ชิน”
สองคนเดินเข้ามายังห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ ผู้คนที่มาใช้บริการดูบางตามากกว่าที่เคย คงเพราะตอนนี้เป็เวลาเกือบเที่ยงวัน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงออกไปใช้ชีวิตที่ข้างนอก กว่าจะพากันกลับเข้ามาคงถึงเวลาอาหารเย็นพอดี
“นายน้อยสวัสดีค่ะ มาถึงั้แ่เมื่อไหร่คะ”
“พี่พิมสวัสดีครับ พึ่งมาถึงเลย”
“ดีนะคะมา่นี้ ไม่ค่อยแออัด”
“ครับผม ไอ้อัสอยู่มั้ย”
“คุณอัสนีพึ่งออกไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ”
รามสูรพยักหน้าก่อนที่จะสั่งเมนูอาหารสองสามอย่าง ข้าวสวย และเครื่องดื่มเย็น ๆ เพื่อดับร้อน ม่านแอบสังเกตเห็นป้ายสีดำที่ปักอยู่บนกระเป๋าเสื้อของพนักงาน พี่พิมที่รามกำลังคุยด้วยนั้นเธอคือชีฟเมเนเจอร์ของห้องอาหารแห่งนี้ นี่ถึงขั้นหัวหน้าผู้จัดการออกมาต้อนรับ รามสูรจะเวอร์ไปไหน
“ขนาดนี้เลยเหรอ”
“หมายถึง?...”
“ก็แบบนี่คือชีวิตปกติของรามเหรอ” ม่านหยี่เกาแก้มแก้เขิน ในขณะที่มองหัวหน้าผู้จัดการเดินจากไป
“อืม...ประมาณนั้น”
“เหมือนฝันเลยนะราม ชีวิตรามน่ะ แบบจะว่ายังไงดีล่ะ รามที่อยู่กรุงเทพเป็คนละคนกับรามที่อยู่ที่นี่”
“อืม แต่ที่จริงไม่ได้สบายแบบนี้หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ”
“งานโรงแรมเป็ไอ้อัสพี่ชายเราเป็คนดู บางทีเวลาแขกเยอะพนักงานไม่พอ เราก็ต้องขับรถส่งแขกพาทัวร์ ขายโปรแกรมทัวร์ ถึงขั้นขับเรือไปส่งที่เกาะ เป็เด็กก้นครัว อย่างนั้นเลยก็มี”
“แต่ก็เป็ธุรกิจของตัวเองไง”
“ก็ใช่ ส่วนของเราก็อยู่บนเกาะโรงแรมกับฟาร์มมุก แม่ยังไม่ได้แบ่งให้จริงจังหรอก แต่แค่ไอ้อัสมันเรียนจบก่อนมันเลยได้ช่วยแม่ก่อน ส่วนเราก็อย่างที่ม่านเห็น ทุกปิดเทอมที่กลับบ้านก็กลับมาช่วยงานแบบนี้แหละ”
“ดีแล้ว”
“ชอบมั้ย”
“หมายถึง...ทั้งหมดนี่เหรอ” นิ้วชี้เรียวชี้ขึ้นไปบนอากาศแล้วหมุนวนเป็วงกลม เพื่อทวนคำถามรามสูรอีกรอบ
“ครับ”
“...ฮื่อ” ร่างบางส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มแหย ๆ ม่านหยี่น่ะไม่ชอบ ไม่ชิน ไม่เคยประสบพบเจอกับอะไรแบบนี้
“รามเหมือนคนที่เราไม่รู้จักเลย”
“โถ่ม่าน มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“ไม่ ๆ ม่านก็แค่รู้สึกใ แบบอยู่ ๆ อะไรแบบนี้มันก็เกิดขึ้น”
“...รามขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกอะไรเลย”
“อืม ไม่เป็ไร ม่านคงต้องปรับตัวอีกเยอะเลยใช่มั้ย”
“แหะ ๆ น่าจะอย่างนั้นครับ”
รอเพียงไม่นานอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ ม่านมองกับข้าวสองสามอย่างบนโต๊ะอาหาร มีแต่สิ่งที่เขาชอบทั้งนั้น อย่างน้อยรามสูรตอนนี้ก็ยังคงเป็รามสูรของม่านหยี่ รามรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบกินอะไร รู้ว่าถ้าสั่งอาหารมาเยอะก็คงจะโดนเขาบ่นอีกตามเคย และรู้อีกด้วยว่าต้องสั่งของหวานมาตบท้ายทุกที
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ รามบอกว่าเราจะต้องนั่งเรือไปเกาะด้วยเพราะที่พักและบ้านของรามตั้งอยู่บนเกาะ ซึ่งห่างจากชายฝั่งภูเก็ตสามชั่วโมง แต่เนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็ใจ พอล่วงเลยเข้า่บ่ายอ่อน ๆ เมฆฝนก็ตั้งเค้าเป็ครึ้มลอยมาจากทะเลไกลค่อยเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่ง ลูกมะพร้าวที่แขวนเอาไว้เพื่อทำนายสภาพอากาศก็ถูกแรงลมพัดกระโชกจนแทบจะหมุนเหวี่ยงเป็วงกลม ต้นมะพร้าวสูงใหญ่บริเวณด้านหลังโรงแรมซึ่งติดกับชายหาดก็ไหวโอนเอนเอียงแทบจะก้มลงติดกับพื้นดิน ดังนั้นทุกคนเลยลงความเห็นกันว่าวันนี้คงกลับเกาะไม่ได้ คงต้องเปิดห้องที่โรงแรมนอนพักสักคืนก่อนพรุ่งนี้ค่อยไปกันต่อ
“เงียบเลยม่าน รามกลัวใจม่านจริง ๆ นะตอนนี้” ว่าที่เ้าบ่าวเดินมาซ้อนทางด้านหลังแล้วโอบแขนแกร่งของตนเองมากอดเขาเอาไว้ในขณะที่ม่านหยี่กำลังยืนมองพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว เม็ดฝนขนาดใหญ่สาดกระเซ็นไปทั่วทุกแห่งหน ต้นไม้น้อยใหญ่ต่างพยายามยึดเกาะตัวเองเอาไว้กับผืนดินด้วยเพราะโดนลมกระโชกแรง ไอความเย็นแผ่ซึมเข้ามาในห้องผ่านกระจกบานใหญ่มันเย็นจนมีไอน้ำเกาะที่กระจกใสบานนั้น
“อืม...”
“เรารักม่านนะ”
“ราม...”
“หื้ม...ครับ?”
“ถ้าเกิดว่าเราโกหกอะไรซักอย่างกับราม มันเป็เื่ที่ร้ายแรงมาก ๆ แล้วถ้าเกิดว่ารามรู้ รามจะให้อภัยเรามั้ย”
“นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าม่านโกหกเราทำไม เราต้องดูเจตนาของม่านก่อน แล้วเื่ที่ม่านโกหกมันคือเื่อะไร เื่มือที่สาม หรือว่าเื่อื่น”
“ไม่ใช่เื่มือที่สามหรอกนะ”
“แสดงว่าม่านโกหกรามอยู่จริง ๆ เหรอ”
“เอ่อ...คือไม่ใช่อย่างนั้น เราก็แค่ถามดู เหมือนแบบที่เราเจอวันนี้ไง”
“เราไม่ได้ตั้งใจจะโกหกม่านนะ ไม่ได้อยากจะปิดด้วย แต่ที่เราไม่บอกก็เพราะเรา...”
“ไม่อยากให้ม่านรู้ใช่มั้ย ไม่อยากให้ม่านรู้สึกไม่ดีที่รู้เื่นี้”
ฐานะความเป็อยู่ของเขากับรามสูรห่างกันราวฟ้ากับเหว เขาเห็นมันอย่างเป็รูปธรรมก็วันนี้ รามสูรร่ำรวยมหาศาล มีเครื่องบินส่วนตัว มีกิจการห้างร้าน โรงแรม อู่ต่อเรือ และลูกน้องในปกครองนับร้อยนับพันคน เ่าั้คือสิ่งที่ทำให้คนจน ๆ อย่างม่านหยี่รู้สึกอิจฉาได้อย่างง่ายดาย ม่านเป็คนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกตนเองจนบางครั้งก็ดูใจร้ายกับตนเองไม่น้อยเหมือนกัน ทุกครั้งที่มองเพื่อนรอบข้างที่สามารถจับจ่ายใช้สอยหรือซื้อของฟุ่มเฟือยได้อย่างไม่ต้องคิดม่านหยี่ก็รู้สึกอิจฉา เพื่อนบางคนสามารถซื้อคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยราคาหลักหลายล้าน เพื่อนของเขาเกือบทั้งหมดมีรถขับไปเรียน ใช้ชีวิตเป็คนชนชั้นกลางค่อนไปทางชั้นสูง ซื้อของแบรนด์เนมราคาหลักหมื่นหรือหลักแสนแล้วสะพายกระเป๋าใบนั้นแค่เพียงสองอาทิตย์ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็ใบใหม่ที่ราคาแพงกว่าเดิม
ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นต้องติดรถรามไปเรียนทุก ๆ เช้า หลายครั้งที่รามอาสาเป็คนเลี้ยงข้าวมื้อละหลายร้อย ม่านก็ทำได้เพียงซื้อไอศกรีมราคาถูกตอบแทนให้ราม มันเป็ชีวิตที่น่าสมเพชและน่าอดสูอยู่เหมือนกัน แค่เพียงแต่คิดว่าหากไม่ได้รามสูร ชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยของเขาคงยากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
“ไม่เป็ไรนะ ม่านโอเค”
“...ครับ”
“ม่านเข้าใจ ม่านรักรามนะ”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ม่านหยี่จะไม่แน่ใจในคำว่ารักอีกแล้วก็ตาม...