ซ่งอี้เฉินมองรองเ้ากรมกรมอาญาถอยออกไปด้วยสีหน้าอึมครึม เว่ยหรูไห่ปิดประตูทันที จากนั้นเขาก็โบกมือกวาดฎีกาบนโต๊ะลงพื้น
เว่ยหรูไห่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่าไม่กล้าส่งเสียง เขารีบโค้งคำนับแล้วหยิบฎีกาขึ้นมาทีละเล่ม
ซ่งอี้เฉินบีบพระหัตถ์บนพระราชลัญจกรพลางมองฎีกาที่กระจัดกระจายทั่วพื้นด้วยสายตาเ็าสุดขั้ว
สำหรับพวกขุนนางแล้ว เขาเป็เพียงแค่พระราชลัญจกรที่เคลื่อนไหวและพูดได้ พวกเขานำแผนการทั้งหมดที่ตัดสินใจกับเ้านายตนเองเขียนลงบนฎีกาแล้วถือมาให้เขาลงตราประทับเพื่อดำเนินการต่อ จะว่าไปแล้วอาจไม่ต้องประทับตราด้วยซ้ำ ต่อให้เขาคัดค้านก็มีคนไปดำเนินการอยู่ดี
ตำแหน่งของเขาตอนนี้ช่างน่าเบื่อจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ซ่งอี้หานก็ยังรู้สึกเป็อิสระกว่าเขามาก
ทว่าเขาจะไม่ยอมเป็หุ่นเชิดอีกต่อไปเด็ดขาด เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ตรายังต้องประทับ คำพูดยังต้องฟัง กลืนกินไปทีละขั้น การโจมตีครั้งสุดท้ายถึงจะมีประโยชน์
เว่ยหรูไห่หยิบฎีกาทั้งหมดขึ้นมาวางเบื้องหน้าเขาแล้วยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
ซ่งอี้เฉินระงับโทสะในใจแล้วหยิบฎีกามาอ่าน ที่กล่าวถึงเป็ตำแหน่งของอาลักษณ์ฝ่ายซ้าย ชื่อของผู้ที่แนะนำไม่คุ้นเอาเสียเลย ทว่าผู้แนะนำด้านล่างกลับดูคุ้นตาอยู่บ้าง หลายท่านยังเป็คนของไทเฮา ดูแล้วน่าจะเป็เจตนาของไทเฮา
อาลักษณ์ฝ่ายซ้ายควบคุมท่าทีของทั้งราชสำนัก มีอำนาจในการรายงานข่าวลือ ซ่งอี้เฉินเพียงแค่เกลียดที่ตนเองอำนาจไม่ใหญ่พอที่จะกลืนตำแหน่งนี้
หากประทับตรานี้ลงไป เกรงว่าองค์หญิงใหญ่ต้องโมโหจนแทบบ้ากระมัง และไม่รู้เช่นกันว่าสุดท้ายแล้วไทเฮาจะทนรับความเดือดดาลของนางอย่างไร
เขาคิดมันด้วยความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นพลางหยิบพระราชลัญจกรขึ้นมาประทับลงไปโดยไม่ลังเล นกปากซ่อมกับหอยกาบทะเลาะกัน เขาเป็คนตกปลาที่ได้ประโยชน์กระมัง
หลังจากตัดสินฎีกาฉบับนี้แล้วเขาจึงยกพระหัตถ์หยิบอีกฉบับขึ้นมาดูด้วยที่สีหน้าเคร่งขรึม
โรคระบาดลุกลามในเหอเป่ย ราชสำนักได้จัดสรรเงินเยียวยาไปแล้วสองครั้ง ทว่ากลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย ซ่งอี้เฉินจำได้ว่ารองเ้ากรมทั้งซ้ายและขวาของกรมการคลังเคยไปแล้ว ฎีกาฉบับนี้วิจารณ์รองเ้ากรมเฉา เกรงว่ายังมีอีกเล่มที่แนะนำให้เขาถอดตำแหน่งขุนนางที่รองเ้ากรมจัวนั่งออกกระมัง
ซ่งอี้เฉินยื่นพระหัตถ์ดึงฎีกามาพลิกดู พลิกเจอเล่มนั้นจริงๆ นอกจากนี้ยังมีฎีกาเล่มที่ขุนนางท้องถิ่นเขียนบรรยายสถานการณ์ภัยพิบัติด้วย
เขาเผยรอยยิ้มที่มีเหมือนไม่มีออกมาบนใบหน้าแล้ววางฎีกาทั้งสามเล่มไว้ด้วยกัน ก่อนจะตรัสกับเว่ยหรูไห่ “ส่งไปตำหนักอี้คุน ทูลว่าเจิ้นตัดสินใจไม่ได้จึงขอให้เสด็จแม่ช่วยตัดสินใจ”
เว่ยหรูไห่มองซ่งอี้เฉินด้วยสีหน้าแปลกใจแวบหนึ่ง วันนี้ฮ่องเต้ดูผิดปกติเล็กน้อย เมื่อก่อนเขาไม่เคยเต็มใจให้ไปถามไทเฮาเลย ต่อให้องค์หญิงใหญ่ทำเื่ยุ่งยากเพียงใด เขาก็ตอบรับทันที ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าต้องถือฎีกาไปขอร้องไทเฮา
แม้เขาจะรู้สึกแปลกใจ ทว่าความแปลกประหลาดในดวงตาก็ผ่านมาแค่แวบเดียว จากนั้นเขาก็รีบร้อนถือฎีกาไปตำหนักอี้คุนทันที
......
ภายในตำหนักอี้คุน ไทเฮาเพิ่งตัดสินเื่ของอาลักษณ์อู๋ หลังจากรับฎีกาที่เว่ยหรูไห่ถือมาแล้วก็ไม่ได้อ่านทันที ทว่าวางไว้ด้านข้าง เมื่อเว่ยหรูไห่จากไปแล้วนางจึงสั่งให้แม่นมซูอ่านเนื้อหาภายในฎีกา
ฉบับหนึ่งนางรู้สึกคุ้นเคยมาก ส่วนอีกฉบับหนึ่งดูแล้วน่าจะมาจากองค์หญิงใหญ่ ฉบับสุดท้ายกลับเป็ปัญหาที่แก้ได้ยาก นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตรัสว่า “ฝ่าา้าให้อายเจียตัดสินหรือ? สถานการณ์โรคระบาดยังควบคุมได้ เหตุใดฝ่าา้าให้อายเจียตัดสินใจ?”
แม่นมซูคาดเดาแล้วทูลว่า “บางทีอาจเป็เพราะเื่อาลักษณ์อู๋เพคะ ฝ่าาไม่อยากให้องค์หญิงใหญ่เศร้าใจ และเื่ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชน พระองค์จึงทำเช่นนี้เพคะ”
ไทเฮาแย้มยิ้มเ็า “เมื่อก่อนองค์หญิงใหญ่ก็ทำเื่เช่นนี้มาไม่น้อย ทว่าเขาก็ไม่เคยตรัสออกมา”
แม่นมซูมีคำตอบอยู่ในใจ หากเปิดปากก็คงเป็คำพูดทิ่มแทงใจ นางจึงเงียบและทำเพียงแค่ตบไหล่ไทเฮาเบา ๆ ก่อนจะได้ยินไทเฮาโยนฎีกาลงบนโต๊ะ “ช่างเถิด เช่นนั้นอายเจียก็จะตัดสินแทนเขา”
ไม่นานตำหนักอี้คุนก็ประกาศพระราชโองการของไทเฮาออกมา เนื่องจากรองเ้ากรมเฉาแห่งกรมการคลังจัดการงานไม่ราบรื่นจึงถูกสั่งพักงาน ซุนมู่ชิงเ้ากรมการคลังเป็คนไปตรวจสอบเื่โรคระบาดที่เหอเป่ยด้วยตนเอง
......
เื่เหล่านี้ทำให้องค์หญิงใหญ่ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน
องค์หญิงใหญ่ออกจากตำหนักอี้คุนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เมื่อกลับมายังตำหนักรับรองก็พังข้าวของ เมื่อดับโทสะในใจได้บ้างเล็กน้อยก็เก็บกวาดรอบหนึ่งแล้วกลับไปที่จวนองค์หญิงใหญ่
พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ไม่ถูกโฉลกกับบุรุษบำเรอ เข้ามาหนึ่งคนก็จะตายไปหนึ่งคน บุรุษบำเรอที่มีประโยชน์หาง่าย ทว่ารองเ้ากรมเฉาที่ดุแลกรมการคลังกลับไม่ได้พูดง่ายขนาดนั้น
เมื่อกลับมาถึงจวนองค์หญิงใหญ่ นางก็พบคนคนหนึ่งในห้องหนังสือ นางยังโมโหไม่หายจึงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในตำหนักด้วยโทสะ “ไทเฮาไม่สนใจไยดีจริงๆ นางคิดจะลงมือกับข้าแล้ว! นางคิดว่าข้ากลัวนางหรือ อยากลองก็มา!”
บุรุษสูงโปร่งผู้นั้นกล่าวเสียงราบเรียบ “เสวี่ยเอ๋อร์ ท่านใจร้อนเกินไปแล้ว เป็เช่นนี้จะเสียเื่ใหญ่เอาได้”
องค์หญิงใหญ่หมุนกายกลับมาแล้วกระโจนใส่อ้อมแขนเขา ก่อนจะตรัสอย่างเดือดดาล “เ้ามักบอกว่าข้าใจร้อน ตอนแรกข้าก็ใจเย็นเกินไปจึงไม่ได้พาเ้าเข้าจวนองค์หญิงในฐานะราชบุตรเขย ตอนนี้บุตรสาวเ้ากลายเป็สนมของน้องชายข้าแล้ว ทว่าข้ากลับตัวคนเดียว”
บุรุษผู้นั้นหันกายเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าสง่างาม หากเซียวเป่าหลินเห็นใบหน้านี้ก็จะเรียกว่า ‘ท่านพ่อ’ ด้วยความเคารพ
คนผู้นี้ก็คือบิดาของเซียวเป่าหลิน เซียวจ่างเฟิง เซียวไท่เวย (*คล้ายกับตำแหน่งสมุหกลาโหมของไทย)
ทั้งสองพบกันครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน คนหนึ่งเป็องค์หญิงใหญ่ที่ได้รับความเอ็นดูจากอดีตฮ่องเต้ คนหนึ่งเป็บัณฑิตตกอับที่เกือบจะสูญเสียคุณสมบัติในการสอบขุนนางและถูกตระกูลขับไล่ออกจากบ้าน
ตอนแรกนางเคยคิดจะให้เซียวจ่างเฟิงตอบแทนโดยการเป็สามีนาง ทว่ากลับถูกเขาปฏิเสธ
เขาบอกว่าควรบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่และรับใช้ชาติบ้านเมืองแทนที่จะสนใจเื่รักใคร่เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ตอนนั้นนางอายุยังน้อยและไม่ประสาเื่ทางโลก นางชื่นชมความกล้าหาญของเขาและเต็มใจสร้างสะพานปูทางให้เขา
เขา้าความดีความชอบ นางก็ช่วยเขา เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา นางก็เชื่อฟังเขา
กาลเวลาผ่านไป จนถึงตอนนี้นางก็ยังตัวคนเดียว ทว่าเขามีบุตรธิดาแล้ว
ทุกครั้งที่นึกว่าเขาร่วมเตียงเคียงหมอนกับสตรีโง่งมผู้นั้น ในใจนางก็รู้สึกอิจฉาริษยาอย่างควบคุมไม่ได้
สิบกว่าปีผ่านไปดูเหมือนว่าจิตใจของนางจืดจางลง ทว่านางก็ยังไปจากเขาไม่ได้
เขาเป็คนวางแผนและดำเนินการความสัมพันธ์ทั้งหมดเื้ันาง
ทุกคนคิดว่าอาลักษณ์อู๋สำคัญกับนางมาก ทว่ากลับไม่รู้ว่าความจริงว่า เซียวจ่างเฟิงต่างหากที่เป็คนที่นางพึ่งพาจริงๆ
เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่เผยความคับแค้นใจออกมาภายในดวงตา เซียวจ่างเฟิงนึกเหยียดหยามในใจ
อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าตนเองโชคดีเพียงใดที่เลือกปฏิเสธองค์หญิงใหญ่ไปในตอนแรก
เป็ราชบุตรเขยมีความหมายอันใด? องค์หญิงใหญ่มองตนเองทุกวันและมักมีวันที่รู้สึกเบื่อหน่ายเสมอ
เขายืมจมูกคนอื่นหายใจก็ต้องคิดหาวิธีชนะใจนางอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้นางคงความรู้สึกสดใหม่กับตนเองอยู่เสมอและไม่จับเขาไปขังตำหนักเย็น สิ่งนั้นไม่ใช่ชีวิตที่เขา้า