บทที่ 75 หนูสาวกว่า แถมยังสวยกว่าาด้วย
เพราะสัญญาฉบับนี้คนตระกูลลู่จึงทุ่มสุดกำลัง
คืนก่อนหน้านั้นพวกเขาเตรียมผักสำหรับทำไส้ซาลาเปา นวดแป้งไว้พร้อม พอเช้าตรู่ราวตีสี่กว่าก็ลุกขึ้นมานวดแป้งและนึ่งซาลาเปา พอหกโมงเช้าซาลาเปาก็ออกจากซึ้ง พร้อมจัดใส่ตะกร้าที่ปูด้วยผ้าขาวเย็บติดกับผ้าคลุม
พอไปถึงสถานีขนส่งประจำอำเภอ ซาลาเปาก็ยังอุ่นพอดี รสชาติอร่อย
เงินจ่ายกันวันต่อวัน พอตอนเที่ยงเห็นสวี่จือจือถือเงินกลับมาจ้าวลี่เจวียนกับลู่ซือหยวนถึงค่อยวางใจ
ทำอย่างนี้ได้ไม่กี่วันสวี่จือจือก็ไปหาคุณลุงลู่หวยไห่เพื่อให้เขาช่วยนำซาลาเปาไปส่ง โดยใช้เชือกมัดตะกร้าไว้ที่เบาะหลังจักรยาน เขาขี่รถไปอำเภอคนเดียวครึ่งชั่วโมงก็ถึง ที่บ้านก็ไม่ต้องตื่นเช้าขนาดนั้น
จากนั้นสวี่จือจือก็ให้ค่าเหนื่อยกับเขาห้าเหมา ลู่หวยไห่ไม่ยอมรับอยู่แล้ว ยังไงซะเขาก็ตื่นเช้าอยู่แล้ว แค่ไปกลับอำเภอเท่านั้นเอง
่แรกสวี่จือจือก็ยืมรถตามเขาไปสองครั้ง หลังๆ ลู่หวยไห่ก็ทำเองได้
พอพวกเขาเริ่มลงตัวก็ถึงวันเปิดเรียนของโรงเรียนประถมประจำประชาคม
่นี้เหอเสวี่ยฉินกลัวว่างานของตัวเองจะถูกคนอื่นแย่งไปจนถึงขนาดไม่ได้กลับบ้าน แถมยังส่งโจวเป่าเฉิงกับลู่หลิงซานไปอยู่บ้านเดิมที่ตระกูลเหอด้วย
บ้านตระกูลเหอกับบ้านตระกูลลู่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ทีมหนึ่งที่บ้านตระกูลเหออยู่ห่างจากทีมสองสามและสี่พอสมควร
เื่ที่บ้านตระกูลลู่ทำธุรกิจก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ลู่หวยไห่ไปๆ มาๆ ส่งซาลาเปาที่อำเภอ หลายครั้งเข้าก็มีคนสงสัยถาม
แล้วก็ได้ยินมาว่าสวี่จือจือเดือนที่แล้วไปตลาดนัดขายซาลาเปา ซาลาเปาอร่อยจนหัวหน้าสถานีเห็นเข้าเลยสั่งซาลาเปาให้คนขับรถกิน
ไปตลาดนัดครั้งเดียวกลับเจอเื่ดีๆ แบบนี้ได้?
แน่นอนว่าก็มีคนสงสัยว่า คนธรรมดาอย่างนั้นจะทำธุรกิจกับทางรัฐได้เหรอ? แล้วก็ได้ยินมาว่าเซ็นสัญญากับทางรัฐ ถือเป็การจัดซื้อตามปกติ
“เมื่อวันก่อนฉันผ่านหมู่บ้านเป่ยสุ่ย ยังได้ยินหวังซิ่วหลิงด่าคนอยู่ในหมู่บ้านอยู่เลย” มีคนพูดเบาๆ “บอกว่าสวี่จือจือดวงพิฆาตครอบครัวพวกเขา ตอนเกิดเท้าออกก่อนทำให้หล่อนตกเืเยอะ ทำไมพอมาอยู่บ้านตระกูลลู่ดวงถึงดีขึ้นมาได้”
“ฉันว่านะ ตัวซวยจริงๆ น่าจะเป็หวังซิ่วหลิงมากกว่า” หญิงวัยกลางคนอีกคนกลอกตาพูด “บ้านเดิมฉันก็อยู่หมู่บ้านเป่ยสุ่ย หวังซิ่วหลิงยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านตระกูลสวี่ วันเวลาของบ้านตระกูลสวี่ ถึงจะไม่ใช่ที่หนึ่งของหมู่บ้าน แต่ก็พออยู่ได้”
ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้ แทบทนดูไม่ได้
วันนั้นเธอกลับบ้านผ่านบ้านที่สองผู้เฒ่าอาศัยอยู่ ได้ยินมาว่ายังเป็สวี่จือจือที่หาคนมาซ่อมแซมให้ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่รอถึงหน้าหนาวหิมะตกหนักเลย แค่วันฝนตกก็คงอยู่ไม่ได้แล้ว
ดังนั้นหวังซิ่วหลิงกล้าดียังไงมาว่าคนอื่นเป็ตัวซวย?
พอเหอเสวี่ยฉินทำงานที่โรงเรียนเสร็จ กะว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านตระกูลลู่ ก็ได้ยินพวกผู้หญิงหลายคนนั่งคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่
คำพูดแต่ละคำกลับแฝงไปด้วยความชื่นชมและอิจฉาสวี่จือจือ
เหอเสวี่ยฉินหรี่ตาลง แล้วเดินเข้าไปอย่างหยิ่งผยอง
“ถุ้ย” มีคนพูดเบาๆ “ทำตัวสูงส่งไปวันๆ สุดท้ายก็ยังสำส่อน”
“หมายความว่ายังไง?” มีคนเดินเข้ามาถาม
“ก็หมายความอย่างนั้นแหละ” เธอมองทุกคนด้วยสายตาที่พวกเธอเข้าใจกัน แล้วก็พากันชี้หน้าด่าเหอเสวี่ยฉินลับหลัง
เหอเสวี่ยฉินโกรธจนแทบกระอักเื แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ถ้าเธอเข้าไปเถียงกับผู้หญิงพวกนั้นก็มีแต่จะเสียเปรียบ ในใจจึงเกลียดสวี่จือจือแทบตาย
หวังซิ่วหลิง?
เหอเสวี่ยฉินคิดในใจพลางเดินไปทางบ้านตระกูลลู่ ระหว่างทางก็เจอสวี่จือจือที่กำลังกลับมาจากไร่พอดี
ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน นังแพศยานี่กลับสวยขึ้นกว่าเดิมมาก พวกหน้าไม่อาย ไม่แน่ว่า่ที่ลู่จิ่งซานไม่อยู่บ้าน คงไปยั่วยวนผู้ชายคนไหนอีก
“น้าเหอ?” สวี่จือจือยิ้มหวาน “ในที่สุดก็กลับมาแล้วนะคะ”
พอเหอเสวี่ยฉินเห็นรอยยิ้มนั้นก็อยากจะกรีดหน้าอีกฝ่ายให้เสียโฉม แต่ตอนนี้เป็เวลาเลิกงานพอดี จึงแสร้งยิ้มแล้วพูดว่า “อืม กลับมาเอาเสื้อผ้าน่ะ”
“อาการาเ็ของเป่าเฉิงเป็ยังไงบ้างคะ?” สวี่จือจือถามด้วยความเป็ห่วง “หนูได้ยินมาว่าาเ็ตรงนั้น แต่น้าไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ตอนนี้การแพทย์ทันสมัย ต่อให้ในอำเภอเราไม่ดีก็ไปดูที่เมืองฉินหรือเมืองหลวงได้ รับรองว่าต้องหายแน่นอน”
ทั้งที่เลิกงานเหนื่อยแทบตาย แต่พอได้ยินเื่ซุบซิบนินทาตอนนี้ กลับรู้สึกว่ามีแรงขึ้นมาทันที
อะไรคือาเ็ตรงนั้น?
ชาวบ้านต่างก็ตั้งใจฟัง
“เขาสบายดีมาก เธอไม่ต้องมายุ่ง” เหอเสวี่ยฉินมองสวี่จือจืออย่างเ็า “ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ” แล้วก็พูดว่า “จิ่งซานไม่อยู่บ้าน เธอก็รักนวลสงวนตัวหน่อย”
“คุณย่ากับน้าสะใภ้ก็อยู่บ้านนะคะ” สวี่จือจือยิ้มหวาน เธอไม่โกรธแล้วพูดว่า “แต่น้าเหอ น้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ตอนที่คุณพ่อไปทำงานต่างเมือง ต้องระวังตัวด้วยนะคะ”
ลู่หวยเหรินไปทำงานต่างเมืองเหรอ? ไม่แปลกใจเลย่นี้ถึงไม่เห็นเขา
“น้าเหออย่าคิดมากนะคะ” สวี่จือจือพูดพลางยิ้ม “หนูไม่ได้ว่าน้าว่าไม่รักนวลสงวนตัวนะ หนูหมายความว่าถึงแม้คุณพ่อจะไม่อยู่บ้าน คุณน้าก็ต้องกลับบ้านมาดูบ้าง อย่างน้อยในบ้านก็ยังมีคุณย่าอยู่” เธอยิ้มพูด “ว่าไหมคะ?”
“่นี้โรงเรียนงานยุ่งมาก” เหอเสวี่ยฉินยิ้มเจื่อนๆ “จือจือนี่รู้จักคิดจริงๆ ต่อไปสอนนักเรียนคงเป็ครูที่ดีแน่ๆ”
“เหอะๆ” พอกำลังจะจบประโยคก็ได้ยินเสียงคนพูดเยาะเย้ย “บางคนยังเคยพูดอย่างมั่นใจว่าจะไม่ไปเป็ครู นี่มันน่ารังเกียจจริงๆ”
สวี่จือจือไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครเป็คนพูด ไม่ใช่อันฉินแล้วจะเป็ใครได้อีก
แล้วก็ได้ยินเธอพูดต่อ “พวกเธอยังจะมาโน้มน้าวฉันอีกเหรอ? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม? คนบางคนก็หน้าด้านแบบนี้แหละ”
“ทำแบบนี้ได้ยังไง?” มียุวปัญญาชนคนหนึ่งพูดเบาๆ ตาม “ฉันเชื่อคำพูดหล่อนไปแล้วจริงๆ”
“แล้วต่อไปพวกเราจะทำยังไงดี?” มีคนถามเบาๆ
“เื่นี้พวกเราจะปล่อยผ่านไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด” อันฉินพูดอย่างฮึกเหิม “ถ้าหล่อนได้เป็จริงๆ พวกเราก็จะไปร้องเรียนที่ประชาคม ไปที่อำเภอ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้ไม่มีกฎหมายแล้ว”
ยุวปัญญาชนหลายคนพยักหน้าอย่างขุ่นเคือง
สวี่จือจือหันไปมองอันฉินพลางยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ทำไม?” อันฉินจ้องเธอ “เธอยังเหลิงอยู่อีกเหรอ”
“ไม่ได้เหลิง” เธอถอนหายใจแล้วชี้ไปที่ศีรษะตัวเอง “แค่สงสัยว่าเธอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมมาได้ยังไง ตรงนี้คงเอาไว้ประดับเฉยๆ มั้ง”
“สวี่จือจือ เธอกล้าด่าว่าฉันไม่มีสมอง” อันฉินจ้องอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น
“แล้วไม่ใช่เหรอ?” เด็กสาวมองอีกฝ่ายและยุวปัญญาชนรอบข้างอย่างเ็า “โดนคนยุยงไม่กี่คำก็หน้ามืดตามัวแล้ว ไม่ใช่เครื่องประดับแล้วจะเป็อะไร?”
“ให้มันน้อยหน่อย” อันฉินเยาะเย้ย “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เธอคงกลัวว่าพวกเราจะไปอาละวาดที่ประชาคม ทำให้เธอเสียโควต้าไปใช่ไหม? บอกไว้เลยว่าพวกเราไม่หลงกลหรอก”
“รอดูกันต่อไป” อันฉินพูด “พวกเราจะไปประชาคมตอนบ่าย เื่นี้ประชาคมต้องให้คำตอบกับพวกเรา”
“ใช่แล้ว” ยุวปัญญาชนที่ชื่อเมิ่งไห่อยางก็พูดอย่างตื่นเต้น “นี่มันไม่ยุติธรรม”
กลุ่มวัยรุ่นบ้าๆ บอๆ
สวี่จือจือี้เีจะพูดอะไรกับพวกเขามาก เลยยิ้มแล้วเดินตามเหอเสวี่ยฉินเข้าบ้าน “น้าเหอ เก่งจริงๆ ค่ะ”
“สู้เธอไม่ได้หรอก” เหอเสวี่ยฉินเยาะเย้ย
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” สวี่จือจือตอบ “หนูสาวกว่า แถมยังสวยกว่าด้วย”
เหอเสวี่ยฉิน “...”
เธอโมโหจนแทบกระอักเื
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้