ภายในบ้านเก่า สกุลหูทุกคนห้อมล้อมเจินจูเพื่อสอบถามสาเหตุของเื่ราว
“มิใช่ว่าเป็เพราะครั้งก่อนที่ให้กระต่ายหนึ่งตัวแก่พวกเขาหรอกหรือ ท่านย่า ท่านจำมิได้หรือเ้าคะ เมื่อวานซืนอย่างไรเล่า บางทีกระต่ายของพวกเราอาจจะถูกปากคุณชายของพวกเขากระมัง” เจินจูกล่าวขอไปที เลือกเอ่ยมูลเหตุของเื่ราวครั้งก่อนออกไปนิดหน่อย
“เช่นนั้นเหตุใดพวกเขายังซื้อหัวไชเท้าเ่าั้เป็พิเศษด้วยเล่า?” ผู้ที่กล่าวเป็เหลียงซื่อ ตอนนี้นางกำลังจ้องมองถุงเงินในมือของเจินจู ดวงตาไม่กะพริบเลยสักนิด
“อ่า… นั่นเป็เพราะ เมื่อก่อนข้าเคยมอบหัวไชเท้าให้พวกเขา เนื่องจากคุณชายของพวกเขาป่วยและไม่เจริญอาหารเท่าไร แล้วหัวไชเท้าบ้านเราก็กรอบหวานเป็พิเศษ ถูกปากเขามากนัก ดังนั้น พวกเขาจึงถือโอกาสเอากลับไปเล็กน้อยเ้าค่ะ” เจินจูกล่าวยิ้มๆ
“ปีนี้หัวไชเท้าบ้านเราอร่อยเป็พิเศษจริงๆ ประหลาดมาก เมล็ดพันธุ์พืชเดียวกัน ปีนี้กลับปลูกได้อร่อยนัก เมื่อก่อนผิงซุ่นไม่ชอบทานหัวไชเท้า แต่หัวไชเท้าปีนี้อร่อยจนเขาทานไปไม่น้อยเลย” พอคิดเช่นนี้ ท่าทางที่พวกเ้าของร้านหลิวมาซื้อหัวไชเท้าโดยเฉพาะ หวังซื่อก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว คุณชายกู้อู่ผู้นั้นพอมองดูก็เป็คนเลือกทานคนหนึ่ง ใบหน้างามพริ้งหนึ่งดวง ผอมเสียจนตอบลึกลงไปจริงๆ
“อื้ม หัวไชเท้าปีนี้หวานเป็พิเศษ อร่อยขอรับ” ผิงซุ่นพยักหน้าทันทีทันใด หัวไชเท้านี่ทานไปแล้วเหมือนทานผลไม้นิดหน่อย กรอบๆ หวานๆ อร่อยมากนัก
“คุณชายของพวกเขาป่วยรุนแรงมากหรือ?” ชายชราสกุลหูถามอย่างประหลาดใจ
“เ้าค่ะ ค่อนข้างหนักมาก ไออย่างรุนแรง อาหารมากมายล้วนทานไม่ลง” ไม่ใช่แค่หนักเท่านั้น ป่วยจนเกือบจะคร่าชีวิตน้อยๆ ของเขาด้วย หากไม่เห็นว่าท่าทางเกือบจะไปพบพญายมอยู่แล้ว เจินจูไม่มีทางพุ่งเข้าไปเสี่ยงเป็แน่ และยังมอบหัวไชเท้าผลผลิตในมิติช่องว่างให้กู้อู่อีก อย่างไรเสีย คนป่วยที่ดื่มยาและได้รับการฝั่งเข็มยังไร้ประสิทธิภาพ แต่กลับดีขึ้นได้เพราะทานหัวไชเท้าบำบัดรักษาโรค ไม่ว่าผู้ใดต่างก็งงงวยและถามอย่างละเอียดกันทั้งนั้น
“เช่นนี้ก็ไม่แปลกใจเลย คุณชายตระกูลร่ำรวยป่วยหนักหนาเช่นนี้ ยากจะพบเจออาหารที่ถูกปากได้ แน่นอนว่าต้องคิดหาวิธีที่จะซื้อกลับไปอย่างสุดความสามารถ” หูเฉวียนฝูพยักหน้าเข้าใจ
“นั่นคงจะจริง ท่านพ่อ หน้าร้านฝูอันถังของพวกเขาก็ตั้งอยู่บนถนน ไม่เพียงแต่สะอาดเรียบร้อยและกว้างขวางเท่านั้น แต่ยังมีหอสูงสองชั้น นั่นน่าจะเป็ร้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแล้ว และดูเหมือนว่าลานหลังร้านยังมีเรือนใหญ่มากๆ อยู่หนึ่งหลัง ได้ยินมาว่าสกุลกู้พวกเขาเป็ตระกูลใหญ่โตที่มีเงินในเมือง” หูฉางหลินนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เจินจูเข้าไปฝูอันถังเพื่อซื้อฮวาเจียวขึ้นได้ แค่มองฝูอันถังที่มีขนาดสูงใหญ่นั่นแล้ว เขากับหูฉางกุ้ยน่ะแม้กระทั่งความกล้าที่จะเดินเข้าไปก็ล้วนไม่มีสักนิด
แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าห่างไปไม่นาน พวกเ้าของร้านหลิวจะมาถึงบ้านพวกเขาด้วยตัวเอง
ขณะนี้ หูฉางหลินทอดถอนใจไม่เลิก
“เจินจู ในถุงเงินนั้นใส่เงินไว้เท่าไร เปิดออกมาให้ทุกคนดูเสียหน่อยเถิด?” เหลียงซื่อเห็นว่าประเด็นั้แ่ต้นจนจบของทุกคนอ้อมไปไม่ถึงถุงเงินเสียที ในที่สุดเหลียงซื่อจึงอดถามออกมาไม่ได้
“มีเท่าไรแล้วเ้าเกี่ยวอันใด นั่นล้วนเป็ของเจินจู เ้ากังวลใจเื่นี้ให้น้อยหน่อย” หูฉางหลินถลึงตาใส่หนึ่งที จ้องมองเหลียงซื่อ ใบหน้ากล่าวเตือน
“เหตุใดเป็ของเจินจูทั้งหมดเล่า? นี่มิใช่ว่าเป็เงินที่ขายหัวไชเท้าหรือ? หัวไชเท้านี่ก็เป็บ้านเราที่ปลูกนะ” พอเหลียงซื่อได้ฟังที่หูฉางหลินอ้าง นางก็ไม่สนใจแล้ว ไม่สนว่าสีหน้าของหูฉางหลินจะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟหรือไม่
“นั่นเป็เงินมัดจำสั่งจองซื้อกระต่ายของเ้าของร้านหลิว ลูกสะใภ้คนโต อย่าเอะอะโวยวาย เงินที่หามาได้่นี้ของบ้านเราส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาความเห็นของเจินจู หากเ้าไม่ยินดี เช่นนั้นก็คิดวิธีหาเงินด้วยตนเองเถิด” หวังซื่อกล่าวกับเหลียงซื่อด้วยใบหน้าเ็า
“ท่านแม่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นเ้าค่ะ นี่ไม่ใช่ เอ่อ... เจินจูยังเด็กหรือเ้าคะ เงินนี่ย่อมเป็ท่านแม่เก็บไว้จะดีกว่า” เหลียงซื่อรีบแสดงอาการสำนึกผิด ตัวนางเองจะมีวิธีหาเงินอะไร นอกจากเย็บปักถักร้อยได้นิดหน่อย ก็ทำได้เพียงเพาะปลูกทำไร่ทำนาเท่านั้น
เจินจูมองแล้วแอบถอนหายใจหนึ่งเฮือก ทรัพย์สินเงินทองดึงดูดใจคน ความไม่สงบสุขุมของเหลียงซื่อเป็การแสดงออกของคนปกติทั่วไปกระมัง?
นางยิ้มบางๆ ถือโอกาสส่งถุงเงินในมือให้กับหวังซื่อ
“ท่านย่า ข้ากลับก่อนนะเ้าคะ เวลานี้ควรเข้าเรียนแล้ว... พี่รอง ผิงซุ่น พวกท่านทานอาหารเช้ากันหรือยัง?” เจินจูถาม
“ทานเรียบร้อยแล้ว กำลังเตรียมตัวไปบ้านเ้า เ้าก็วิ่งมาก่อน” ชุ่ยจูตอบพร้อมยิ้มตาหยี
“เช่นนั้นก็ดี พวกเรากลับไปด้วยกันได้พอดี ไปกันเถอะ” เจินจูจูงทั้งสอง กล่าวลาทุกคน แล้วกลับบ้านไป
หวังซื่อที่ถือถุงเงินอยู่ ภายในใจทอดถอนใจอย่างมาก หลานสาวของนางผู้นี้นิสัยความคิดเฉลียวฉลาด เป็คนง่ายๆ เงินหนึ่งถุงไม่ดูสักเพียงนิดก็มอบให้นางแล้ว หรือนี่เป็การไว้วางใจนาง? หรือว่าไม่ให้ความสำคัญกับเงินกัน?
ระหว่างเดินกลับบ้าน เจินจู ชุ่ยจูและผิงซุ่นพูดคุยสนุกเฮฮากัน จะไม่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินเงินทองได้อย่างไร แต่สถานการณ์เช่นนั้นคงไม่ดีหากเปิดออกมาดูเท่านั้นเอง มอบให้หวังซื่อย่อมเป็เพราะไว้วางใจนาง แม้นิสัยของหวังซื่อจะค่อนข้างเผด็จการ แต่การวางตัวต่อคนอื่นยังนับว่ายุติธรรม หากจะบอกว่าลำเอียง ก็เป็การลำเอียงมาทางครอบครัวหูฉางกุ้ย ดังนั้น เจินจูจึงไม่กังวลปัญหาเื่เงิน
ตอนเที่ยง ห้องเรียนเล็กจึงเลิกเรียน ผิงอันกับผิงซุ่นวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้วยความเบิกบานใจ ข้างโต๊ะอาหารมีผลไม้แตงและขนมหวานที่เ้าของร้านหลิวมอบให้วางอย่างเป็ระเบียบอยู่ด้านข้าง
เด็กน้อยสองคนมองขนมผลไม้เชื่อมแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก แต่ไม่กล้าลงมือรื้อออกมา
เจินจูที่เดินตามเข้ามาในห้อง เห็นฉากเช่นนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พวกเ้าตะกละสองคน น้ำลายจะยืดลงถึงพื้นแล้ว ตะกละกว่าเสี่ยวเฮยจริงๆ เลย เ้าดู เสี่ยวเฮยไม่เหมือนพวกเ้าเลยสักนิด” ราวกับยืนยันคำพูดของเจินจู ร่างน้อยๆ แสนหยิ่งของเสี่ยวเฮยนั่งอยู่บนแผ่นม้านั่ง จ้องมองพวกเขาด้วยใบหน้าเหยียดหยาม
“ท่านพี่... เปรียบเทียบเช่นนี้ได้อย่างไร เสี่ยวเฮยไม่ได้ชอบทานขนมเสียหน่อย” ผิงอันมุ่ยปากเล็กประท้วงอย่างไม่พอใจ
“พี่สาม พวกเราเปิดหนึ่งห่อมาทานได้หรือไม่?” ผิงซุ่นถามออกมาตามตรง มองที่เจินจูด้วยความคาดหวังเต็มดวงตา
“ฮ่าๆ ได้สิ พวกเ้าเลือกมาเปิดสักห่อเถิด อย่าทำของรกก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างใจกว้าง คนชนบทกับสิ่งของดีๆ ขาดแคลนนัก อาหารจุกจิกที่สามารถทานได้ยามว่างปกติมีน้อยมาก หากเด็กอายุเจ็ดแปดขวบปากตะกละบ้างจึงเป็เื่ธรรมดา
“ว้าว!” เด็กสองคนส่งเสียงร้องแสดงความดีใจ เข้าไปใกล้แล้วปรึกษากันว่าจะเปิดหนึ่งห่อ เลือกห่อไหนดีกว่ากัน
“เจินจู เ้าทำให้พวกเขาเคยตัวนะ ขนมผลไม้เชื่อมเหล่านี้แพงมากนัก เก็บไว้ค่อยทานตอนปีใหม่ดีกว่า” ชุ่ยจูมาขัดขวางไม่ทัน ทำได้เพียงบ่นเล็กน้อย
“พี่รอง ตอนนี้ห่างจากปีใหม่ยังอีกนานนัก ของเก็บไว้นานรสชาติจะเปลี่ยนเอานะ อีกอย่างตอนฉลองปีใหม่ค่อยซื้ออีกก็ได้” เจินจูกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เลือกหยิบผิงกั่วกับสาลี่ไม่กี่ลูกจากในตะกร้าที่ใส่ผลไม้ เตรียมถือไปล้างมาทาน นางมาถึงที่นี่เป็เวลานานแล้ว นี่เป็ครั้งแรกเลยที่ได้ทานผลไม้สด
“อากาศหนาวเช่นนี้ รสชาติจะเปลี่ยนไปเร็วเช่นนั้นที่ไหนกัน ค่อยซื้อตอนฉลองปีใหม่ก็ต้องจ่ายเงินอีกครั้ง” ความเคยชินกับการเป็อยู่ที่ยากจน ได้บ่มเพาะนิสัยชุ่ยจูให้เป็คนประหยัดและอดออม
“ฮิๆ พี่รอง หาเงินมาก็ต้องใช้จ่าย เงินที่รวบรวมแทบตายกลับไม่ตัดใจจ่ายไปบ้าง เช่นนั้นไม่กลายเป็คนขี้เหนียวหรอกหรือ นั่นมิใช่นิสัยที่ดีเลยนะ” เจินจูยิ้มแล้วปลอบใจนาง
“เจินจูกล่าวได้ถูกต้อง หามาได้ก็ใช้จ่ายได้ นี่จึงจะเป็หลักของการหาเงิน” หวังซื่อเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ความปรีดาบนใบหน้าปิดบังไว้ไม่อยู่
“ท่านย่า” สี่เสียงในห้องดังขึ้นพร้อมกัน
“ท่านย่า ท่านมาได้พอดีเลย เมื่อเช้าเ้าของร้านหลิวเอาของมามากมาย อีกเดี๋ยวท่านแบ่งทุกอย่างกลับไปครึ่งหนึ่งสิเ้าคะ ให้ทุกคนได้ชิมกัน” หน้าหนาวผักสดหาได้ยากมาก อุโมงค์ห้องใต้ดินบ้านพวกนางนอกจากผักกาดขาวแล้วก็มีฟักทอง อีกทั้งผักดองที่ทำตอนฤดูใบไม้ร่วง
“โอ้โห ผักนี่ดูแล้วเขียวฉ่ำจริงๆ ข้าเคยได้ยินคนในเมืองกล่าวกันว่าเมืองชิงเฉวียนอาศัยบ่อน้ำร้อนปลูกผัก นั่นล้วนได้ลาภก้อนใหญ่เลยทีเดียว ยังบอกอีกว่าผักกาดกวางตุ้งหนึ่งชั่งสามารถขายได้ถึงสี่สิบห้าสิบเหวินเลยเชียวนะ ราคาสูงกว่าเนื้อหนึ่งเท่าแน่ะ! ที่ใดทานผักกาดกวางตุ้ง ชัดเจนว่าที่กินไปนั้นเป็เงินทั้งสิ้น” หวังซื่อใบหน้าตื่นเต้น พลิกผักสดในตะกร้าไปมาด้วยความระมัดระวัง
“ท่านย่า นั่นเป็ราคาเมื่อก่อน ครั้งที่แล้วตอนพวกเราไปขายกระต่าย มิใช่ว่าเ้าของร้านจางซื้อผักสดมาหลายตะกร้าหรือ ข้าเคยถามเขาแล้ว ตอนนี้หนึ่งชั่งประมาณยี่สิบเหวินเ้าค่ะ” เจินจูหยิบแตงกวากรอบหนึ่งหัวขึ้นมา ใช้มือเช็ดๆ จากนั้นกัดดัง “กร๊วบ” แล้วเคี้ยวอย่างอร่อย
“หนึ่งชั่งยี่สิบเหวินก็แพงมากนะ เ้าดูสิ แตงกวาบนมือเ้า สองหัวก็หนึ่งชั่งแล้ว กล่าวได้ว่าเ้ากัดหนึ่งคำก็กัดเงินหนึ่งเหวินเข้าไปด้วย” หวังซื่อคำนวณเสียงเจื้อยแจ้ว
“แตงกวาหนึ่งหัวเป็เงินสิบเหวิน? ว้าว หากว่านี่เป็หน้าร้อน เงินสิบเหวินสามารถซื้อแตงกวาได้ห้าชั่งเลย” ชุ่ยจูกล่าวอย่างตื่นใ
“ ไม่จำเป็ต้องสนใจว่ามันจะเป็เงินชั่งละเท่าไร ตอนนี้ล้วนเป็อาหารในจานของพวกเราแล้ว หรือว่าพวกท่านยังคิดจะเอาผักไปขายหรือเ้าคะ” แตงกวากรอบสดชื่นและฉ่ำสด กัดเข้าไปในปากเสียงดัง “กร๊วบ” เจินจูกินได้อย่างมีความสุขมากนัก
“นั่นก็จริง เย็นนี้พวกเราฟุ่มเฟือยสักครั้ง ผัดแตงกวาทานสักจาน ฮ่าๆ” ตัวหวังซื่อเองก็ดีใจจนหัวเราะเสียงดัง
“ชุ่ยจู เ้าแบ่งผักผลไม้ออกมาครึ่งหนึ่งก่อน” หลังจากหวังซื่อหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งจึงสั่งชุ่ยจู ทันทีหลังจากนั้นก็ดึงเจินจูเข้ามาในห้อง
หวังซื่อจูงเจินจูนั่งลงที่ขอบเตียง มองไปนอกประตูอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง แล้วจึงควักถุงเงินออกมาจากในอก
“เจินจูเอ๋ย เ้าของร้านหลิวใจกว้างเกินไปแล้ว เ้าเดาสิว่าถุงเงินนี่ใส่เงินอยู่เท่าไร?” เสียงของหวังซื่อดูเหมือนจะแหบเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น
“โอ้ เยอะมากหรือเ้าคะ?” เจินจูหัวเราะ
“เงินทั้งหมดห้าสิบเหลียง!” ในเสียงกดต่ำของหวังซื่อสั่นสะท้านอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ห้าสิบเหลียง? นั่นไม่น้อยจริงๆ เจินจูยิ้ม
“เจินจู เงินนี่พวกเราควรรับไว้หรือไม่? ในใจย่ารู้สึกไม่ค่อยสงบเลย พวกเรายังไม่ได้ให้ของอะไรเขา เหตุใดจึงให้เงินเยอะเช่นนี้แล้วเล่า?” หลังจากหวังซื่อตื่นเต้น ก็กลับมากังวลใจไม่สงบขึ้นนิดหน่อย
“ท่านย่า รับไว้อย่างสบายใจเถิด ไม่ต้องกลัวเ้าค่ะ พวกเขาฝูอันถังคนมากมายกิจการใหญ่โต ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเงินมากมายซื้อความจริงใจคนได้ยาก พวกเขาไม่สนใจเงินเล็กน้อยนี้หรอก คุณชายพวกเขาป่วยหนักหนาเช่นนั้น ทานอาหารไม่ลง ก็ทานยาไม่ได้ กระต่ายกับหัวไชเท้าของพวกเราทำให้เขาอยากทานอาหาร เช่นนั้นก็เหมือนเป็การช่วยชีวิตเขาทางหนึ่ง อาหารที่ช่วยชีวิตเช่นนี้ห้าสิบเหลียงล้วนไม่มากเลยเ้าค่ะ” ไม่ใช่ว่าเป็ที่พึ่งสุดท้ายหรอกหรือ เนื่องจากระดับการไอเป็เืของกู้อู่วันนั้น หากไม่มีอาหารที่ช่วยชีวิตเป็พิเศษเช่นนี้ ก็คาดว่าชีวิตน้อยๆ อาจยืดออกไปได้ไม่กี่วันแล้ว
“… คิดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?” หวังซื่อถูกทฤษฎีของเจินจูทำให้ตะลึง
“ได้อย่างแน่นอนเ้าค่ะ ไม่ว่าจะป่วยอะไรก็แล้วแต่ หากทานอาหารไม่ลงก็ล้วนไม่มีประโยชน์ มีเพียงทานอาหารลงได้ จึงจะมีแรงต้านทานโรคและอาการเจ็บป่วยของร่างกาย ยาที่ทานเข้าไปจึงจะสามารถออกผลได้เต็มที่ ท่านย่า ท่านว่าใช่หรือไม่เ้าคะ” เจินจูกล่าวอย่างยิ้มแย้มต่อไป “ดังนั้นแล้ว เงินเหล่านี้พวกเราถือไว้ได้อย่างสงบและสบายใจ ไม่จำเป็ต้องกังวลเ้าค่ะ”
หวังซื่ออดพยักหน้าตามความเห็นของเจินจูไม่ได้ ในเมื่อหลานสาวเอ่ยว่ารับเงินไว้ได้ก็รับไว้ ไม่เป็ไรหรอก
ขณะนี้ เหตุการณ์เล็กใหญ่ของสกุลหู หวังซื่อล้วนเคยชินกับการสอบถามความเห็นของเจินจูแล้ว...