ท่านเฮ่อฉางเหอขยายขอบเขตจากเครื่องเคลือบให้กลายเป็วัตถุโบราณทั้งหมดโดยอัตโนมัติ และก็รวบผลงานที่หลินเยว่สามารถเก็บตกเครื่องสัมฤทธิ์ที่ความจริงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องเคลือบเลยสักนิดรวมเป็ผลงานจากการอบรมสั่งสอนของตนเองเข้าไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย
ตอนนี้ท่านฉางไท่กำลังรู้สึกตื่นเต้นดีใจ เขามองมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บด้วยสายตาแฝงความประหลาดใจอยู่บางส่วน เขาจึงไม่ได้สนใจท่านเฮ่อฉางเหอที่กำลังชมตัวเองยกหางตัวเองเลยสักนิด
ผ่านไปนานพอสมควร ท่านฉางไท่จึงตื่นจากภวังค์ความตื่นเต้นและประหลาดใจ แล้วถามหลินเยว่ขึ้น “มีดแกะสลักเล่มนี้มีชื่อว่าอะไรหรือ?”
“จันทราหนาวเหน็บ ชื่อนี้เป็ชื่อที่ผมตั้งขึ้นมาเอง เพราะว่าบนมีดแกะสลักเล่มนี้มีการแกะสลักอักษรคำว่า “จันทรา” ตัวเล็กๆ อยู่ครับ”
“จันทราหนาวเหน็บอย่างนั้นหรือ?”
ท่านฉางไท่ได้ยินเช่นนี้ก็เกร็งสะท้านไปทั้งตัว เขารีบพลิกมีดแกะสลักทางด้านข้างขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว และก็เป็ไปตามคาด ้านั้นมีการแกะสลักคำว่า “จันทรา” ด้วยอักษรจ้วนอยู่ เมื่อเห็นอักษรตัวเล็กๆ คำว่า “จันทรา” นี้ สีหน้าท่าทางของท่านฉางไท่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น มือทั้งสองข้างของเขาก็สั่นสะท้านตามไปด้วยเช่นกัน
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเห็นสีหน้าท่าทางของท่านฉางไท่ดูไม่ค่อยปกติ จึงรีบถามขึ้น “ตาแก่ฉาง คุณเป็อะไรไปล่ะ?”
เมื่อท่านฉางไท่ได้ยินประโยคนี้ จากตอนแรกเขาที่สั่นสะท้านไปชั่วขณะ เขาจึงได้สติขึ้นมาทันที ความตื่นเต้นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจึงค่อยๆ ลดลงไป และตอนที่เขามองไปทางหลินเยว่นั้น สีหน้าของเขาก็กลับมาสงบนิ่งตามปกติเรียบร้อยแล้ว
สีหน้าท่าทางของท่านฉางไท่ที่มีความแตกต่างกันอย่างมากเช่นนี้ทำให้ทุกๆ คนต่างตกตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เพราะเหตุใดสีหน้าท่าทางของท่านจึงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ยังตื่นเต้นมากมาย แต่เพียงชั่วพริบตากลับใจเย็นสงบนิ่งเหมือนแต่ก่อนได้ล่ะ?
สุดท้ายก็ยังคงเป็ท่านเฮ่อฉางเหอที่ถามออกมาอย่างเป็ห่วง “ตาแก่ฉาง คุณไม่เป็อะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็อะไร เหอๆ......”
ท่านฉางไท่ได้แต่หัวเราะเหอๆ ออกมา เขาโบกไม้โบกมือให้กับทุกคนเพื่อเป็การบอกว่าตนเองไม่ได้เป็อะไร หลังจากนั้นจึงพูดกับหลินเยว่ “เริ่มได้แล้วล่ะ”
หลินเยว่พยักหน้า เขารับมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บที่ท่านฉางไท่ส่งมาให้ หลังจากนั้นจึงใช้ผ้าสีดำปิดดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง
ในขณะที่หลินเยว่ปิดตาตัวเองด้วยผ้าสีดำนั้น คนอื่นๆ ต่างค่อยๆ หลบออกไปห่างๆ หลี่ชิงเมิ่งหยิบแว่นดำออกมาจากกระเป๋าแล้วสวมมันไว้ คนที่เรียนการแกะสลักทุกคนต้องรู้จักปกป้องรักษาดวงตาของตัวเองตลอดเวลา และในขณะเดียวกันก็ต้องฝึกฝนสายตาของตนเองเช่นกัน ในเวลาที่แสงไม่ค่อยพอก็จะเป็โอกาสอันดีที่จะได้ฝึกสายตาของตนเอง ดังนั้น โดยปกติคนที่เรียนการแกะสลักทุกคนมักจะพกแว่นดำไว้เสมอ และนี่ก็เป็สิ่งที่ท่านฉางไท่ได้ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ ท่านฉางไท่จึงเดินไปหยิบแว่นดำจากห้องหนังสือออกมาสามอัน และยื่นแว่นดำสองอันให้กับท่านเฮ่อฉางเหอและเฮ่อหลันเยว่ ส่วนอันที่เหลือเขาก็สวมให้กับตัวเอง
การสวมแว่นดำจะมีส่วนช่วยในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของธูป และแว่นดำก็ไม่เหมือนกับผ้าสีดำที่หลินเยว่ใช้ปิดตา เพราะแว่นดำจะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้อง ดังนั้น การสวมแว่นดำก็ยังสามารถมองเห็นกิริยาท่าทางของหลินเยว่ในการยกมีดและออกมีดอีกด้วย
เฮ่อหลันเยว่สวมแว่นดำขนาดใหญ่อย่างรู้สึกสนใจ หลังจากนั้นเธอจึงมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอพบว่ารอบๆ ตัวกลายเป็สีดำมืด เธอก็รู้สึกว่าน่าสนุกขึ้นมาทันที
เมื่อรอให้ทุกๆ คนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ท่านฉางไท่จึงพูดกับหลินเยว่ “เริ่มได้แล้วล่ะ ธูป 10 ดอก คุณมีโอกาสลงมีด 10 ครั้ง ธูปมีขนาดเล็กมาก มีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บก็มีความคมกริบ หากผ่าโดนตรงกลางก็จะทำให้ธูปดับได้เลย เริ่มได้แล้วล่ะ”
หลินเยว่ไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ท่ามกลางสายตาของทุกๆ คน เขากลับทำในสิ่งที่ทุกคนรู้สึกใ นั่นก็คือ เขาดึงผ้าสีดำที่ปิดตาของตัวเองลงมา หลังจากนั้นจึงนำผ้าของเดิมที่เป็เพียงชั้นเดียวพับทบลงมาเป็สองชั้นทันที หลังจากนั้นเขาจึงนำขึ้นมาปิดบนดวงตาของตนเองอีกครั้ง
เมื่อเห็นการกระทำของหลินเยว่ ท่านฉางไท่จึงรู้สึกเกร็งไปถึงหัวใจทันที ผ้าเพียงชั้นเดียวก็ทำให้การเดินมีความลำบากมากแล้ว แต่หากเป็ผ้าที่ทบกันสองชั้นก็จะทำให้เขามองเห็นเป็เพียงจุดแดงรางๆ เท่านั้นเอง
เมื่อสักครู่ที่พูดว่าหากปิดด้วยผ้าหนึ่งชั้นก็จะให้ความรู้สึกเสมือนกับเวลากลางคืนอาจจะเป็การพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ความยากของมันก็ไม่ถือว่าน้อยเลย เพราะอย่างมากหลินเยว่ก็แค่มองเห็นจุดแดงๆ ได้ชัดเจนกว่าการมองท่ามกลางความมืดมากขึ้นสักหน่อย ส่วนด้านอื่นๆ ก็แทบจะไม่แตกต่างแล้ว แต่การปิดด้วยผ้าสองชั้นนั้นความมืดย่อมมากกว่าการผ่าธูปในเวลากลางคืน เพราะมันเหมือนกับการหลับตา แล้วเบื้องหน้ามีเพียงจุดแดงๆ สว่างขึ้นสิบจุดเท่านั้นเอง
ท่านเฮ่อฉางเหอก็คาดไม่ถึงว่าหลินเยว่จะทำแบบนี้เช่นกัน ทำให้ท่านคาดหวังในผลงานของหลินเยว่มากยิ่งขึ้น ลูกศิษย์ของตัวเองดีเลิศ ในฐานะที่เป็อาจารย์ก็ย่อมรู้สึกเป็เกียรติมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
ดวงตาของหลี่ชิงเมิ่งก็เกิดเป็ประกายขึ้นมาเช่นกัน เธอจับจ้องหลินเยว่อย่างไม่คลาดสายตา
ส่วนเฮ่อหลันเยว่กลับเอียงศีรษะทำท่าคิดว่าหากซ้อนเลนส์แว่นดำสองชั้นแล้วผลจะเป็อย่างไร คำตอบที่ได้ทำให้เธอใ เพราะก็คือ “มองไม่เห็นอะไรเลย”
เธอมองมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บในมือของหลินเยว่ที่สะท้อนประกายเย็นเฉียบออกมาอย่างสนใจ เธอรู้สึกสงสัยว่ามีดเล่มนี้จะสามารถผ่าธูปที่มีขนาดเล็กมากเช่นนั้นได้ด้วยฝีมือของหลินเยว่หรือไม่
หลินเยว่ยังคงไม่มีการกระทำใดๆ นับั้แ่ท่านฉางไท่บอกให้เริ่มได้ เขาก็ยังคงอยู่ใน่ปรับท่าทางและลมหายใจของตัวเองอยู่ เพราะเขา้าให้ตนเองเข้าอยู่ในสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่ก หลินเยว่เคยลองมาแล้ว หากไม่สามารถเข้าสู่สภาวะนี้ได้ อย่างมากเขาจะผ่าธูปได้เพียง 3 ดอกเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็ขีดจำกัดสูงสุดของเขาแล้ว เพราะโดยปกติเขาจะทำได้เพียง 1 – 2 ดอกเท่านั้นเอง
เวลาค่อยๆ เดินไปทีละวินาที และขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าหลินเยว่จงใจยื้อเวลาจึงไม่กล้าเริ่มผ่าธูป จนถึงขนาดจะเอ่ยปากถามออกไปแล้วนั้น สีหน้ารวมทั้งกล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลินเยว่กลับเริ่มผ่อนคลาย มุมปากที่ยกขึ้นกลับค่อยๆ ถูกดึงกลายเป็เส้นตรง
ลมหายใจยาวนานและมีความสม่ำเสมอ สภาวะจิตสงบนิ่งปรากฏขึ้นแล้ว
ณ เวลานี้ หลินเยว่ไม่มีความตื่นเต้นและความรู้ดีใจใดๆ เขาไม่ยินดียินร้าย ผลการทดสอบไม่สามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ความใฝ่ฝันที่ใกล้จะเป็จริงในอนาคตอันใกล้นี้ก็ไม่สามารถทำให้เขาเกิดความว่อกแว่กได้ เวลานี้ เขาเป็เพียงผู้มองจากภายนอก เขาเป็เพียงผู้กุมมีดจันทราหนาวเหน็บ และเป็เพียงผู้พิชิตธูป 10 ดอกที่อยู่เบื้องหน้านี้เท่านั้น
ในมือของเขา มีเพียงมีดอย่างเดียวเท่านั้น
ในดวงตาของเขา มีเพียงธูปอย่างเดียวเท่านั้น
หลินเดินก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าวอย่างมั่นใจ เขาไม่ได้รู้สึกว่าผ้าที่ปิดบนใบหน้าเป็ตัวสร้างอุปสรรคเลยสักนิด เมื่อเขาก้าวเท้าก้าวนี้แล้ว ตัวเขาก็อยู่ห่างจากธูปดอกแรกเพียงไม่ถึงหนึ่ง่แขน
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหลินเยว่ ทุกคนจึงต่างกลั้นลมหายใจ นี่เป็เหตุการณ์ที่ไม่ได้พบกันได้ง่ายๆ เลย ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะมีโอกาสเห็นคนใช้มีดแกะสลักผ่าธูปเชียวนะ โอกาสนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จึงมิอาจปล่อยผ่านไป
พวกเขาทั้ง 4 คนต่างรู้สึกว่าหลินเยว่มีความเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเขากำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่ความจริงแล้วอีกฝ่ายกลับกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ความรู้สึกที่สร้างความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้พวกเขาทั้ง 4 คนรู้สึกว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าช่างดูผิดปกติเป็อย่างมาก
หลินเยว่ขยับเท้าเบาๆ เขาปรับมุมการยืนของตัวเอง หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นเบาๆ “เริ่มแล้วนะ”
น้ำเสียงของเขาดังออกมา แต่ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังล่องลอย เกิดเป็ความสวยงามแต่ไร้ตัวตน
และประโยคนี้ก็สามารถทำให้คนที่อยู่รอบๆ ต่างตกตะลึง และขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงนี้ หลินเยว่พลันออกมีดอย่างรวดเร็ว
ประกายความหนาวเย็นจากมีดแกะสลักพัดผ่านพวกเขาทั้ง 4 คน
ทุกคนต่างรู้สึกว่าเมื่อประกายความเย็นจากมือของหลินเยว่สะท้อนผ่านไป จุดแดงๆ ของธูปดอกหนึ่งตรงเบื้องหน้าของพวกเขาพลันดับไปอย่างรวดเร็ว เป็การดับสูญไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ร่องรอย
ช่างรวดเร็วจริงๆ!
ผ่าโดนตรงกลางแล้ว!!!
ในสมองของทุกๆ คนต่างเกิดความคิดเพียงสองอย่างนี้เท่านั้น พวกเขายังไม่ทันได้ซึมซับกับความคิดแรกที่เกิดขึ้น แต่ความคิดที่สองที่เกิดขึ้นกลับทำให้ทุกคนเกิดอาการเกร็งค้างไปทั้งตัว
เฮ่อหลันเยว่กำลังจะร้องอุทานตามปกติของเธอ แต่เมื่อเธออ้าปากแล้วกลับนึกขึ้นมาได้ เธอจึงรีบใช้มือน้อยๆ ของตัวเองปิดปากของเธอให้สนิททันที ดวงตากลมโตของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หลี่ชิงเมิ่งเห็นจุดแดงๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ของธูปพลันหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอ สายตาของเธอก็สะท้อนถึงความประหลาดใจออกมาชั่วครู่เช่นกัน
การลงมีดของหลินเยว่มีความรวดเร็วเป็อย่างมาก ตำแหน่งที่มีความแม่นยำเช่นนี้ทำให้ท่านเฮ่อฉางเหอมองไปทางท่านฉางไท่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เพราะท่านเฮ่อฉางเหอจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ท่านฉางไท่ยังเด็ก เขาเคยพูดอวดตอนที่ตัวเองสามารถผ่าธูปได้นั้น เขายังต้องกะระยะอยู่นานพอสมควรถึงได้ลงมีด และครั้งนั้นยังเป็การผ่าตอนกลางวันเสียด้วย! ท่านฉางไท่เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนเมื่อเทียบกับหลินเยว่ในตอนนี้ก็ดูแตกต่างกันราวกับฟ้าและดิน
ภายใน 4 คนนี้ ท่านฉางไท่จะสามารถััถึงความรู้สึกของหลินเยว่ในการลงมีดในครั้งนี้ได้มากที่สุด เพราะประสบการณ์การฝึกฝนผ่าธูปในตอนเด็กๆ ของเขาพลันปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกเ็ปและความน่าเบื่อหน่ายเหล่านี้มันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆ ไปจะสามารถอดทนได้เลย แต่ความจริงแล้วสองอย่างนี้อาจจะไม่ได้ยากสักเท่าไร เพราะความกดดันในจิตใจที่เกิดจากการล้มเหลวครั้งแล้วครั้งต่างหากที่เป็สิ่งที่ยากที่สุด เพราะบางครั้งคุณอาจจะลงมีดไปหลายร้อยครั้งแต่อาจจะไม่สามารถผ่าถูกเลยสักครั้งก็เป็ได้