“รับเป็ลูกศิษย์อย่างนั้นหรือ?”
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหัวใจกระตุก ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกดีใจมาก เขาฟังออกว่าคำพูดของท่านฉางไท่หมายถึงว่า้ารับเขาไว้เป็ลูกศิษย์
“คุณรู้สึกดีใจมากใช่ไหมล่ะ?” ท่านเฮ่อฉางเหอมองหลินเยว่ด้วยสายตาข่มขู่พร้อมถามขึ้น
“เอ่อ......” หลินเยว่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงยิ้มอย่างไม่ค่อยเป็ธรรมชาตินัก
“คุณอย่าเพิ่งดีใจเร็วนักเลย ตาแก่คนนี้ไม่ได้ใจดีเหมือนผมหรอกนะ เขายัง้าดูผลการทดสอบของคุณในวันนี้อยู่ คุณต้องเตรียมใจ แล้วก็เตรียมความพร้อมให้ดี ห้ามทำให้ผมขายหน้าล่ะ!” หากดูจากภายนอกอาจดูเหมือนว่าท่านเฮ่อฉางเหอกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของหลินเยว่ แต่ความจริงแล้วท่านกำลังเตือนหลินเยว่อยู่เป็นัยๆ บอกให้เขาตั้งใจทดสอบอย่างจริงจัง
หลินเยว่พยักหน้าด้วยความมั่นใจ พร้อมพูดขึ้น “ท่านวางใจได้เลยครับ ผมมีความมั่นใจ”
“คุณมีความมั่นใจอย่างนั้นหรือ?” และครั้งนี้กลายเป็ท่านฉางไท่ที่เกิดความสงสัยขึ้นมาแทน “หนึ่งเดือนมานี้คุณเอาแต่ติดตามตาแก่เฮ่อเพื่อเรียนรู้ด้านเครื่องเคลือบไม่ใช่หรือ? แล้วคุณมีเวลาตอนไหนเพื่อเอามาฝึกผ่าธูปกันล่ะ?”
“ผมฝึกผ่าธูปตอนกลางคืนครับ” หลินเยว่พูดพร้อมมีรอยยิ้มบนใบหน้า
“ตอนกลางคืนอย่างนั้นหรือ?” ท่านฉางไท่พูดขึ้น “ไหนคุณลองยื่นมือออกมาให้ผมดูหน่อยสิ”
หลินเยว่เดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วแบมือออกมาตรงหน้าท่านฉางไท่ หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้มือคู่นี้ที่ขาวเนียนละเอียดในตอนนั้น ณ เวลานี้ตรงโคนนิ้วมือกลับเต็มไปด้วยรอยด้านมากมาย ถึงแม้ว่ามือของเขายังคงขาวละเอียดเช่นเดิม แต่ทว่ามือคู่นี้กลับดูหยาบกร้านมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือผลจากการที่เขาฝึกฝนมาตลอดหนึ่งเดือน การจับมีดเป็เวลาหนึ่งเดือนมานี้ นอกจากจะต้องทนรับความเ็ปที่มือและแขนแล้ว เขายังต้องทนเ็ปจากการเสียดสีที่เกิดจากการถือมีดอีกด้วย รอยเืที่นูนขึ้นมาแล้วก็ต้องถูกเสียดสีจนแบนเรียบกลับคืนไป เมื่อเรียบแล้วก็ต้องนูนกลับขึ้นมาใหม่...... ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หนึ่งเดือนมานี้เขาต้องทนรับความเ็ปมากมายขนาดไหน
เมื่อเห็นรอยด้านหนาๆ รวมทั้งรอยเืที่อยู่บนมือของหลินเยว่ สีหน้าของท่านฉางไท่ก็ดูมีความพอใจอยู่ไม่น้อย เพราะนี่ต้องเป็ผลที่เกิดจากการฝึกอย่างหนักเป็ระยะเวลายาวนานอย่างแน่นอน เพราะรอยด้านและรอยเืแต่ละชั้นล้วนเป็ตัวแสดงถึงการฝึกฝนในแต่ละครั้งนั่นเอง
หากเมื่อสักครู่เขายังไม่เชื่อเื่ความขยันพยายามของหลินเยว่ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ แต่ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกเชื่อในตัวหลินเยว่แล้วจริงๆ
ส่วนท่านเฮ่อฉางเหอก็ไม่เคยสังเกตมือคู่นี้ของหลินเยว่มาก่อน แต่ครั้งนี้เขากลับได้เห็นอย่างใกล้ชิด เขาจึงรู้สึกะเืเข้าไปถึงหัวใจเช่นกัน เมื่อเขาคิดภาพที่หลินเยว่มีความขยันพยายามในการเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้เครื่องเคลือบตลอดหนึ่งเดือนมานี้ และเมื่อคิดว่าในทุกๆ คืน หลินเยว่ยังต้องลากสังขารอันเหนื่อยล้าเพื่อฝึกฝนการผ่าธูปต่อ มีดแล้วมีดเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็การฝึกที่ไม่มีเวลาสิ้นสุด อีกทั้งตอนเช้าเขายังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาที่หรงเล่อเซวียน เมื่อคิดถึงการกระทำของหลินเยว่เช่นนี้ ดวงตาของท่านเฮ่อฉางเหอจึงคลอไปด้วยน้ำตาอย่างอดใจไม่ไหว
แต่ทว่าตัวหลินเยว่เองกลับไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีความลำบากในการฝึกฝนมากมายขนาดนั้น เขาคิดเพียงว่าเวลาในแต่ละวันมันช่างน้อยจนเกินไป น้อยจนทำให้เขามีเวลาฝึกฝนไม่เพียงพอ มีเวลาไม่เพียงพอให้เขาเรียนรู้เื่เครื่องเคลือบ และก็มีเวลาให้เขาพักผ่อนไม่เพียงพอเช่นกัน เขาไม่เคยคิดว่าการยอมแพ้เป็อย่างไร ในใจของเขามีแต่การสู้ต่อไป มีแต่ความมุ่งมั่นในการยืนหยัดต่อไป เพราะเขาเชื่อว่าความพยายามของเขาจะต้องเห็นผลในสักวัน ในใจที่มีแต่ความตั้งใจและพยายามของเขาจึงไม่เคยรับรู้ถึงความยากลำบาก อย่างมากก็แค่ต้องเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า และก็แก้ปัญหาอุปสรรคเ่าั้ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นเอง
ผ่านไปนานพอสมควร ท่านฉางไท่จึงถอนหายใจหนักๆ ออกมา หลังจากนั้นจึงถามขึ้น “การฝึกฝนในแต่ละวัน คุณผ่าธูปประมาณวันละกี่ครั้งล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” หลินเยว่ส่ายศีรษะ “ตอนเริ่มต้นวันแรก หนึ่งวันจะผ่าเป็เวลาหนึ่งก้านธูป หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ในแต่ละวันผ่าเป็จำนวนเท่าไรนั้นผมก็ไม่รู้จริงๆ ครับ”
“ครั้งสุดท้ายคุณผ่าเป็เวลากี่ก้านธูปล่ะ?”
“7 ก้านธูป” หลินเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนที่เขาใช้มีดอีโต้ในการผ่า เขาสามารถผ่าได้เป็เวลา 6 ก้านธูป พอเปลี่ยนเป็มีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บที่มีน้ำหนักเบากว่ามีดอีโต้แล้ว เขาสามารถผ่าได้นานถึง 7 ก้านธูป หรือสามารถผ่าได้นานกว่านั้นอีก
“7 ก้านธูป!!!”
ท่านฉางไท่ทำสีหน้าพอใจเป็อย่างมาก
7 ก้านธูปเป็เวลาที่ปฏิบัติจริงได้ยากมากจริงๆ คนธรรมดาทั่วๆ ไปผ่าวันละ 1 ก้านธูปต่อเนื่อง 1 เดือนก็ถือว่าเป็งานยากเสียแล้ว เพราะว่านี่เป็งานที่น่าเบื่อไร้สีสันอย่างแท้จริง หากเป็คนธรรมดาทั่วๆ ไปไม่มีทางอดทนทำต่อเนื่องได้นานเช่นนี้ แต่หลินเยว่กลับสามารถยืนหยัดมาได้ อีกทั้งในแต่ละวัน เขายังสามารถทำลายสถิติของตัวเอง เอาชนะตัวเอง จนสุดท้ายสามารถทำได้ถึงระดับ 7 ก้านธูปซึ่งเป็ตัวเลขที่น่าตกตะลึงเป็อย่างมาก
ชอบเอาชนะจริงๆ!
ช่างมีปณิธานและความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่เหลือเกิน!
ท่านเฮ่อฉางเหอได้ยินตัวเลขจากปากของหลินเยว่ก็รู้สึกใมากเช่นกัน 1 วันผ่าเป็เวลา 7 ก้านธูป มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เขาจำได้ว่าตอนฉางไท่ยังเด็กอยู่ มี่หนึ่งที่เขาฝึกผ่าธูปตอนนั้น สุดท้ายอย่างมากก็ผ่าได้เพียง 3 ก้านธูปในแต่ละวันเท่านั้น และหลังจากผ่า 3 ก้านธูปแล้ว เขาก็เหนื่อยจนหมดสภาพจริงๆ ภายหลังจึงไม่ได้ฝึกอีก หลินเยว่ในตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับท่านฉางไท่ตอนยังหนุ่มที่ยังหลงใหลและบ้าคลั่งในการแกะสลักแล้ว ดูเหมือนว่าเขาในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลยสักนิด หรือว่าอาจจะดูมีความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเสียอีก
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ท่านเฮ่อฉางเหอจึงได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อสถานการณ์เป็เช่นนี้แล้ว ถึงเขาจะพูดโน้มน้าวหลินเยว่สักเท่าไรก็คงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะคงไม่มีทางเปลี่ยนความคิดในการเรียนการแกะสลักของหลินเยว่ได้เลย
และแล้วเวลาก็เดินไปจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่งอย่างไม่รู้ตัว เวลานี้เป็เวลารับประทานอาหารแล้ว แต่ทว่าคนทั้งสามในห้องหนังสือกลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด ท่านฉางไท่อยากจะพาหลินเยว่ไปทำการทดสอบอย่างใจร้อน เพราะตอนนี้เขาร้อนใจอยากรู้ว่าหลินเยว่จะสามารถลงมีด 10 ครั้งผ่าโดนธูปได้เป็จำนวนกี่ดอกกันแน่
เมื่อคนทั้งสามเดินมาถึงห้องรับแขก ท่านฉางไท่จึงพุ่งตัวเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อหยิบธูปทันที
ในห้องรับแขกมีการจุดธูป 10 ดอกอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมของธูปฟุ้งกระจายไปทั่วห้องรับแขก
ตอนที่ท่านฉางไท่หยิบธูปออกมานั้น สีหน้าของหลินเยว่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ธูปเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่าที่เขาฝึกฝนในตอนปกติเสียอีก
แต่ทว่า เขาก็มีสีหน้ากลับเป็ปกติอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะมีความยากขนาดไหน จะเสมือนสายลมพัดจากทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก แต่เขาก็มีแต่ความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ
และหลินเยว่ก็มีความมั่นใจเช่นกัน
เฮ่อหลันเยว่ได้ยินจากปากของหลี่ชิงเมิ่งเื่ที่หลินเยว่ต้องทำการทดสอบในวันนี้รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ เธอจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เมื่อรอให้ท่านฉางไท่จุดธูปเสร็จแล้ว เธอจึงลองทำมือผ่าลงไปตรงธูป ผลปรากฏว่ามือของเธอไม่โดนธูปเลยสักนิด เธอรู้สึกผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่าหลินเยว่จะสามารถทำได้ขนาดไหน
หลี่ชิงเมิ่งก็มองหลินเยว่ด้วยสีหน้าเ็าตามปกติของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ตอนนี้เป็เวลากลางวัน เพราะเหตุนี้จะทำให้การผ่าธูปทำได้ง่ายกว่าตอนกลางคืนเยอะมาก แบบนี้ไม่ค่อยดีหรือเปล่าครับ” หลินเยว่ถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย
ท่านเฮ่อฉางเหอขึงตาใส่หลินเยว่แล้วพูดขึ้น “คุณก็ช่างซื่อจริงๆ ง่ายขึ้นแบบนี้ก็แสดงว่าคุณสามารถผ่านการทดสอบได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือ วางใจได้ ไม่มีทางง่ายแบบนี้หรอกนะ หากให้คุณผ่าธูปตอนกลางวันแบบนี้แล้วจะจุดธูปขึ้นมาทำไมล่ะ”
และเป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอพูดจบ ท่านฉางไท่จึงหยิบผ้าสีดำออกมาผืนหนึ่ง แล้วยื่นให้กับหลินเยว่พร้อมพูดขึ้น “ใช้ผ้านี้ปิดตา แบบนี้ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนตอนกลางคืน เพราะจะเห็นเพียงจุดแดงๆ ของธูปกำลังเผาไหม้อยู่เท่านั้น แต่จะมองไม่เห็นสิ่งอื่นๆ”
เป็วิธีการที่ดีทีเดียว!
หลินเยว่ยิ้มเล็กน้อย เขารับผ้าสีดำผืนนี้มา แล้วก็ปิดลงบนดวงตาทั้งคู่ของเขา หลังจากนั้นเขาจึงหยิบมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บออกมาจากกระเป๋าแล้วกุมไว้ในมือพร้อมถามขึ้น “สามารถเริ่มได้แล้วหรือยังครับ?”
“ช้าก่อน!!!”
ท่านฉางไท่พุ่งตัวมาที่ด้านข้างหลินเยว่อย่างรวดเร็วราวกับลูกศร แล้วคว้ามีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บออกมาจากมือของหลินเยว่ เขามองมีดด้วยดวงตาเป็ประกาย
หลินเยว่ดึงผ้าที่ปิดตาของเขาอยู่ออกมา และเขาก็ได้เห็นดวงตาที่เป็ประกายของท่านฉางไท่พอดี ในใจแอบฝืนยิ้มเงียบๆ เพราะเป็ไปตามที่ท่านเฮ่อฉางเหอกล่าวไว้จริงๆ เมื่อท่านฉางไท่เห็นมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บเล่มนี้ก็เกิดอาการหลงใหลอย่างบ้าคลั่ง
มีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บเล่มนี้มีเสน่ห์มากยิ่งนัก หากเป็คนธรรมดาคงไม่สามารถต้านทานเสน่ห์นี้ได้
เมื่อเฮ่อหลันเยว่เห็นมีดแกะสลักในมือของท่านฉางไท่ เธอก็อุทานอย่างตกตะลึงแล้วก็วิ่งเข้ามาทันที ดวงตากลมโตของเธอมองมีดเล่มนี้อย่างละเอียด
หลี่ชิงเมิ่งในฐานะลูกศิษย์ที่อยู่ในรายชื่อรอสังเกตการณ์ของท่านฉางไท่ก็มิอาจต้านทานเสน่ห์ของมีดเล่มนี้ได้ แต่เธอกลับเริ่มสังเกตที่ตัวหลินเยว่อย่างลึกซึ้งก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เดินไปทางท่านฉางไท่และเฮ่อหลันเยว่
ส่วนท่านเฮ่อฉางเหอที่ยืนมองเหตุการณ์นี้จึงรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที เขาพูดใส่หน้าท่านฉางไท่อย่างภาคภูมิใจ “เห็นหรือยังล่ะ มีดแกะสลักเล่มนี้เป็มีดที่หลินเยว่โชคดีเก็บตกมาจากตลาดวัตถุโบราณเลยนะ หากไม่ได้เป็เพราะผมบอกให้เขาออกไปฝึกดูตามแผงวัตถุโบราณ แล้วจะได้มีดแกะสลักดีๆ เล่มนี้มาได้อย่างไรล่ะ? ฮ่าๆ เห็นหรือยัง เรียนรู้วัตถุโบราณก็มีอนาคตอย่างนี้แหละ แล้วจะให้เขาเรียนการแกะสลักไปเพื่ออะไรกันล่ะ!”