หากอวิ๋นอี้รู้ว่าพ่อบ้านกำลังคิดกระไรอยู่ นางคงโกรธจัดเป็แน่
นางสั่งให้บำรุงหรงซิว เพราะอยากจะแกล้งเขา
ในที่สุดนางก็จับจุดอ่อนของเขาได้ นางจะปล่อยมันไปง่ายๆ ได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องหาทางประชดประชันเสียดสีเขาเสียหน่อยสิ
พ่อบ้านทำตามคำสั่ง หลังจากที่บอกลากับอวิ๋นอี้ เขาก็ไปวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหาร
อวิ๋นอี้เห็นว่าวันนี้อากาศดี จึงตั้งใจไปร้านทั้งสองเพื่อดูกิจการ
นางไปที่ร้านตัดเสื้อก่อน กระแสลูกค้าในร้านค่อนข้างคงที่ อวิ๋นอี้ได้รู้จากจ่างกุ้ยว่ารายได้ในร้านอยู่คงที่ที่สองร้อยตำลึง พยักหน้าด้วยความพึงพอใจมาก "่ที่ผ่านมาลำบากจ่างกุ้ยหน่อยนะ เ้าอยู่กับข้า ทำงานให้ดี ข้าจะตอบแทนเ้าอย่างดี”
จ่างกุ้ยตรากตรำกับร้านมาหลายปี เข้าใจความหมายลึกซึ้งของคำพูดนั้นเป็ธรรมดา เขายิ้มชื่นชมนางอย่างไม่ขาดปาก "พระชายามีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจโดยแท้ ข้าน้อยอยากจะอยู่กับท่านนานๆ อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"วางใจเถิด" อวิ๋นอี้พูดปลอบเขา "ตราบเท่าที่เ้าซื่อสัตย์ต่อข้าและร้านนี้ ผลประโยชน์ที่นำมาสู้เ้าไม่น้อยแน่"
"เช่นนั้นข้าขอบพระทัยพระชายาล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ"
อวิ๋นอี้ปัดมือ ทำท่าเชิญ ให้นั่งบนเก้าอี้
เมื่อจ่างกุ้ยเห็นท่าทีเช่นนั้น เขายิ่งแปลกใจ ก้มตัวกล่าวอย่างนอบน้อม "หากพระชายามีเื่กระไร ได้โปรดรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยยืนได้พ่ะย่ะค่ะ"
อวิ๋นอี้ไม่บังคับ นำขาไขว่ห้างกันแล้ววางมือเท้าคาง ราวกับกำลังครุ่นคิด
นางไม่พูดกระไร ทำให้จ่างกุ้ยสงสัย
จ่างกุ้ยเกิดความกังวลเล็กน้อย หลักๆ เป็เพราะว่า เมื่อวานมีเื่เกี่ยวกับซูเมี่ยวเออร์เกิดขึ้นในร้าน
ความสัมพันธ์ระหว่างซูเมี่ยวเออร์กับอวิ๋นอี้ เป็เื่ที่รู้กันทั่วเมือง
กล่าวได้ว่าสตรีสองคนแย่งชิงบุรุษคนเดียวกัน เป็การกระทำที่อัปยศ
หากแต่ว่า รูปร่างหน้าตาของหรงซิว หล่อเหลาหาใดเปรียบ ก็พอจะเข้าใจความคิดของสตรีทั้งสองได้...
เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองคิดไปไกล จ่างกุ้ยรีบเรียกสติกลับมา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจ
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมีเื่หนึ่ง มิรู้ว่าควรพูดดีหรือไม่”
"เ้าลองพูดมา" อวิ๋นอี้พยักหน้า "กระไร เล่าเถิด"
จ่างกุ้ยครุ่นคิดคำพูด แล้วค่อยๆ อธิบายเื่ราว "เมื่อวานนี้คุณหนูซูมาที่ร้านพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิตั้งใจพูดว่าท่านเป็เถ้าแก่อีกคนของร้านออกไป พระชายาคิดว่า..."
ครานั้นอวิ๋นอี้เคยบอกกับจ่างกุ้ยว่า ต้องปกปิดตัวตนที่นางเป็เถ้าแก่ร้านไว้
ทั้งสองร้านมีชื่อลู่จงเฉิงแขวนไว้ให้ผู้คนเกรงนั้นเพียงพอแล้ว นางไม่อยากจะสร้างปัญหา ไม่อยากได้ชื่อเพียงแค่อยากหาเงินเท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่า ทั้งๆ ที่กำชับหลายคราแล้ว แต่ปัญหาเช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้อีก
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนข้างจริงจัง
จ่างกุ้ยที่ยืนอยู่ข้างนางตัวสั่นกว่าเดิม เขาอยากอ้าปากพูดแต่ไม่กล้า
“นางมีปฏิกิริยาอย่างไร?” อวิ๋นอี้ถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณหนูซูดูใมากพ่ะย่ะค่ะ นางยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็ซื้อเสื้อผ้าไปหลายชิ้น แล้วออกไปพ่ะย่ะค่ะ” จ่างกุ้ยพยายามคิดย้อนไป “ข้ารู้สึกว่านางก็พอใจกับร้านของเรานะพ่ะย่ะค่ะ”
พอใจกับตูดน่ะสิ
อวิ๋นอี้อยากจะเขกหัวจ่างกุ้ยให้ตาย ไม่รู้ว่าสมองเขาโตมาได้อย่างไร ใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้ว่าซูเมี่ยวเออร์ไม่ได้มีเจตนาดี
เกรงก็แต่ว่าอีกสักพัก ทั้งที่ร้านตัดเสื้อกับโรงเตี๊ยมจะมีคนหาเื่มาให้น่ะสิ
นี่คงเป็เื่เล่าขานที่พูดกันว่า ตัวนั่งอยู่ในบ้าน หม้อก็ตกลงมา [1] สินะ
แต่ถึงกระนั้น อวิ๋นอี้กลับไม่ได้สนใจมากนัก นางกับซูเมี่ยวเออร์เป็ศัตรูกันมานาน การต่อสู้กับนางค่อยๆ กลายเป็เื่น่าสนุกในชีวิตไปอีกเื่หนึ่ง
หากวันใดซูเมี่ยวเออร์หายไปจริงๆ นางคงจะรู้สึกเหงา
อวิ๋นอี้สั่งจ่างกุ้ย หาก่นี้ร้านมีปัญหา อย่าลืมส่งคนไปบอกที่จวนทันที
จ่างกุ้ยไม่กล้ารอช้า รีบพยักหน้าตอบรับ
ออกจากร้านตัดเสื้อ อวิ๋นอี้ไปที่โรงเตี๊ยม ไปดูกิจการเช่นเดียวกัน
ตามที่จ่างกุ้ยบอก หลังจากที่พวกเขาแสดงเื่หินั์ตกลงมาครานั้น ทำให้โรงเตี๊ยมมีแขกเต็มตลอด ทั้งๆ ที่ประกาศไปว่าโรงเตี๊ยมถูกจองหมดแล้ว แต่ทุกๆ วันก็จะมีคนมากมายมาถามว่ามีห้องพักหรือไม่
“เ้าตอบไปว่าอย่างไร?” อวิ๋นอี้นั่งไขว่ห้างถาม
จ่างกุ้ยเดาใจเถ้าแก่คนนี้ไม่ออก เขาทำได้เพียงบอกความจริงอย่างระมัดระวังว่า "ข้าน้อยบอกเขาไปตามตรงพ่ะย่ะค่ะ และขอช่องทางติดต่อของทุกคนไว้ บอกพวกเขาว่าหากมีห้องว่าง จะรีบส่งคนไปแจ้งพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ"
“ถือว่ามีไหวพริบ” อวิ๋นอี้ยิ้มชมเชย “จากความคิดของเ้า คิดว่าจะมีห้องว่างหรือไม่?”
“เกรงว่าจะไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” จ่างกุ้ยเป็คนตรงไปตรงมา ส่ายหน้าพูด
อวิ๋นอี้เป่าเล็บของนาง เมื่อไม่กี่วันก่อนเซียงเหอได้ทาชมพูแดงให้นาง ตอนนี้เป็สีชมพูน่าดูนัก
นางค่อยๆ ลุกขึ้น สั่งจ่างกุ้ยว่า “กระนั้นตอนที่เ้าเจอมหาเสนาบดี ก็บอกท่านมหาเสนาบดีไปเช่นนี้ ให้หาเวลาขยายโรงเตี๊ยม”
จ่างกุ้ยมีความรู้สึกต่ออวิ๋นอี้ ปานสักการะองค์เทพ
ในเมื่อนางเอ่ยปาก จ่างกุ้ยไม่กล้าคัดค้าน รีบตกลงทันควัน
ท่าทีของจ่างกุ้ยมีความเคารพมาก แม้ว่าอวิ๋นอี้จะไม่ใช่คนที่ชอบถูกประจบประแจง แต่นางก็รู้สึกดีจริงๆ
ก่อนที่นางจะออกไป นางคิดถึงเื่เกี่ยวกับซูเมี่ยวเออร์ได้ นางผู้นั้นรู้ว่านางมีความเกี่ยวข้องกับร้านตัดเสื้อ นางเดาได้ทันทีว่านางมีความเกี่ยวข้องกับโรงเตี๊ยมเช่นกัน หากว่าคิดหาเื่ ไม่แน่ใจว่านางจะเริ่มลงมือจากร้านใดก่อน
ล้อมคอกก่อนวัวหาย อวิ๋นอี้รีบเตือนจ่างกุ้ยไว้ก่อน “หากมีคนเข้ามาสร้างปัญหา เ้าจงตามน้ำของเขาไปก่อน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหาเื่อย่างไร ก็มิต้องแสดงความไม่พอใจใดๆ ทำตัวเองอยู่ในฝ่ายที่เสียเปรียบเข้าไว้ เข้าใจหรือไม่?”
"ระ...เื่กระไรกันพ่ะย่ะค่ะ?" จ่างกุ้ยไม่เข้าใจ เขาเปิดโรงเตี๊ยมอยู่ดีๆ จู่ๆ จะมีคนมาหาเื่ได้อย่างไร
เขากำลังอยากจะถามรายละเอียด แต่อวิ๋นอี้กลับโบกมือแล้วเดินออกไป
จ่างกุ้ยเกาหูเกาแก้ม [2] ทำได้เพียงเก็บรับสั่งเ่าั้เอาไว้ในใจ
อวิ๋นอี้เสร็จสิ้นการดูกิจการ เมื่อกลับถึงจวนก็บ่ายแก่แล้ว หมอกสีแดงเพลิงปกคลุมท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง นางเงยหน้าขึ้นหรี่ตาลง มองทะเลเมฆบนท้องฟ้าอยู่เป็เวลานาน
จนกระทั่งนางได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น เข้ามาในหู จึงได้มองไปทางคนผู้นั้นช้าๆ
แววตาของชายหนุ่มบางเบา แต่รอยยิ้มหนักแน่น เขาโบกมือให้นาง อวิ๋นอี้เม้มริมฝีปากยิ้ม ยืนนิ่งโดยไม่ขยับ
อีกฝ่ายยิ้มอย่างเอ็นดูและเดินเข้าไปหานาง
ทันทีที่ถึงตรงหน้า แขนยาวของเขาก็ดึงนางเข้ามากอด ปลายจมูกของอวิ๋นอี้อยู่ภายใต้ลมหายใจที่หอมหวาน
กลิ่นของเขาช่างหอม
อวิ๋นอี้เอาหน้าแนบไปที่ร่างเขา ทำให้หรงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้รังเกียจ เขาจับคางของนาง ก้มหน้าจูบปากเล็กๆ ของนาง “มิเห็นเ้าเลยทั้งวัน ไปที่ใดมาหรือ?”
“ข้าไปที่ใด มีหรือเพคะที่ฝ่าาจะไม่รู้?” นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มิใช่ว่ามีทหารคอยรายงานสถานการณ์ของข้าให้ฝ่าารู้อยู่ทุกวันหรอกหรือเพคะ?”
หรงซิวไม่คิดว่านางจะรู้ว่าเขาส่งคนพวกนั้นไป เขาชะงักไปและอธิบายอย่างจริงจัง "พวกเขาแค่ไปรับรองความปลอดภัยของเ้า อวิ๋นเออร์อย่าได้คิดไปไกล"
“ข้ารู้เพคะ” อวิ๋นอี้หรี่ตาอย่างเ้าเล่ห์ “มิเช่นนั้นข้าโกรธฝ่าาไปนานแล้วเพคะ”
หรงซิวยิ้มเล็กน้อย รู้ว่านางคงหิวแล้วจึงจูงมือนางไปที่ห้องโถง
เมื่อเข้ามาถึงห้องโถง เมื่อเห็นอาหารบำรุงกำลังต่างๆ อยู่เต็มโต๊ะ อวิ๋นอี้ก็เริ่มเสียใจ
พ่อบ้านเป็คนซื่อบื้อที่ซื่อสัตย์เสียจริง
นางบอกว่าให้จัดอาหารบำรุงให้หรงซิว ตอนนี้อาหารบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารบำรุงไตหรือ?
นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือตอนนี้นางต้องทานของพวกนี้ไปด้วยใช่หรือไม่?
"นี่มัน..." อวิ๋นอี้กลืนน้ำลายแล้วมองดูพ่อบ้านอย่างละอาย "พ่อบ้าน นี่มันมิเกินไปหน่อยหรือ?"
พ่อบ้านไม่ตอบ คนที่พูดกลับเป็หรงซิวข้างๆ
เขายิ้มเล็กน้อย คีบปอดมาวางลงในจานของนาง พูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ข้าได้ยินจากพ่อบ้านว่า พระชายาเป็ห่วงสุขภาพของข้า ้าให้ข้าบำรุงเยอะๆ ข้ากับพระชายาเป็สวามีชายากัน ข้าจะเก็บไว้ทานคนเดียวได้อย่างไร พระชายา มาเถิด มิต้องเกรงใจ อาหารบนโต๊ะนี้เป็ของพวกเราทั้งหมด ไม่พอยังมีอีกในครัว ค่ำคืนนี้ช่างยาวนาน พวกเราค่อยๆ ทาน"
หรงซิวนุ่มนวลมาก แววตาดูอ่อนโยน แต่ใบหน้าของอวิ๋นอี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มจอมปลอม ทั้งยังแอบกัดฟัน
ในที่สุด นางก็รู้ว่าย้ายหินโขกเท้าตัวเอง [3] นั้นเป็อย่างไร
เชิงอรรถ
[1] ตัวนั่งอยู่ในบ้าน หม้อก็ตกลงมา 人在家中坐,锅从天上来 หมายถึง ตนเองยังไม่ได้ทำกระไรขัดผลประโยชน์หรือขัดใจใคร ก็มีคนหาเื่มาให้
[2] เกาหูเกาแก้ม 抓耳挠腮 หมายถึง เกาหัวด้วยความงุนงง
[3] ย้ายหินโขกเท้าตัวเอง 搬起石头砸自己的脚 หมายถึงสุภาษิตไทยที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว