หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็เซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก
“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็ห่วงเ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน
“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้
“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็ผู้ฝึกตนและ้าปลุกพลังิญญาขอรับ?”
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังิญญาได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเื่นี้เลยสักครั้ง ตลอดหลายปีมานี้อีกฝ่ายได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาตำราสมุนไพรรวมไปถึงตำราศาสตร์ความรู้ในด้านอื่น
“ข้าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับคำดูถูกตลอดเวลาหลายปีนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ข้าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของท่านแม่หรือตระกูลหวังไปตลอดชีวิตได้...”
“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเ็ปเจียนตาย เ้าก็ยินดีอย่างนั้นรึ?” เยว่ซินจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรชายอันเป็ที่รัก พร้อมกับถามกลับไปด้วยความจริงจัง
“ข้ามิกลัวขอรับ! ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับนับถือเหนือผู้คน ต่อให้เส้นทางผู้ฝึกตนของข้าอาจจะเริ่มต้นช้าหรือมีอุปสรรคขัดขวางมากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์จากความเ็ปมากเพียงใดก็จะมุ่งมั่นอดทน ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์จากความเพียรพยายามต้องออกมาดีเป็แน่...”
”ท่านแม่ได้โรดสนับสนุนข้าด้วยขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้ามารดาของตนด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่กับสิ่งที่ตนเอ่ยขึ้น
เยว่ซินที่เห็นหนิงอ้ายคุกเข่าคำนับพร้อมกับใบหน้าจริงจังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น นางรู้สึกภูมิใจในบุตรชายเป็อย่างมาก หลังจากที่เด็กหนุ่มหายจากอาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ร่างกายได้ฟื้นฟูขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคยซีดเซียวหม่นหมองได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสดใสเฉกเช่นคนสุขภาพดี ในตอนนี้อีกฝ่ายดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาที่มากยิ่งขึ้นเหมาะสมกับวัยยิ่ง
แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายได้ร้องขอจะทำให้นางเป็ห่วงแต่ด้วยเหตุผลหลายสิ่งอย่างที่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาล้วนเป็จริงทั้งสิ้น ตัวของนางเองและตระกูลหวังย่อมไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายไปได้ตลอดดังว่า อีกทั้งในตอนนี้หากนางจะกล่าวห้ามอะไรคงไม่ทันแล้วเป็แน่เพราะเ้าตัวคงใช้เวลาหลายวันคิดตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้วจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
เส้นทางของผู้ฝึกตนนับว่าเป็สิ่งหนึ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปล้วน้าผลักดันตัวเองเข้าสู่วิถีนี้ ด้วยถือว่าเป็ตัวตนที่ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็ผู้ฝึกตนระดับขั้นต่ำที่สุดหรือจะระดับไหนก็นับว่าเป็หน้าเป็ตาให้กับตระกูลอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกตนล้วนมีพลังิญญาต้นกำเนิดกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังิญญาในร่างกายซึ่งแบ่งออกเป็สิบขั้นย่อยในแต่ละระดับและมีทั้งหมดสิบห้าขั้นใหญ่ ทันทีที่สามารถปลุกพลังิญญาได้สำเร็จจะถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกตน สำหรับิญญายุทธ์จะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อพลังิญญาเข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ดเป็ต้นไป ในเขตขั้นนี้สามารถสังหารสัตว์อสูรเพื่อ่ชิงกระดูกิญญาเข้าประสานกับร่างกายได้ โดยที่ผู้ฝึกตนจะมีราชทินนามหรือคำเรียกขานตัวตนดังนี้
ราชทินนามก่อเกิดิญญาระดับ 1-10
ราชทินนามขุนพลิญญาระดับ 11-19
ราชทินนามขุนนางิญญาระดับ 20-29
ราชทินนามจักรพรรดิิญญาระดับ 30-39
ราชทินนามเทวะิญญาระดับ 40-49
ราชทินนามราชันิญญาระดับ 50-59
ราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาระดับ 60-69
ราชทินนามเทพ์ิญญาระดับ 70-79
ราชทินนามพรหมยุทธ์ิญญาระดับ 80-89
ราชทินนามมหาพรหมยุทธ์ิญญาระดับ 90-100
ราชทินนามอัครพรหมยุทธ์ิญญาระดับ 101-119
ราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์ิญญาระดับ 120-130
ราชทินนามเทพพรหมยุทธ์ิญญาระดับ 130-150
ราชทินนามมหาเทพพรหมยุทธ์ิญญาระดับ 150-170
ราชทินนามเทพา (ตำนาน) ระดับ170 เป็ต้นไป
แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังิญญาจะแบ่งออกเป็ดังนี้
ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์
ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์
ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์
ว่ากันว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงเขตขั้นที่90 หรือราชทินนามมหาพรหมยุทธ์ิญญาเป็ต้นไป พวกเขาเ่าั้ไม่ต่างไปจากบุคคลในตำนานที่ไม่อาจมีผู้ใดเสมอเทียบเคียงได้
“เ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกยุทธภพต่างมีทั้งผู้คนธรรมดาและผู้ฝึกตนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างสงบสุข แต่ก็มีผู้ฝึกตนบางคนที่ทะนงตัวว่าตนแข็งแกร่งเที่ยวไล่ข่มแหงรังแกคนธรรมดาจนต้องให้หน่วยควบคุมเข้ามาคอยตรวจสอบอยู่เสมอ ที่สำคัญการปลุกพลังิญญาทุกคนสามารถทำได้ไม่มีการปิดกั้นโอกาส ทั้งคนธรรมดาและลูกหลานของผู้ฝึกตนแต่สุดท้ายก็ใช่ว่าจะสำเร็จเป็ไปตามดั่งใจหวัง...”
"การปลุกพลังิญญาจำเป็ต้องปลุกใน่อายุเจ็ดปีแต่ไม่ควรเกิน่อายุสิบห้าปีจึงจะเป็การดีที่สุด เพราะหากว่ายิ่งปลุกพลังิญญาในตอนที่อายุมากขึ้นเท่าไหร่ความบริสุทธิ์ของิญญายุทธ์ต้นกำเนิด รวมไปถึงความสำเร็จในการปลุกพลังิญญาก็จะยิ่งลดลงหายไปเท่านั้น...”
“หลังจากทำการปลุกพลังิญญาได้สำเร็จพลังิญญาหรือพลังลมปราณภายในจะเป็ตัวชี้วัดความแข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนแต่ละระดับสามารถดูดซับกระดูกิญญาได้สูงสุดตามพลังิญญาในขณะนั้น เช่นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาจะกระดูกิญญาของสัตว์อสูรได้จะต้องมีอายุไม่เกิน4,000ปี แต่ถึงอย่างไรมีจำนวนไม่น้อยหากผู้ฝึกตนั้แ่ระดับขุนพลิญญาขึ้นไปหากไม่พบกระดูกิญญาที่สนับสนุนิญญายุทธ์ต้นกำเนิดได้อย่างเหมาะสมก็สามารถเลือกดูดซับกระดูกิญญาเหล่านี้ในภายหลังได้เช่นกัน”
“ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนต่างมีิญญายุทธ์กันทั้งสิ้น ซึ่งิญญายุทธ์แบ่งออกเป็สามประเภทคือสัตว์อสูร ประเภทธรรมชาติและประเภทศาสตราวุธ อีกทั้งแบ่งออกเป็สี่สายดังนี้คือสายสนับสนุน สายโจมตี สายป้องกันและสายควบคุมโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนจะมีเพียงหนึ่งิญญายุทธ์ต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งิญญายุทธ์ เพราะส่วนมากแล้วบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพกันทั้งสิ้น”
“นอกจากที่ผู้ฝึกตนจะแบ่งระดับขั้นพลังเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งแล้ว ในร่างกายของผู้ฝึกตนหรือแม้กระทั่งคนธรรมดาล้วนประกอบไปด้วยปราณธาตุดิน ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุลม ปราณธาตุไฟเป็สี่ธาตุพื้นฐานอย่างที่เ้ารู้ อีกทั้งยังมีสองปราณธาตุพิเศษคือปราณธาตุไม้และปราณธาตุทองที่สืบทอดจากเชื้อสายกษัตริย์ บ้างก็ว่ายังมีอีกหนึ่งปราณธาตุพิเศษที่ไม่พบเจอมานานแล้วคือปราณธาตุพิษ และยังมีอีกถึงสองปราณธาตุในตำนานนั่นคือปราณธาตุแสงและปราณธาตุมืด สิ่งเหล่านี้มีการบันทึกไว้ให้รุ่นหลังได้รับรู้โดยทั่วกันสืบมา สำหรับสีของิญญายุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของิญญาธาตุต้นกำเนิดที่”
ในโลกของผู้ฝึกตนแบ่งออกเป็สี่ปราณธาตุธรรมดาดังนี้
ปราณธาตุดิน (สีน้ำตาลเหลือง -สีน้ำตาลส้ม -สีน้ำตาลเเดง)
ปราณธาตุน้ำ (สีฟ้า -สีคราม -สีน้ำเงิน)
ปราณธาตุลม (สีเขียวอ่อน -สีเขียวน้ำตาล -สีเขียวเข้ม)
ปราณธาตุไฟ (สีเหลือง -สีเหลืองส้ม -สีส้ม)
แบ่งเป็สามปราณธาตุพิเศษดังนี้
ปราณธาตุพฤกษา (ไม้) (สีน้ำตาลอ่อน -สีน้ำตาลเเดง -สีน้ำตาลเข้ม)
ปราณธาตุทอง (โลหะ) (สีขาวทอง -สีเงินทอง -สีทอง)
ปราณธาตุพิษ (สีเหลืองดำ -สีเขียวดำ -สีม่วงดำ)
และแบ่งเป็สองปราณธาตุในตำนานดังนี้
ปราณทิวาธาตุ (แสง) (สีเหลืองทอง -สีส้มทอง -สีเเดงทอง)
ปราณรัตติกาลธาตุ (มืด) (สีดำขาว -สีดำเทา -สีดำทอง)
โดยปกติผู้ฝึกตนจะสามารถใช้ิญญายุทธ์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น โดยเชื่อว่าจะเป็การสืบทอดทางสายเืจากฝั่งบิดาหรือฝั่งมารดาของตน แต่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะมีิญญายุทธ์ได้เพราะหากว่าในร่างกายไม่มีความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้ิญญายุทธ์ได้เช่นกัน
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างิญญายุทธ์และพลังิญญา หากไร้ซึ่งพลังิญญาแล้วิญญายุทธ์ก็จะกลายเป็เพียงสิ่งธรรมดาไร้ค่า เป็เพียงิญญายุทธ์ขยะเพียงเท่านั้น แต่เมื่อใดที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นระดับขุนพลิญญาและมีระดับพลังิญญาที่เพิ่มสูงขึ้น ิญญายุทธ์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปด้วยได้เช่นกัน...
"ผู้ฝึกตนเเต่ละคนจะสามารถใช้ได้สูงสุดเพียงหนึ่งปราณธาตุที่ได้รับสืบทอดมาจากทางฝั่งบิดาและจากฝั่งมารดาไม่ทางใดทางหนึ่ง และน้อยเสียยิ่งกว่านักหากจะพบเจอผู้ฝึกตนที่สามารถมีปราณธาตุได้มากกว่าหนึ่งขึ้นไป เพราะหากในร่างกายไม่มีซึ่งความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้ปราณธาตุได้แต่อย่างไรแล้วก็ใช่ว่าทุกปราณธาตุจะเกื้อกูลกันเสมอไปเพราะในบางครั้งผู้ถือครองสองปราณธาตุบางคนก็หักล้างกันจนทำร้ายผู้ถือครองเสียเองก็มีให้เห็น...”
“หากทำการปลุกพลังิญญาใน่อายุที่มากขึ้นเท่าไหร่ความเ็ปในขณะนั้นก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน...ในยามนี้เ้าอายุสิบสี่ปีถือว่าเกือบถึงเกณฑ์กำหนดในการปลุกพลังิญญาแล้ว หากว่าไม่สามารถปลุกพลังิญญาได้ เ้าจะรับมือกับความผิดหวังอีกครั้งได้หรือไม่เล่า?" เยว่ซิถามกลับไปให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจอีกครั้ง
“ท้ายที่สุดแล้วจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตามตัวข้าล้วนยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่หากว่าข้าสามารถปลุกพลังิญญาได้สำเร็จและกลายเป็ผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งเหนือผู้คนทั่วไปจนสามารถปกป้องตัวเองและดูแลท่านแม่ได้ต่อให้เส้นทางเดินหลังจากนี้ต้องพบเจอความเ็ปหรืออุปสรรคเพียงใดข้าก็ยินดีทั้งสิ้นขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับมารดาด้วยความหนักเเน่นไม่หวั่นไหว
“อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่าทุกคนที่จะโชคดีสามารถใช้ถึงสองปราณธาตุได้เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับปราณธาตุจากฝั่งบิดามารดาของตนก็จริง แต่หากเกิดความไม่สมดุลกันก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ปราณธาตุเดียว ส่วนอีกหนึ่งนั้นจะกลายเป็ปราณธาตุรองที่ต้องอาศัยโอสถระดับสูงในปลุกกระตุ้นให้สามารถใช้งานได้ไม่ต่างกับปราณธาตุหลัก” เย่วซินค่อย ๆ อธิบายให้หนิงอ้ายให้เข้าใจด้วยความใจเย็นเปรียบดั่งอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์
พรึบ!
วูบ!
ิญญายุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี สถิตร่าง!!!
เยว่ซินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็ท่วงท่าที่สวยงามพร้อมกับปลดปล่อยพลังิญญาของตนเองออกมา ก่อนที่จะปรากฏวงแหวนเวทย์อักขระเปล่งแสงรัศมีขึ้นโดยรอบพื้นที่ยืนอยู่ เหนืออุ้งมือซ้ายของนางได้ปรากฎเป็บุปผาเพลิงสีเหลืองส้มขนาดเท่ากับลูกแก้วสามดอกที่ลอยวนไปโดยรอบฝ่ามือ คลื่นความร้อนระอุได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ราชทินนามของมารดาคือจักรพรรดิิญญาสายโจมตีระดับที่39 นี่คือิญญายุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคีเป็ปราณธาตุไฟสายโจมตี เเต่ละปราณธาตุจะเเบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็สามขั้น สีเหล่านี้จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งที่ถือครองอยู่”
“นอกจากนี้แล้วผู้ฝึกตนยังสามารถดูดซับผลึกปราณธาตุเพื่อเพิ่มความเเข็งแกร่งของปราณธาตุต้นกำเนิดของตน และหากดูดซับกระดูกิญญาของสัตว์อสูรเข้ากับร่างกายก็จะสามารถเรียกใช้ทักษะความสามารถของสัตว์อสูรมาผสานเข้ากับการต่อสู้ได้เช่นกัน ซึ่งต้องเลือกกระดูกิญญาของสัตว์อสูรที่มีอายุสอดคล้องกับระดับพลังิญญาของตนด้วย เพราะหากว่ามีการประสานกระดูกิญญาที่มีอายุมากและข้ามระดับมากเกินไปก็อาจจะเกิดอันตรายชีวิตเลยทีเดียว...” เยว่ซินมองหน้าเด็กหนุ่มในขณะที่อธิบายพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย เพราะนางััได้ว่าบุตรของนางมีชะตาที่รุ่งโรจน์เหนือกว่าผู้ใดจะก้าวข้ามถึงเขตขั้นนั้นได้เสมอเหมือน
“ผู้ฝึกตนสามารถเลือกเพิ่มคุณสมบัติลงไปในิญญายุทธ์ต้นกำเนิดได้ เช่นการเสริมความแข็งแร่งของร่างกาย การเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น แน่นอนว่าย่อมมีตัวเลือกมากมายที่จะเลือกใส่ลงไปในิญญายุทธ์...”
“สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าิญญายุทธ์จะเป็ปราณธาตุใด ล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการฝึกฝนและเส้นทางที่เราเลือกเดินทั้งสิ้น!”
“มารดาของเ้าในยามนี้มิได้เชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์ดั่งเช่นวันวานแล้ว แต่ถึงอย่างไรมารดาของเ้าผู้นี้ได้รับมอบสมบัติของตระกูลหวังที่ส่งต่อกันมา คงถึงเวลาที่ต้องส่งมอบให้กับเ้าเสียที...” เยว่ซินตอบกลับไปแต่ท้ายประโยคนั้นคล้ายกับว่าคุยกับตัวเองเสียอย่างนั้น
“กลับเข้าเรือนกันเถิด...มารดายังต้องเตรียมสิ่งของที่ท่านตาเ้ามอบให้สำหรับการปลุกพลังิญญาให้กับเ้า” หนิงอ้ายที่ตอนนี้พยายามเรียบเรียงข้อมูลและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ฟังเมื่อสักครู่ เมื่อเห็นว่ามารดาเดินไปยังเรือนเล็กไปไกลแล้วเขาจึงเร่งความเร็วเดินตามไปในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ใบหน้างดงามฉายรอยยิ้มเปล่งประกายถึงความสุขที่เอ่อล้นจนบ่าวรับใช้ในเรือนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน
บ่าวรับใช้ที่อยู่โดยรอบของศาลาริมสระบัวเมื่อครู่ที่ได้ยินบทสนทนาของนายของตนทั้งสองต่างรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เพราะทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตอนที่คุณชายของตนไม่สามารถปลุกพลังิญญาได้ นอกจากจะทำให้คุณชายน้อยเสียใจแล้วจากที่เคยเป็เด็กที่ร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเเต่กลับสุขภาพแย่ลงอีกทั้งยังกลายเป็เด็กที่เงียบขรึมแทบไม่มีรอยยิ้ม เอาแต่ศึกษาตำราอยู่แต่ในห้องบางครั้งก็นั่งอยู่ตรงศาลาริมสระบัวทั้งวัน
อีกทั้งยังถูกนินทาจากบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นในจวน แทบจะไม่มีความเคารพคุณชายของตนเสียด้วยซ้ำ เคราะห์ดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่คุณชายไม่สบายและหายฟื้นจากไข้ ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาถึงแม้จะพูดจาแปลก ๆ ไปบ้างแต่ก็กลับมาร่าเริงมีรอยยิ้มและซุกซนสมวัยอีกครั้ง นับว่าเป็สิ่งที่พวกเขารู้สึกยินดีเป็อย่างมาก...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้