ก่อนจางเหว่ยจะอนุญาตให้ผู้นำทั้งสามเผ่า นั่งลงตามตำแหน่งของตัวเอง ท่ามกลางทหารเทพนับหมื่นเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
“ราชันจางเหว่ย เรียกพวกข้ามาพบพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ มีสิ่งใดสำคัญจะแจ้งงั้นเหรอ” ประมุขเผ่าจิ้งจอกนามว่า เจี้ยนเถา เอ่ยถาม ขณะที่ประมุขเผ่ามารอย่างตงหยางค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบถ้วยชาขึ้นดื่ม นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด
“หลายวันก่อนมีสัญญาณเตือน ถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ข้าครุ่นคิดอยู่นานและไม่อาจวางใจได้ จึงนำความนี้ไปปรึกษากับเทพแห่งชะตา และนั่นทำให้ข้าร้อนใจไม่อาจอยู่เฉยได้จึงต้องเรียกพวกท่านมาประชุมกันวันนี้” ราชันจางเหว่ยพูดจบ จึงเบี่ยงหน้าไปยังเทพแห่งชะตาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“เทพแห่งชะตา ท่านจงแจ้งถึงภัยพิบัติใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอันใกล้ ให้ประมุขเผ่าต่าง ๆ ได้รับรู้และเตรียมการป้องกันเถิด” ก่อนเทพแห่งชะตาจะค้อมตัวลงน้อมรับคำสั่ง แล้วหันไปยังประมุขเผ่าต่าง ๆ ที่นั่งอยู่
“ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้นรุนแรงนัก”
“รุนแรงเท่าใด เท่าตอนที่ตงฟางนำทัพเผ่ามาร บุกทำลายเผ่าเทพหรือไม่” ประมุขเผ่าวิหคเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง ก่อนเทพแห่งชะตาจะน้อมกายลงแล้วพูดขึ้น
“รุนแรงมากกว่านั้นหลายเท่า ด้วยเหตุที่ว่ามารอย่างตงฟางถูกประมุขตงหยางผลึกไว้ ใกล้หลุดเป็อิสระเต็มทีแล้ว”
“จอมมารตงฟางจะหลุดออกมาได้ยังไง ในเมื่อท่านประมุขตงหยางใช้พลังิญญาขั้นหก ผลึกเขาไว้อย่างแ่า แล้วมิใช่เหรอ” ประมุขเผ่าจิ้งจอกเอ่ยค้านอย่างไม่เชื่อ ก่อนตงหยางที่นั่งอย่างเงียบ ๆ จะขยับกายด้วยท่าทางสุขุม ภายใต้ชุดสีดำ พร้อมใบหน้าหล่อเหลาของเขาเงยขึ้น มองตรงไปยังเจี้ยนเถาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าใช้พลังิญญาขั้นหกในการจองจำเขา แต่ข้าพึ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าตลอดเวลาแห่งการจองจำ ตงฟางจะดูดซับเอาพลังิญญาขั้นหกไว้กับตัว รวมกับพลังิญญาขั้นห้าของเขา ทำให้สำเร็จพลังิญญาขั้นเจ็ด โดยไม่ต้องทำอะไรเลย” สิ้นเสียงของตงหยางเท่านั้น ประมุขเผ่าจิ้งจอกและเผ่าวิหคหันมองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่น ก่อนตงหยางจะก้มหน้าลงพร้อมความคิดมากมายหลั่งไหลออกมา
“ซึ่งพลังิญญาขั้นเจ็ดนี้ เป็พลังสูงสุดที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ อีกไม่นานตงฟางจะฝ่าผลึกที่จองจำออกมา หากเวลานั้นมาถึง แม้แต่ข้าก็ไม่อาจปกป้องผู้ใดได้อีก”
“เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ได้ ภัยพิบัติใหญ่หลวงนัก” ต้าเหรินประมุขเผ่าวิหคสัดส่ายดวงตาไปมาด้วยความสับสนอย่างถึงที่สุด ก่อนเสียงของเทพแห่งชะตาจะเอ่ยขึ้น
“หนทางที่ภัยพิบัติ จะสงบลงได้มีเพียงทางเดียว คือหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงให้พบ ผู้มีดวงจิตสีเพลิงจะผนวกกับพลังิญญาขั้นหกของประมุขเผ่ามาร ก็จะทำให้สามารถเอาชนะพลังิญญาขั้นเจ็ดของตงฟางได้ แต่มีข้อแม้ว่าทั้งสองต้องรวมพลังกัน” เทพแห่งชะตาน้อมกายลงเล็กน้อย ก่อนราชันเทพจะเอ่ยขึ้น
“ที่ข้าเรียกพวกท่านมาพบ ข้า้าให้พวกท่านทุกคนกลับไปยังเผ่าของตนแล้วเร่งตามหาผู้มีดวงจิตสีเพลิง ยิ่งพบเร็วเท่าใด ก็จะเป็ผลดีต่อพวกเรามากเท่านั้น”
หลังจากนั้นการตามหาผู้มีดวงจิตสีเพลิง ก็แพร่กระจายไปยังเผ่าต่าง ๆ ทุกคนเฝ้าตามหาผู้วิเศษนั้นเพื่อทำการแก้ไขภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอันใกล้นี้
สองเท้าของต้าเหรินประมุขเผ่าวิหค เดินทางกลับมาพร้อมใบหน้าโศกเศร้า แดนอาคมถูกเขาผลึกไว้เป็ครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีเพื่อกั้นเขตแดนไว้
“ท่านพี่ ท่านกั้นแดนอาคมไว้ทำไมกัน” เสียงของหยางซินเอ่ยถาม พลางมองการกระทำของสามีด้วยความแปลกใจ พร้อมใบหน้าเคร่งขรึมของเขาจะหันกลับมาด้วยความหวาดหวั่น
“ประชุมเหล่าเทพ มีอันเื่อันใดเกิดขึ้นงั้นเหรอ เหตุใดท่านจึงดูไม่สบายใจเช่นนี้” หยางซินเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความอยากรู้ ก่อนสองเท้าของต้าเหรินจะก้าวเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของภรรยาแล้วพูดขึ้น
“ภัยพิบัติใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เวลานี้เหล่าเทพทั้งหลายพากันวิตก และพยายามหาทางแก้ไขอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่”
“ภัยพิบัติใหญ่มากใช่หรือไม่ ท่านถึงกับใช้อาคมกั้นเขตแดนไว้อย่างแ่าเช่นนี้” หยางซินพูดพลางเลื่อนสายตาไปยังเขตอาคมที่ห่างหายไปหลายหมื่นปี
“ตอนนี้ิเยว่อยู่ที่ใด” เขาเปลี่ยนเื่ พลันถามหาธิดาทันที ก่อนหยางซินชะงักนิ่ง แล้วอึกอักเพราะลูกสาวตัวดี แอบหนีไปยังแดนมนุษย์เหมือนเคย ก่อนนางจะก้มหน้าลง แล้วยอมรับความผิดไม่คิดบ่ายเบี่ยง
“นางแอบหนีไปยังแดนมนุษย์อีกแล้ว ข้าผิดเองที่ดูแลนางไม่ดี” หยางซินพูดเสียงอ่อย
“ปล่อยนางไปเที่ยวเล่นดีแล้ว เ้าไม่ต้องส่งคนไปตามนางกลับมา ข้าอยากให้นางอยู่ห่างจากเผ่าวิหคสักพัก ยิ่งนางซุกซน อยากหลบซ่อนตัวเท่าใด ก็ยิ่งเป็การดีกับนางมากขึ้นเท่านั้น” คำพูดของสามีทำให้หยางซินเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ การที่ิเยว่แอบลงไปยังแดนมนุษย์ เป็กฎข้อห้ามที่ต้าเหรินตั้งขึ้น ทว่าเวลานี้เขาทำสิ่งตรงข้าม ยินดีปล่อยนางไปยังแดนมนุษย์โดยไม่คิดต่อว่า
