ดาบของฉู่ซีฟงไม่ได้แทงทะลุดาบของซูฉางอันอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ทว่าดาบของซูฉางอันกลับปะทะลงตรงจุดอย่างแม่นยำดาบนั้นจ่ออยู่ในตำแหน่งที่น่าอัศจรรย์เป็อย่างมากเพราะนั่นเป็ตำแหน่งที่เปราะบางมากที่สุดในการโจมตีครั้งนี้นั่นเองหากจะว่ากันตามความสมควรแล้ว แม้นั่นจะเป็จุดที่เปราะบางและมีการออกแรงน้อยที่สุดแต่ด้วยสภาพร่างกายของซูฉางอันในตอนนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางรับมันเอาไว้ได้แน่ แต่ที่แย่ก็คือวินาทีที่ดาบพุ่งเข้ามาปะทะ ฉู่ซีฟงก็เลือกที่จะลดกำลังในการโจมตีลงไปถึงสามระดับเพื่อรักษาชีวิตของซูฉางอันเอาไว้
ฉู่ซีฟงเบิกตากว้างเขาััได้ว่าการออกดาบของซูฉางอันในครั้งนี้ ต้องไม่ใช่เื่บังเอิญแน่ซูฉางอันหาจุดอ่อนของเขาได้อย่างแม่นยำทั้งยังรู้ว่าเขาจะออมแรงในตอนสุดท้ายอีกด้วยนี่นับเป็สิ่งที่น่าตกตะลึงเหลือเกิน เขาต้องมีพร์ในระดับไหนกัน? แม้แต่ตนที่ฝึกวิชาดาบมานานหลายปีก็ยังทำเช่นนั้นไม่ได้เลย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉู่ซีฟงก็ประกายความตกตะลึงออกมาเล็กน้อย
ทว่าในการประลองของยอดฝีมือจะชนะหรือพ่าย ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ซูฉางอันไม่ถือเป็ยอดฝีมือแต่ในวินาทีนี้ อย่างน้อยในตอนนี้ เขาก็เป็ยอดฝีมืออย่างแท้จริง
วินาทีนั้น เขาจับจุดอ่อนของฉู่ซีฟงและใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนั้นอย่างชาญฉลาดซูฉางอันยกดาบขึ้นเพื่อปัดดาบของฉู่ซีฟงออกไปให้ห่าง จากนั้นก็หมุนข้อมือขวาเพื่อชี้ปลายดาบไปทางด้านหน้าก่อนจะหยุดลงในจุดที่ปลายดาบอยู่ห่างจากร่างของฉู่ซีฟงเพียงไม่ถึงคืบเท่านั้น
“เ้าแพ้แล้ว” ซูฉางอันกล่าวขึ้นเสียงของเขาไม่ดังแต่ก็ไม่เบาจนเกินไป ท่าทางราบเรียบ ไม่ผยองแต่ก็ไม่ได้อับเฉาดวงตาของเขาไม่มีความดีอกดีใจ ทว่าก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวเช่นกัน
บริเวณโดยรอบเงียบสงัดลงในพริบตา
เซี่ยโหวฟ่งอวี้กับพวกเบิกตากว้างพวกเขามองภาพตรงหน้าด้วยท่าทางอึ้งๆ ด้วยระดับพลังอันน้อยนิดที่มีพวกเขาย่อมดูเคล็ดลับในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ออกอยู่แล้วซูฉางอันรับการโจมตีที่ทรงพลังราวกับสายฟ้าฟาดของฉู่ซีฟงเอาไว้จากนั้นก็เอาชนะฉู่ซีฟงผู้เป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานานได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเท่านั้น
นี่ช่างเป็เื่ที่ชวนให้บ้าคลั่งเสียจริงเซี่ยโหวฟ่งอวี้ถึงขั้นลองหยิกแก้มตัวเองดูอยากพิสูจน์ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็เพียงความฝันเท่านั้นแต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้รับ กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่นางคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ฉู่ซีฟงมองไปที่ดาบของซูฉางอันทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาหมองหม่นจนยากจะอธิบาย มันมีทั้งความตกตะลึงไม่พอใจ สงสัย และโกรธเกรี้ยว แต่ในที่สุดเขาก็ประกายรอยยิ้มออกมาอย่างปลดปลง “ท่านอวี้เหิงแห่งสำนักเทียนหลานเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆข้าน้อยยกย่องจากใจจริง!”
ซูฉางอันชะงักนิ่งไปใบหน้าของเขาประกายสีแดงระเรื่อออกมาคล้ายกับเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้อย่างไรอย่างนั้น “ท่านรู้แล้วรึ?”
แน่นอนว่ากลที่เขาใช้ในการต่อสู้เมื่อครู่ไม่ได้ออกมาจากความคิดของซูฉางอันแต่อย่างใดแต่อวี้เหิงเข้าควบคุมร่างกายของซูฉางอันเอาไว้จากนั้นก็ช่วยให้เขาแสดงกระบวนท่าที่เรียบง่ายทว่าก็สุดแสนจะยอดเยี่ยมเมื่อครู่ออกมาต่างหาก
“ฮ่าๆๆ! มั่วทิงอวี่หาลูกศิษย์ได้ดีจริงๆ!” ทว่าฉู่ซีฟงกลับไม่ตอบคำถามของเขาแต่กลับยิ้มมีเลศนัยให้ซูฉางอันแทน จากนั้นฉู่ซีฟงก็หุบยิ้มลงแล้วหันไปโค้งให้ประตูสภาพทรุดโทรมของสำนักเทียนหลานพลางพูดขึ้น “ข้าน้อยจะทำตามคำสัญญาั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป ข้าคืออาจารย์สอนดาบของสำนักเทียนหลาน!”
แกรก!
เมื่อสิ้นเสียงกล่าว เสียงหนักๆก็ดังขึ้น จากนั้นประตูของสำนักเทียนหลานก็เปิดออกอย่างเชื่องช้า
ในตอนนั้นเองในที่สุดซูฉางอันก็ได้เห็นสภาพภายในของสำนักเทียนหลานอันแสนลึกลับเสียทีมันไม่ได้งดงาม หรูหรา หรือฟู่ฟ่าเหมือนที่คิดเอาไว้ ทว่ากลับมีเพียงอาคารที่สุดแสนจะธรรมดาซึ่งปลูกเอาไว้เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น แลดูเงียบเหงาเหลือเกิน
ซูฉางอันประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาเขย่งเท้าแล้วชะเง้อมองเข้าไปด้านในอยู่นาน แต่กลับไม่พบกับเงาของใครสักคน
“ั้แ่ท่านเหยากวงกลับสู่ท้องนภาสำนักเทียนหลานก็ไม่เคยรับศิษย์เข้าไปอีกเลย เ้าเป็ศิษย์เพียงคนเดียวในรอบยี่สิบปีเชียวนะ” ซุนยิ่งหลง หนุ่มร่างอ้วนก้าวเข้ามาหาแล้วกล่าวอธิบายกับเขา ราวจะดูออกว่าซูฉางอันกำลังคิดอะไรอยู่
“อ้อ?” ซูฉางอันประหลาดใจเล็กน้อยทำไมสำนักอันดับหนึ่งของเมืองฉางอันถึงไม่ยอมรับศิษย์เพิ่ม? ไม่มีศิษย์แล้วยังเรียกว่าสำนักได้อีกหรือ? ทว่าขณะที่เขากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากสำนักตรงหน้าเสียก่อน เสียงนั้นแลดูเก่าแก่ทว่าก็ทรงพลังเป็อย่างมากซูฉางอันจำได้ทันทีว่านั่นเป็เสียงที่ดังขึ้นในสมองของตนก่อนหน้านี้นั่นเอง
“เฮ้อ” เสียงนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า “ครั้งนี้ ข้าอวี้เหิงใช้เล่ห์กลกับเ้า เมื่อเ้าบรรลุศาสตร์แห่งพรต ชื่อของเ้าจะถูกบันทึกลงในหอเทียนหลานอย่างแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวซูฉางอันยังคงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นเช่นเดิมทว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้กับพวกกลับร้องอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ผิดกับฉู่ซีฟงที่มีสีหน้าราบเรียบเป็อย่างมากเขาโค้งทำความเคารพอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้น “ขอบคุณท่านอวี้เหิงมาก”
“อืม” เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง “ฟ่งอวี้”
“หา? ท่านปู่อวี้เหิง ฟ่งอวี้อยู่นี่แล้ว” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่กำลังเหม่อลอยอยู่อีกด้านรีบเดินไปหน้าประตูสำนักแล้วตอบกลับไปด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
“หลายปีก่อน องค์จักรพรรดิ้าส่งองค์ชายเจ็ดเข้ามาศึกษาในสำนักเทียนหลานเพียงแต่ในตอนนั้น สำนักเทียนหลานของเราปิดรับศิษย์จึงไม่อาจรับองค์ชายเจ็ดเข้ามาได้ เมื่อลองมาคิดทบทวนดูแล้วคนที่ผิดในเื่นี้เป็ตัวข้าเอง” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้เสียงนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้แม้องค์ชายเจ็ดจะเข้าเป็ศิษย์ของท่านนักพรตไท่ไป๋นักรบแห่งดาราจักรจากหอชมดาวแล้วก็จริง แต่อย่างไรเสียสำนักเทียนหลานของพวกเราก็ยังติดค้างต่อตระกูลเซี่ยโหวอยู่ดีกลับไปบอกเสด็จพ่อของเ้าด้วย ว่าหากเขายินยอม เ้าก็เข้ามาศึกษาในสำนักเทียนหลานได้”
สีหน้าของเซี่ยโหวฟ่งอวี้เริ่มจากตกตะลึงไปเป็ดีอกดีใจในภายหลังนางไม่อาจเก็บกลั้นรอยยิ้มที่แฝงอยู่บนใบหน้าได้เลยฟ่งอวี้ประสานมือเข้าด้วยกันในท่าทำความเคารพ พลางพูดขึ้น “แน่นอน ขอบคุณท่านปู่อวี้เหิงมากข้าจะกลับไปบอกเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้”
“อืม ไปเถอะ” เสียงนั้นกล่าวขึ้น
เมื่อได้รับอนุญาตจากอวี้เหิงเซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงกล่าวขอบอกขอบใจจากนั้นก็พากลุ่มวัยรุ่นทั้งหลายพุ่งออกไปอย่างรีบร้อนน่าจะไปบอกข่าวดีเื่นี้กับมหาจักรพรรดินั่นเอง
ก่อนจากไป ซุนยิ่งหลงก็ยังไม่ลืมที่จะนัดให้ซูฉางอันไปเจอกันในยามว่างครั้งต่อไปซูฉางอันรู้สึกว่าเ้าอ้วนคนนี้น่าสนใจมาก จึงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยยังมีเื่ส่วนตัวที่ต้องสะสางพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ไม่ทราบว่าท่านอวี้เหิงอนุญาตหรือไม่”ในตอนนั้นเองในที่สุดฉู่ซีฟงก็พูดขึ้นมาบ้าง
“อืม เ้าไปเถอะ”
“ขอบคุณท่านอวี้เหิง” ฉู่ซีฟงพูดประโยคปิดท้ายจากนั้นจึงหมุนตัวแล้วเดินออกไปในที่สุด
ในที่สุดสำนักเทียนหลานก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งแล้วบัดนี้ เหลือเพียงซูฉางอันเท่านั้น ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางเซ่อซ่า
ผ่านไปนาน
“จะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมยังไม่รีบเข้ามาอีก!” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“หา??? อ้อ” ซูฉางอันได้สติในที่สุด เขารู้สึกกระวนกระวายใจเป็อย่างมากกระทั่งตอนนี้ เขาจึงจะตระหนักได้ว่าดูเหมือนอาจารย์อวี้เหิงจะเป็คนที่เก่งกาจมากคนหนึ่งเพราะแม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ยังมีท่าทางเคารพนอบน้อมต่อเขาเลย
แต่ถึงกระนั้นสองขาก็ยังก้าวเข้าไปในสำนักเทียนหลานอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่ดี ประการที่หนึ่งเพราะนอกจากที่นี่ เขาก็ไม่มีที่ให้ไปอีก ส่วนประการที่สองก็คืออาจารย์หญิงเคยบอกเขาเอาไว้ว่าต้องให้อวี้เหิงช่วยเหลือเื่โลหิตเทพในร่างกาย...
“เดินตรงไปข้างหน้าข้าอยู่ที่หออวี้เหิง” เสียงของอวี้เหิงดังขึ้นอีกครั้ง
ซูฉางอันขานรับแล้วเดินไปตามที่เสียงบอก
หลังเดินผ่านแมกไม้ที่เขาไม่ทราบชื่อในที่สุดซูฉางอันก็พบกับตำหนักที่มีหน้าตาประหลาดเจ็ดหลัง พวกมันมีนามว่าหอเทียนจีเทียนเฉียน เทียนซู เทียนเสียน เหยากวง อวี้เหิง และไคหยางหอทั้งหลายตั้งอยู่ในจุดต่างๆ ภายในสำนักอย่างไม่มีระบบระเบียบคล้ายถูกสร้างแบบส่งๆ เท่านั้น แต่ซูฉางอันกลับรู้สึกว่าที่ตั้งของหอแต่ละจุดคล้ายจะถูกจัดเรียงตามการเรียงตัวของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่เช่นนั้น
ซูฉางอันพุ่งเป้าไปที่หออวี้เหิงแล้วก้าวตรงไปยังจุดหมายทันที
เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าหออวี้เหิงเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและกระวนกระวายใจเป็อย่างมากไม่ใช่เพราะเขารู้สึกหวาดกลัวหรอกนะแต่เขารู้สึกคล้ายคนที่กำลังจะไปพบกับว่าที่พ่อตาแม่ยายเป็ครั้งแรกแล้วกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบตนต่างหาก
ในที่สุดเขาก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วผลักประตูเข้าไปในตำหนัก พลันเงาของใครบางคนก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
คนตรงหน้าเป็คนชราที่มีเส้นผมขาวโพลนคนหนึ่งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่ลึกและเข้มไม่ต่างไปจากร่องหินแผ่นหลังค่อมโค้งเล็กน้อย คนชรานั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าดวงตาที่คล้ายกำลังง่วงเหงาของเขาจ้องมองมาที่ซูฉางอันอย่างไม่คลาดสายตา ราวเขากำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่างเช่นนั้น
ซูฉางอันมองสำรวจคนตรงหน้าเล็กน้อยและในตอนนั้นเองที่เขาพบว่า ที่แท้อวี้เหิงก็แก่ชรามากแล้วแก่จนราวอาจตายได้ทุกเมื่อเช่นนั้น
คนหนุ่มและคนแก่มองตากันนิ่ง
เป็เวลานาน
ในที่สุด ทั้งสองก็ถอนสายตาออกไปจากร่างของกันและกัน
พวกเขากล่าวขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“ข้ากำลังจะตายแล้ว”