อันเจิงวาดลวดลายที่อยู่บนไหเหล้าของเฉินเซ่าป๋ายตามที่จดจำได้จากนั้นก็เอาไปให้ผู้เฒ่าฮั่วดู ผู้เฒ่าฮั่วพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่เคยเห็นลวดลายนี้มาก่อน
“เมื่อนานมาแล้ว”
ผู้เฒ่าฮั่ววางภาพวาดในมือแล้วพูด “ว่ากันว่าใน่ที่แคว้นต่าง ๆ อ่อนแอมากที่สุด มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่อยู่เป็จำนวนมากอำนาจของแคว้นได้ถูกแบ่งไปอยู่ในมือของตระกูลเหล่านี้ ในตอนนั้นทุกตระกูลล้วนมีกองทัพเป็ของตัวเอง พวกเขาตั้งตัวเป็ใหญ่ ผลิตเงินขึ้นใช้เองและยังไม่ต้องจ่ายภาษีให้กับราชสำนักอีกด้วยถึงแม้พระาายังได้ชื่อว่าเป็ผู้ครองแคว้น แต่ในความเป็จริง าาของแคว้นไม่มีอำนาจใดๆ มาตั้งนานแล้ว”
“่เวลานั้นเรียกได้ว่าเป็ยุคที่มืดที่สุดเลยก็ว่าได้ทุกตระกูลมีตราสัญลักษณ์เป็ของตัวเองข้าว่าสัญลักษณ์นี้ก็คงสืบทอดมาจากยุคนั้นเหมือนกัน เพื่อนเ้าบอกว่าจะกลับไปรับ่ต่อตระกูลและยังเป็การทำแบบลับ ๆ อีก เป็ไปได้มากว่าเขาจะเป็คนในตระกูลใหญ่ของยุคนั้น ที่ยังสืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้”
“ต่อมาจักรวรรดิต้าซีได้รวบรวมแผ่นดินบางส่วนเข้าด้วยกันแต่ก็ไม่ได้แปลว่าตระกูลเ่าั้จะสาบสูญ แน่นอนว่ากาลเวลาอาจทำให้บางตระกูลสูญสิ้นไปแต่ก็มีบางส่วนที่หนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในที่ลับและยังคงกุมอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือ อย่างไรก็ตามราชสำนักต้าซีแข็งแกร่งมากเกินไป พวกเขาจึงไม่กล้าออกมาต่อต้านตรง ๆแต่หากราชสำนักต้าซีเกิดความวุ่นวายเมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมที่จะแสดงตัวออกมาทันที”
แน่นอนว่าอันเจิงรู้เื่พวกนี้ดี แต่ด้วยเวลาผ่านมานานมากแล้วเขาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก หลังจากที่ได้ยินผู้เฒ่าฮั่วพูดถึงอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่ามันดูสมเหตุสมผลมากเช่นกัน
ใน่นั้นถูกเรียกว่ายุคมืดหรือเรียกอีกอย่างว่าสมัยาแคว้นตระกูลที่มีอำนาจต่างก็ไม่เคยหยุดแก่งแย่งชิงดี อันเจิงทบทวนอดีตอย่างละเอียดในสมัยาแคว้นดูเหมือนตระกูลเฉินจะใหญ่โตที่สุดพวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่แถบลุ่มแม่น้ำทางทิศตะวันออก ใน่รุ่งโรจน์มากที่สุด่หนึ่งพวกเขาพื้นที่ไปมากถึงหนึ่งส่วนจากห้าสิบส่วนของจักรวรรดิต้าซีในปัจจุบันเลยทีเดียว
จนถึงตอนนี้าาทะเลเฉินอวี้ฟู่ก็ยังทำให้ผู้คนมากมายยกย่องและชื่นชมได้
แต่ต่อมาาาอาทิตย์ถังไทชิ่งมิ่งกับาาเทียมเมฆตงเย่หูได้ร่วมมือกันโค่นล้มตระกูลเฉินเป็เหตุให้ตระกูลเฉินเปลี่ยนมาเก็บซ่อนตัว เล่ากันว่า ตระกูลนี้หนีข้ามทะเลไปอยู่บนเกาะใดเกาะหนึ่งในแถบทะเลตะวันออกและไม่กลับมาอีกเลย
่เวลานั้นเป็ยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดของผู้ฝึกพลังวัตรปัจจุบันยังมีผู้คนให้ความสนใจกับยุคนั้นเป็จำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนบางส่วนยกย่องให้เป็ยุคที่มีผู้แข็งแกร่งมากที่สุด
ตอนที่อันเจิงเพิ่งเริ่มฝึกพลังวัตรเขาก็เคยได้ยินเื่เล่าของยอดฝีมือเหล่านี้เหมือนกันหนึ่งในนั้นก็คือาาอาทิตย์ถังไทชิ่งมิ่ง เพื่อต้อนรับแขกเขาจึงปลูกต้นท้อแล้วทำให้มันบานภายในชั่วข้ามคืนและยังมีาาเทียมเมฆตงเย่หูที่พาแขกไปเดินเล่นที่ทะเลสาบต้งถิ๋งแล้วเจอกับัจึงเกิดเื่เล่าที่เขาจบชีวิตัด้วยมือเดียว
“นั่นเป็ยุคที่วุ่นวายและนองเืมากที่สุดแต่ก็เป็่ที่ผู้ฝึกพลังวัตรรุ่งโรจน์มากที่สุดด้วยเช่นกัน”
ผู้เฒ่าฮั่วดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกแล้วพูดต่อ“เล่ากันว่า ่นั้นผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตแห่ง์มีมากกว่าร้อยคนหรืออาจมากกว่านั้นด้วยซ้ำ”
อันเจิงพยักหน้า “ที่ใดเกิดความวุ่นวายที่นั่นจะปรากฏอัศวินแต่ข้าก็อยากให้แผ่นดินสงบสุขมากกว่า”
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าวต่อ “เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นในเทือกเขาชางหมานสู้รบติดต่อกันหลายปีหลังจากนั้นจึงเกิดโลกมายานี้ขึ้น ดูอย่างจักรวรรดิต้าซีสิประชาชนมีชีวิตที่สงบสุขกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็ยุคไหนหรือใครเป็ฝ่ายประกาศา ต่อให้จะมีเหตุผลในการสู้รบที่ดีเพียงใดแต่ผู้ที่ลำบากที่สุดก็คือประชาชนไม่มีประชาชนคนไหนอยากให้เกิดการสู้รบ คนที่อยากทำาก็มีแต่พวกที่ใฝ่สูงและอยากใช้ความวุ่นวายเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเองเท่านั้น”
อันเจิงถอนหายใจ “ข้าอยากให้โลกนี้ไม่เกิดความวุ่นวายตลอดกาล”
เขาไม่สามารถสืบประวัติของเฉินเซ่าป๋ายได้สำหรับอันเจิงแล้วมันคือความค้างคาใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรอันเจิงก็ไม่มีเวลามาคิดเื่พวกนี้แล้ว นิกายเบิก์ยังมีเื่ให้จัดการอีกมาก
เพื่อให้คนภายนอกลดความสงสัยที่มีต่อนิกายเบิก์อันเจิงจึงให้ตู้โซ่วโซ่วกับคนอื่น ๆ อ่านตำราและฝึกพลังวัตรใน่เช้าพอตกดึกก็ให้เข้าไปฝึกต่อในตราประทับท้าทาย์ ผู้เฒ่าฮั่วได้ลองนำสมุนไพรและดินโคลนบางส่วนออกมาจากสร้อยลูกประคำโลหิตจากนั้นก็นำมาปลูกในตราประทับท้าทาย์ แต่ด้วยพลังที่เขามีอยู่ จึงสามารถนำมันออกมาได้ประมาณหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
เพื่อความปลอดภัยของอันเจิง ต่อให้ผู้เฒ่าฮั่วจะมีพลังมากกว่านี้ก็คงไม่กล้านำสมุนไพรออกมาในปริมาณที่มากกว่านี้แน่และหากอันเจิงไม่ยินยอมให้นำสมุนไพรออกมา แน่นอนว่าเขาก็จะไม่ทำเช่นนี้เลย
“สมุนไพรพวกนี้ จากนี้ไปขอมอบให้ท่านดูแลแล้ว”
ในตราประทับท้าทาย์อันเจิงนั่งบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยสมุนไพรมองดูสมุนไพรที่เพิ่งปลูกเสร็จด้วยความภาคภูมิใจด้วยอายุและพลังวัตรของเขาในตอนนี้ แค่ปรับเปลี่ยนตราประทับท้าทาย์ให้มาถึงจุดนี้ได้ก็ถือเป็สิ่งที่ควรค่าต่อการภูมิใจแล้ว ในหัวของเขามีวิชามากมายที่สามารถนำมาใช้ในการฝึกพลังวัตรดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องไปอิจฉาหอสมุดมายาที่มีตำราจำนวนมหาศาลเลย นอกจากนั้นเขายังมีสวนสมุนไพรขนาดใหญ่หากเพื่อนเขาได้รับาเ็หรือ้าเพิ่มพลังวัตร ก็คงหายห่วงเื่ไม่มียาสมุนไพรแล้ว
“ยังมีนี่อีก”
อันเจิงนำเหล็กกิเลนที่เป็ของเดิมพันในการประลองกับหอสมุดมายาเมื่อครั้งที่แล้วออกมาจากนั้นก็วางไว้ตรงหน้าชวีหลิวซี “ของเดิมพันชิ้นนี้ข้านำมันมาให้เ้าโดยเฉพาะข้ากับผู้เฒ่าฮั่วสืบมาแล้วว่า ในโลกมายาแห่งนี้ของที่สามารถนำมาเป็ส่วนประกอบในการสร้างเตาหลอมโอสถก็คือเหล็กกิเลน ของวิเศษชิ้นนี้เป็เพียงระดับสีขาวเท่านั้นหากจะให้หอสมุดมายามอบของวิเศษระดับสีแดงออกมา ก็ดูจะเกินความสามารถของพวกเขาไปสักหน่อยก่อนหน้านี้ที่ข้ายังไม่มอบมันให้เ้า ก็เพราะข้าให้ผู้เฒ่าฮั่วทดลองใช้ดูก่อนแล้วค่อยมาบอกวิธีใช้กับเ้าอีกที”
ดวงตาของชวีหลิวซีแดงขึ้นเล็กน้อย “ของพวกนี้คือสิ่งที่เ้าแลกมาด้วยชีวิต”
อันเจิงใช้มือลูบหน้าม้าของนาง “ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นรีบเก็บไว้เถอะ แล้วก็ไปคารวะผู้เฒ่าฮั่วเป็อาจารย์ด้วย ต่อให้เขาจะไม่ใช่ผู้ที่ชำนาญด้านสมุนไพรแต่เขาก็คือปรมาจารย์ด้านการสร้างอาวุธและสมบัติวิเศษ หากเขาช่วยสร้างเตาหลอมโอสถให้ต่อไปเ้าก็นำเตานี้ไปฝึกหลอมโอสถิญญาเองได้แล้ว ข้ารู้ว่าอย่างไรสิ่งที่เ้าชอบที่สุดก็ยังเป็ศาสตร์ของสมุนไพรไม่ใช่การฝึกพลังวัตร”
ชวีหลิวซีซาบซึ้งจนพูดอะไรไม่ออก นางแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“แต่ว่า...แต่เ้าเป็ผู้นำนิกายและยังเป็อาจารย์ของพวกเราอีกอาจารย์ข้าเคยบอกไว้ว่า ถ้าเราได้คารวะใครเป็อาจารย์แล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนไปคารวะคนอื่นเป็อาจารย์โดยตามใจได้อีก นั่นถือเป็การทรยศตัวเองดังนั้นหลังจากที่ข้าเข้ามาในนิกายเบิก์ อาจารย์ของข้าก็บังคับตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ลงแล้วรับข้าเป็ลูกบุญธรรมแทน”
“เ้าไม่ใช่ศิษย์ของข้า แล้วข้าก็ไม่ใช่อาจารย์ของเ้าด้วยดังนั้นก็ไม่ได้มีการทรยศเสียหน่อย ข้าไม่ค่อยสันทัดเื่สร้างเตาหลอมโอสถมากนัก อีกทั้งยังรู้เื่เกี่ยวกับสมุนไพรเพียงเล็กน้อยเท่านั้นผู้เฒ่าฮั่วรู้เื่นี้ดีกว่าข้ามาก เขาสามารถช่วยเ้าได้มากกว่า ดังนั้นอย่าเสียเวลาพูดเื่พวกนี้เลยรอผ่านเื่วุ่นวายไปได้ ข้าจะไปโรงจวี้ฉ่างเสียหน่อย ดูว่าพอจะมีอะไรใช้เป็ส่วนประกอบของเตาหลอมโอสถได้บ้าง”
ท่าทางของชวีหลิวซีในตอนนี้ช่างน่ารักจริงๆ อันเจิงดันร่างของนางไปหาผู้เฒ่าฮั่ว
หลังจากนางออกไปแล้วอันเจิงนั่งขัดสมาธิฝึกพลังวัตรและรับอากาศธาตุเข้าสู่ร่างกาย จริง ๆแล้วขั้นตอนการฝึกพลังวัตร หากจะว่าซับซ้อนก็แสนจะซับซ้อน แต่จะบอกว่าไม่ซับซ้อนมันก็อธิบายได้ง่ายนิดเดียวพลังวัตรหลัก ๆ แล้วจะมีแค่สี่คำคือพลังลมปราณ วิธีการฝึกพลังลมปราณคือการหายใจออกเพื่อขับอากาศพิษและหายใจเข้าเพื่อสูดอากาศธาตุเข้าสู่ร่างกาย การฝึกพลังวัตรก็คือการสูดอากาศธาตุเข้าไปในทะเลปราณแล้วเปลี่ยนอากาศธาตุเป็พลังที่สามารถนำมาใช้ได้จริงนั่นเอง
ร่างกายทุกคนมีการตอบสนองต่อิญญาปราณที่แตกต่างกันออกไปร่างของบางคนจะตอบสนองต่อน้ำมากกว่า ดังนั้นการฝึกพลังวัตรจะต้องเกี่ยวข้องกับน้ำบางคนร่างกายตอบสนองต่อไฟ บางคนก็ตอบสนองต่อพลังจากธาตุทอง ไม่ใช่เพียงผู้ฝึกพลังวัตรเท่านั้นกับสัตว์อสูรก็เป็เช่นนี้เหมือนกัน
จริง ๆ แล้วสัตว์อสูรเป็ชื่อเรียกโดยรวมเท่านั้นสัตว์ที่สามารถฝึกพลังวัตรได้ล้วนถูกเรียกว่าสัตว์อสูรทั้งสิ้น แต่ในความเป็จริง สัตว์อสูรสามารถแบ่งออกเป็สามประเภทได้แก่ จิงโซ่ว เยาโซ่ว และหมัวโซ่ว ซึ่งสามารถแยกได้ดังนี้ ดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้และก้อนหินที่วิวัฒนาการจนมีความรู้สึกนึกคิดและได้รับบ่มเพาะพลังจะถูกจัดเป็จิงโซ่วส่วนเยาโซ่วคือสัตว์ที่ได้รับการวิวัฒนาการแล้ว ซึ่งอาจเป็สัตว์ชนิดใดก็ได้ไม่เว้นแม้กระทั่ง นก งู ปลา และแมลงต่าง ๆ
หมัวโซ่วคืออากาศในโลกใบนี้ ในอากาศจะเต็มไปด้วยอากาศธาตุสถานที่บางแห่งที่มีอากาศธาตุรวมตัวกันเป็จำนวนมากเมื่อเวลานานเข้าก็จะกลายเป็สิ่งของและกลายเป็หมัวโซ่วในที่สุด ดังนั้น จิงโซ่วคือพืชพันธุ์และสิ่งของเยาโซ่วคือสัตว์ และหมัวโซ่วคืออากาศธาตุ
จากที่แบ่งประเภทออกมานี้ เสี่ยวช่านของเขาคงเป็เยาโซ่ว
อันเจิงนั่งฝึกพลังลมปราณอยู่ในตราประทับท้าทาย์ เมื่อรู้สึกว่าเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วจึงลุกออกไปด้านนอกเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้ทุกคน ในนิกายเบิก์นี้เขาทำหน้าที่หลายบทบาทเป็ทั้งเพื่อน คนรู้ใจ และพ่อครัวเมื่ออันเจิงเดินมาถึงประตูทางเข้าตราประทับท้าทาย์ก็หันไปเห็นมดตัวหนึ่งกำลังเดินผ่านมาทางนี้ มันเดินมาหนึ่งในห้าสิบส่วนของระยะทางแล้ว
“สู้ ๆ”
อันเจิงหันไปพูดกับมดจากนั้นก็เดินออกไปจากตราประทับท้าทาย์
เมื่อเดินออกมาท้องฟ้าก็กลายเป็สีดำสนิทแล้ว พอฟ้ามืด ตู้โซ่วโซ่วกับคนอื่น ๆ ก็เข้าไปฝึกพลังวัตรในตราประทับท้าทาย์ทันทีราวกับพวกเขาอยากฝึกพลังจนทนรอไม่ไหวแล้ว
ทันทีที่อันเจิงเดินมาถึงประตูห้องครัวเขาก็พบว่าด้านนอกนิกายมีเงาของใครบางคนยืนอยู่ คนคนนั้นยืนนิ่งไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยดูคล้ายกับรูปปั้นไม่มีผิด แต่เพราะกระดิ่งแก้วไม่ได้โจมตีคนผู้นั้น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้มาที่นี่พร้อมกับจิตสังหาร
“ท่านผู้นำนิกายอัน”
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกนิกายยกมือขึ้นคารวะ “ข้าคือเชียวจ่างเฉิน”
อาจารย์ใหญ่เชียวแห่งหอสมุดมายาเขามาที่นี่ทำไมกัน?
อันเจิงชะงักเล็กน้อยจากนั้นก็เดินไปเปิดประตู “เชิญ”
เชียวจ่างเฉินยิ้มออกมา “อะไรกัน...ท่านผู้นำนิกายอันไม่ระแวงข้าสักนิดเลยหรือ?”
“ผู้ที่มาเยือนก็เหมือนเป็แขกใครจะต้อนรับแขกโดยการทิ้งให้ยืนอยู่นอกนิกายเล่า”
เขาเดินนำหน้าอย่างช้า ๆแล้วเชียวจ่างเฉินก็เดินตามหลังเข้าไป “ศิษย์ของเ้าไปไหนกันหมด?”
“พวกเขาล้วนเป็สหายของข้าไม่ใช่ลูกศิษย์อะไรหรอก ไม่รู้ว่าพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันแล้ว พอฟ้ามืดออกจากเครื่องแบบได้ก็เหมือนม้าที่วิ่งพล่านไปทั่ว จะหาตัวยังยากเลย”
“อ๋อ พวกเขายังเด็ก ยังมีความบริสุทธิ์การเล่นสนุกก็ไม่ใช่เื่ร้ายแรงอะไร”
เชียวจ่างเฉินเดินเข้าไปในห้องจากนั้นก็มองไปรอบด้าน“ผู้นำนิกายอันช่างเป็คนที่เรียบง่ายจริง ๆในห้องนี้ไม่มีของโบราณหรือของมีค่าเลยสักชิ้น”
“อาจารย์ใหญ่เชียวพูดตรง ๆ เลยว่าข้าจนก็ได้ข้าไม่ใช่ผู้ที่เรียบง่ายอะไรนักหรอก หากข้ามีเงินจริง ๆ ละก็รับประกันได้เลยว่าจะตกแต่งห้องนี้ให้สวยงาม เต็มไปด้วยเงินทองของมีค่า ไม่มีทางจัดห้องด้วยของเรียบง่ายเช่นนี้แน่ข้าจะนำทองคำไปหลอมเป็รูปปั้นโป๊เปลือยวางไว้ข้างเตียง จะได้ตื่นมาดูทุกเช้าเลย”
เชียวจ่างเฉินกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “เป็คนตรงไปตรงมาดีในเมื่อเป็แบบนี้ เช่นนั้นข้าจะพูดจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้เลยก็แล้วกัน”
หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็พูดขึ้น “ท่านผู้นำนิกายอันเ้าและสหายของเ้าล้วนเป็ผู้ที่มีความสามารถและมีอนาคตไกล ทว่าการอยู่ในโลกมายาเล็กๆ นี้ จะทำให้พวกเ้าเสียเวลาเปล่า ตัวข้าเป็อาจารย์ใหญ่ของหอสมุดมายาและเป็รองแม่ทัพของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กหากพวกเ้า้า ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำให้ พวกเ้าสามารถนำจดหมายนี้ไปแคว้นเยี่ยนแล้วเข้าไปเป็ทหารในซางอู่เหยี่ยนได้เลยที่นั่น พวกเ้าจะได้รับการฝึกที่ดีกว่านี้ ข้าเชื่อว่าด้วยพร์และความตั้งใจที่พวกเ้ามีคงจะเป็เ้าคนนายคนในแคว้นเยี่ยนได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”
อันเจิงรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ใช่เพื่อตัวของเขาเอง แต่เพื่อเสี่ยวชีเต้า
แม่นางเยว่ไปแคว้นเยี่ยนแล้วถึงแม้เสี่ยวชีเต้าจะไม่เคยพูดถึง แต่ความคิดถึงระหว่างแม่กับลูกย่อมมีไม่น้อย เป็เพราะเขามีความเป็ผู้ใหญ่เกินวัยจึงไม่เคยพูดเื่นี้กับอันเจิงเลย ถึงอย่างนั้นอันเจิงก็เห็นเขานั่งเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง
สุดท้ายแล้วอันเจิงก็ไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่แม่นางเยว่กลัวที่สุดคืออะไร
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่าน”
อันเจิงยกมือขึ้นคารวะ “ข้าได้ยินมาว่าหลังจากนี้อีกสามปีจะมีการจัดงานเทศกาลใบไม้ร่วงขึ้น ข้าคิดว่า...ถึงตอนนั้นค่อยไปก็ยังไม่สาย”
เชียวจ่างเฉินถอนหายใจเบา ๆ “ถึงตอนนั้น พวกเ้าทุกคนคงมีชื่อเสียงโด่งดังไปหมดแล้วเกรงว่าคงไม่อยากเข้าไปในซางอู่เหยี่ยนแล้วล่ะ”
เขาหยิบป้ายเหล็กออกมาจากอกเสื้อก่อนจะวางมันลง“หากเ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ มาหาข้าได้ตลอดเวลาข้าในนามของทหารซางอู่เหยี่ยนแห่งแคว้นเยี่ยน ยินดีต้อนรับเ้าเสมอ”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับในทันที
อันเจิงมองไปที่ป้ายเหล็กนั่นบนนั้นเป็รูปหมาป่าที่มีไฟลุกอยู่เต็มตัว
หลังแผ่นป้ายเหล็กได้สลักคำนี้เอาไว้...เพลิงเหล็ก