อันเจิงไม่มีทางรู้เลยว่า ซากศพซูบผอมในเทือกเขาชางหมานมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ความกังวลในใจเขาตอนนี้ได้ลดลงไม่น้อย ในโลกใบนี้คงมีอยู่ไม่กี่คนที่จะรู้เื่สมบัติวิเศษไปมากกว่าผู้เฒ่าฮั่วยิ่งไปกว่านั้น หากวิเคราะห์จากคำพูดของผู้เฒ่าฮั่วแล้ว เขาก็คงจะเป็ผู้สร้างสมบัติวิเศษระดับสีม่วงเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้เฒ่าฮั่วเคยพูดว่า ในโลกใบนี้ สมบัติวิเศษระดับสีม่วงมีเพียงหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นหากรวมตราประทับท้าทาย์ด้วย ก็เป็สองร้อยชิ้นพอดี
อันเจิงมีความสงสัยเล็กน้อยใครคือผู้ที่นับจำนวนทั้งหมดของสมบัติวิเศษระดับสีม่วงกันนะ?
เวลาที่คิดถึงเื่พวกนี้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเหม่อลอยอยู่
อันที่จริงแล้วเื่ที่ทำให้อันเจิงดีใจมากที่สุดคือเขาสามารถบ่มเพาะพลังวัตรได้แล้ว และการเลื่อนขั้นพลังในครั้งนี้ก็ประหลาดเหลือเกินดูเหมือนฟองอากาศที่เกิดขึ้นจะมีพลังที่แข็งแกร่งมาก อันเจิงนึกย้อนไปเมื่อวันก่อนขณะที่เขาเลื่อนขั้นพลัง ฟองอากาศได้เกิดะเิขึ้นสามครั้งติด ะเิครั้งแรกผู้คนที่ล้อมรอบถูกแรงกระแทกจนล้มระเนระนาด ะเิครั้งที่สอง กำแพงทั้งสองด้านถูกแรงะเิทำให้พังถล่มะเิครั้งที่สาม กระทั่งต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างทางก็ยังหักครึ่งในทันที
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็การเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย
อันเจิงฉีกยิ้มอย่างมีความสุขในที่สุดก็ไม่ต้องอยู่อย่างมืดมนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว จากนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าฮั่วที่พูดเื่ของโชคชะตาโชคชะตาคืออะไรกัน? แม้กระทั่งอันเจิงที่เคยมีพลังวัตรอยู่ในระดับสูงก็ยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้เพราะว่าชีวิตอันเจิงในภพก่อนไม่ได้มีชะตาที่ดีนัก เขาไม่เคยได้รับสิ่งที่ดีโดยไม่ต้องไขว่คว้าพูดได้ว่าเขาฝืนชะตาแล้วสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง
แต่โชคชะตาของเขาในตอนนี้ดีจนไม่สามารถอธิบายเป็คำพูดได้จริง ๆ เริ่มแรกคือการได้รับการดูแลและได้ตราประทับท้าทาย์สมบัติวิเศษระดับสีม่วงจากผู้เฒ่าฮั่ว นั่นเป็เพราะเขาได้เข้ามาที่สำนักฝึกวรยุทธ์ร้างนี่และก่อตั้งนิกายเบิก์ขึ้นมาจากนั้นเมื่ออันเจิงเข้าไปในเทือกเขาชางหมาน ก็ได้ปิ่นแมลงปอทับทิมสมบัติวิเศษระดับสีม่วงที่เคยเป็ของเขามาก่อนจากนั้นก็คือสวนสมุนไพรในหุบเขาและได้รับสร้อยลูกประคำโลหิตที่อาจอยู่ในระดับสีม่วงขั้นสูงเลยทีเดียว
นี่ยังไม่หมดยังมีเฉินเซ่าป๋ายผู้ลึกลับที่นำกระดิ่งแก้ว ซึ่งเป็สมบัติวิเศษอีกชิ้นที่อยู่ในระดับสีม่วงมาให้กับเขาอีกถึงอย่างนั้นแล้ว นี่ก็ยังไม่ใช่เื่โชคดีทั้งหมด อย่าลืมว่าเสี่ยวช่านเ้าแมวน้อย...มีดวงตากงล้อเก้าภพที่สามารถค้นพบสมบัติวิเศษที่ซ่อนอยู่ได้ด้วย
สัตว์อสูรก็มีการแบ่งแยกระดับ พวกมันสามารถแบ่งเป็สามประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สูง กลาง ต่ำ แต่ถ้าแบ่งเป็ขั้นตามสมบัติวิเศษและยาสมุนไพรแล้วละก็ผู้ฝึกพลังวัตรได้แบ่งสัตว์อสูรออกเป็ห้าขั้น ได้แก่ ขั้นสีเขียว สีขาว สีแดงสีทอง และสีม่วง ผู้เฒ่าฮั่วเคยพูดว่า ไม่ว่าสัตว์อะไรก็ตามที่มีดวงตากงล้อเก้าภพต่อให้เป็เสี่ยวช่านแมวเหมียวที่อ่อนแอ อย่างไรก็ถือว่าเป็สัตว์อสูรระดับสีม่วง อยู่ในขั้นบนสุดเหนือสัตว์อสูรทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม นอกจากเสี่ยวช่านจะชอบนอนแล้วก็ไม่เห็นจะมีความสามารถอื่น ๆ อีก
อันเจิงพอใจชีวิตของเขาในตอนนี้มากเขามีตู้โซ่วโซ่ว ชวีหลิวซี เสี่ยวชีเต้า ผู้เฒ่าฮั่ว ชวีเฟิงจื่อ และยังมีเสี่ยวช่านเ้าแมวน้อยอีกในโลกมายาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่ครอบครัวเล็ก ๆของเขากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น เคยมีคนพูดว่า โลกจะดึงดูดคนแบบเดียวกันให้มาอยู่รวมกันก็ดูจะเป็อย่างที่เขาว่าไว้จริง ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้อันเจิงไม่เข้าใจที่สุดก็คือเฉินเซ่าป๋ายตระกูลเฉินถือว่ามีอำนาจในย่านหนานชานไม่น้อย แต่นั่นก็เป็เพียงย่านเล็ก ๆ ในโลกมายาเท่านั้นเมื่อเทียบกับอำนาจของเกาซานตัวแล้ว ตระกูลเฉินถือว่าด้อยกว่ามาก แต่ถึงกระนั้นเกาซานตัวก็มีพลังอยู่ในระดับสุมารุเท่านั้น แล้วทำไมตระกูลเฉินถึงสามารถเรียกใช้งานท่านจิ่วหัตถ์ิญญาที่มีพลังอยู่ในระดับกิเลสมารได้? หากตระกูลเฉินมีอำนาจถึงเพียงนี้แล้วทำไมถึงเก็บตัวอยู่ในที่เล็ก ๆ อย่างย่านหนานชาน? อันเจิงรู้สึกว่าตัวเองต้องดื่มเหล้าสักหน่อยเขาควรสงบลงแล้วเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ จากนั้นก็ยังต้องกำหนดวิธีการฝึกพลังวัตรของทั้งสามคนใหม่เพราะพลังที่ตู้โซ่วโซ่ว ชวีหลิวซีและเสี่ยวชีเต้าแสดงออกมาก่อนหน้านี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
เขาถือไหเหล้าออกมาจากห้องครัวาแของเขาเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวแต่อย่างใดนอกจากสร้อยลูกประคำโลหิตที่เขาสวมอยู่จะไม่ได้ดูดเืออกไปในปริมาณที่มากเกินกว่าเหตุแล้วดูเหมือนมันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายอีกด้วยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็ผลมาจากการที่เขาสามารถบ่มเพาะร่างกายได้แล้ว หากเป็ในตอนที่เขายังไม่สามารถบ่มเพาะกายได้ละก็สร้อยลูกประคำโลหิตจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
อันเจิงไม่จำเป็ต้องมองออกไปก็รู้ดีว่า เวลานี้ท่ามกลางความมืดมิดด้านนอกนิกายเบิก์ มีผู้คนจิตใจโหดร้ายมากมายกำลังจับจ้องเขาจากมุมมืดสำหรับผู้คนเ่าั้ กระดิ่งแก้วคือเหตุจูงใจสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าแสดงตัวเข้ามาแย่งชิงกระดิ่งแก้วตรงๆ
อันเจิงเดินไปที่สนามฝึกซ้อม เขานั่งดื่มเหล้าพลางชมความงามของดวงจันทร์และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เสี่ยวช่านเ้าแมวน้อยของเขาได้เดินเข้ามากระดิ่งแก้วบนคอของมันเขย่าไปมาแต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ เสี่ยวช่านะโขึ้นไปอยู่บนตักของอันเจิงจากนั้นก็ขดตัวแล้วนอนลง ช่างเป็บรรยากาศที่เงียบสงบจริง ๆ
ในเวลานี้เอง กระดิ่งแก้วก็เปล่งแสงที่สว่างไสวออกไปราวกับสายฟ้าจากนั้นตรงนอกกำแพงก็มีเสียงเปล่งออกมาเบา ๆ ‘อึก’
อันเจิงยิ้มพลางคิดสุดท้ายก็มีคนที่อดใจไม่ไหวแล้ว
เ้าแมวส่งเสียงออกมาราวกับรังเกียจและดูแคลนผู้คนเ่าั้เหมือนเ้าแมวรู้ดีว่ากระดิ่งแก้วคืออะไร เพียงแค่พูดออกมาไม่ได้เท่านั้นเอง
ทันใดนั้นอันเจิงก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังย่องเข้ามา ซึ่งตอนนี้อยู่ในระยะใกล้มากแล้วแต่กระดิ่งแก้วกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น อันเจิงขมวดคิ้วขึ้น รู้ได้ทันทีว่าผู้ที่มานั้นคือใคร
“ดื่มเหล้าคนเดียว น่าเบื่อจะตาย”
เฉินเซ่าป๋ายเอียงตัวแล้วนั่งลงบนสนามฝึกซ้อมจากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อคลุมสีดำของตัวเอง เขายกมือไปลากไหเหล้าของอันเจิงแล้วยกขึ้นดื่มดื่มเข้าไปเพียงคำเดียวก็กระแทกไหเหล้าลงกับพื้น “อย่างเ้าก็ขาดเงินด้วยหรือทำไมดื่มเหล้าที่มีรสชาติแย่ขนาดนี้ ไม่เพียงเป็เหล้าที่เพิ่งดอง แต่ยังผสมน้ำเปล่าเข้าไปด้วย”
เขาหยิบเหล้าออกมาจากเสื้อคลุมจากนั้นก็ยื่นให้อันเจิง“เอานี่ไป ถือว่าข้าให้ เ้าจะได้รู้ว่าเหล้าที่ดีมีรสชาติอย่างไร”
อันเจิงส่ายหัว “ข้าไม่ดื่มหากเมาขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
เฉินเซ่าป๋ายหันไปมองหน้าเขา “เ้า...ทำไมช่างมีนิสัยแปลกประหลาดขนาดนี้นะ? จริงสิเ้าไม่เพียงมีนิสัยที่แปลก แต่ยังไม่มีมารยาทด้วย ข้าช่วยชีวิตเ้าไว้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คือผู้มีพระคุณของเ้า เ้าควรคารวะขอบคุณข้าถึงจะถูก”
“หากเ้าอยากให้ข้าคารวะเ้า ข้าก็จะทำ”
เฉินเซ่าป๋ายถอยหลังกลับไป “ไม่จำเป็ ข้ากลัวอายุสั้น”
อันเจิงถามด้วยความอยากรู้ “เฉินเซ่าป๋าย...เ้าเป็ใครกันแน่?”
“ข้าชื่อเฉินเซ่าป๋าย เ้าต้องจำชื่อนี้ไว้ดีๆ นะ ไม่แน่ว่า วันใดวันหนึ่งชื่อนี้อาจโด่งดังไปทั่วหล้า ถึงเวลานั้นข้าอนุญาตให้เ้านำข้าไปโอ้อวดได้ นี่ถือเป็การให้หน้าเ้าแล้วนะเนี่ย”
อันเจิงส่ายหน้า “ถ้าเ้าไม่อยากพูด เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
“อยากรู้จริง ๆ หรือ?”
“ใช่”
“งั้นยิ่งบอกไม่ได้เลยข้าชอบดูท่าทางที่เ้าร้อนรน แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
เฉินเซ่าป๋ายขยับถอยหลังแล้วเงยหน้ามองดวงจันทร์“เ้าชอบดวงจันทร์หรือ?”
“ไม่มีอะไรที่ชอบและไม่ชอบ”
“แต่ข้าชอบนะ” เฉินเซ่าป๋ายพูด
“บางคนชอบดวงอาทิตย์เพราะรู้สึกเหมือนได้รับพลังและความเชื่อมาจากมัน บางคนชอบยามค่ำคืน เพราะรู้สึกเหมือนได้รับความกล้าและความมั่นใจจากความมืดส่วนตัวข้าชอบแสงจากที่มืด และสิ่งที่ตอบสนองความชอบของข้าได้ก็คงมีแต่ดวงจันทร์นี่ละหากอยู่แต่ในที่สว่างก็อาจถูกแดดเผา และเมื่อได้รับาเ็ก็ยากที่จะกลับมาเป็เหมือนเดิมได้อีกแต่หากอยู่ในที่มืดเป็เวลานานก็จะสูญเสียตัวตนของตัวเองไปจะจมลงไปในเหวลึกอย่างไม่อาจหวนกลับ”
“เพราะฉะนั้น แสงสว่างกลางความมืดคือแนวทางที่ถูกต้องที่สุด”
เขาพูดในเื่ที่เข้าใจยาก และดูเหมือนสิ่งที่เขาพูดจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำถามของอันเจิงเลยสักนิดทว่าในน้ำเสียงของเขา เหมือนเขาได้ตอบคำถามของอันเจิงไปแล้ว ั้แ่แรกจนถึงตอนนี้สิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมด ยังไม่มีคำไหนเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘เ้าคือใคร’ เลยแม้แต่น้อย
“ข้ารู้ว่าเ้าแปลกใจ ข้าแค่รู้สึกเหงาและในโลกมายานี้ยังมีปัญหาให้ข้าสะสางอีกเล็กน้อยจึงอยากมาคุยกับเ้าเป็ครั้งสุดท้าย”
เฉินเซ่าป๋ายดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึก น่าแปลกที่เขาไม่ได้ดื่มเหล้าชั้นดีของตัวเองแต่กลับดื่มเหล้ารสชาติแย่ ๆ ของอันเจิง
“เ้าสงสัยเื่ของตระกูลเฉินอยู่ใช่หรือไม่? จริงๆ แล้วตระกูลเฉินก็เป็เพียงแค่หน้ากากที่สร้างขึ้นเพื่อปิดบังตัวตนของข้าเท่านั้นการคงอยู่ของทุกคนในตระกูลเฉินก็เพื่อปิดบังตัวตนของข้า แต่ทุกคนก็มีหน้าที่ที่ต่างกันไปพวกเขาต่างก็รู้ความลับไม่มากนัก รวมไปถึงคนที่ช่วยเหลือเฉินชีในครั้งนี้ด้วยพวกเขาเป็กลุ่มคนที่มีความสามารถพิเศษซึ่งถูกรวบรวมขึ้นเพื่อปกป้องข้าการคงอยู่ของทุกคนต่างมีคุณค่าและความสำคัญในตัวมันเอง”
“พูดง่าย ๆ ก็คือ ข้าคือผู้สืบทอดของตระกูลที่ใหญ่โตมากๆ ตระกูลหนึ่ง ในตระกูลใหญ่แบบนี้ การแก่งแย่งอำนาจก็ถือเป็เื่ปกติ ข้าคือหลานชายคนโตของตระกูลจึงเป็ไปได้มากว่าจะได้เป็ผู้สืบทอดคนต่อไป ฉะนั้นจึงมีคนมากมายอยากกำจัดข้าเพื่อปกป้องข้า...ครอบครัวจึงส่งข้ามายังโลกมายาแห่งนี้ บิดามารดาและทุก ๆสิ่งในตระกูลเฉินล้วนเป็เื่หลอกลวงทั้งสิ้น”
“ตอนนี้ปัญหาในตระกูลของข้าสะสางจนใกล้จะเสร็จแล้วเพราะฉะนั้นข้าจึงจะกลับไป แต่ความทรงจำทั้งหมดในโลกมายาก็ต้องถูกลบออกไปด้วยเช่นกัน...ในคืนนี้นี่ละ”
หลังจากพูดสิ่งพวกนี้แล้วเขาก็มองไปที่อันเจิง“เป็อย่างไร ข้าช่วยเ้าไขข้อสงสัยที่มีแล้ว รู้สึกขอบคุณข้าบ้างหรือไม่?”
“หากพูดเื่ทั้งหมดออกมาไม่ได้คราวหลังก็อย่าได้พูดเลย” อันเจิงตอบกลับ
“เ้านี่นะ ได้คืบจะเอาศอกข้าบอกเ้าไม่ได้จริง ๆ ว่าข้าคือใคร แต่จากการที่ข้ามอบสมบัติวิเศษให้เ้าอย่างไม่เสียดายเ้าก็น่าจะรู้แล้วว่าตระกูลข้าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ที่ผ่านมาข้าหลอกเ้า จริง ๆแล้ว ไม่มีนิกายลึกลับอะไรทั้งนั้น ข้าจากไปก็เพื่อไปรับ่ต่อตระกูลเพราะฉะนั้น...เราสองคนอาจจะไม่ได้เจอกันอีก เพราะฝีมือเราทั้งคู่ยังแตกต่างกันมากเมื่อไหร่ที่เ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรคแล้วปีนขึ้นมาหาข้าได้ข้าจะเมตตาให้โอกาสเ้าได้เจอหน้าข้าอีกครั้ง”
“ทำไมถึงเงียบไปเล่า?”
“ข้าสามารถใช้คำพูดหยาบคาย หรือพูดตรง ๆกับเ้าได้เลยใช่หรือไม่?”อันเจิงถาม
“ไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
เฉินเซ่าป๋ายเหล่มองอันเจิง “อย่ากดดันกันนักเลยถึงแม้ข้าจะอยู่ในที่ที่สูงกว่า แต่ข้าเป็คนนิสัยดีเพราะฉะนั้นข้าจะไม่รีบฆ่าเ้าหรอก ที่เ้าติดค้างข้าไว้ก็ยังไม่ต้องรีบคืนไว้ข้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่ จะกลับมารังแกเ้าเล่นอีก”
“เ้าจะไปแบบไม่หวนกลับจริง ๆ หรือ?” อันเจิงถาม
“อย่างน้อยก็คงสักพักใหญ่”
“เอามานี่”
“อะไร?”
“เหล้าชั้นดีนั่นน่ะข้าจะดื่มอวยพรให้กับเ้า”
“เอาไปสิ!”
เฉินเซ่าป๋ายสบถออกมาหนึ่งประโยคจากนั้นก็ยื่นเหล้าไปให้อันเจิง ในขณะที่อันเจิงดื่มเหล้าก็สังเกตได้ว่าไหเหล้ามีลวดลายบางอย่างที่กระดิ่งแก้วมีเช่นกันเดิมทีเขาคิดว่าลวดลายนี้ เป็เพียงลวดลายธรรมดาเท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้แล้วนั่นอาจเป็ตราหรือสัญลักษณ์บางอย่างเสียมากกว่า เขาดื่มเข้าไปหนึ่งคำแล้วชมออกมาอย่างจริงจัง“เป็เหล้าที่ดีจริง ๆ”
เฉินเซ่าป๋ายได้ใจ “แน่นอนแม้แต่าาของเยี่ยนโยวสิบหกแคว้น ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของมันเลย”
“ทีนี้มาพูดเื่จริงจังกันสักหน่อยทำไมวันนั้นเ้าถึงช่วยข้า” อันเจิงถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะเ้าเคยช่วยข้าไว้อย่างไรเล่า”
“พูดเป็เล่นไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเ้าได้คำนวณเอาไว้หมดแล้วในตอนที่เฉินผู่ฆ่าล้างตระกูลเฉินเ้าก็ไม่ได้หยุดเขาไว้ อีกทั้งแต่ละคนที่ช่วยเ้าล้วนมีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายในเจียงหูทั้งสิ้นเหตุการณ์วันนั้น เ้าก็แค่ยืมมือเฉินผู่มากำจัดคนบางส่วนทิ้ง แต่เขายังกำจัดได้ไม่หมดเกรงว่าคนที่เ้าจะจัดการในคืนนี้คงเป็พวกที่ซ่อนตัวอยู่สินะ ก็เหมือนที่ทำกับท่านจิ่วหัตถ์ิญญาดังนั้นข้าไม่ได้ช่วยอะไรเ้าเลย เพราะฝีมือของเฉินผู่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเ้าั้แ่แรก”
“ฉลาดจริง ๆว่าแล้วเชียวใครที่เคยเจอข้าก็ต้องฉลาดขึ้นทุกคน เพราะข้าเป็ยอดอัจฉริยะแห่งยุค”
เขายืนขึ้น ชุดคลุมสีดำเปิดออกเพราะแรงลมจากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไป
“อันเจิง หากอยากรู้ว่าข้าคือใครเ้าต้องรีบพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เ้าอ่อนแอเกินไปจริง ๆ โลกมายาก็เป็แค่บ่อน้ำเล็กๆ แต่ทะเลของเ้าอยู่ข้างนอกนั่นต่างหาก”
“แล้วเ้าเล่า”
“ทะเลของข้าคือจักรวาลนี้...โอ๊ย!”
เขาชนเข้ากับเสา จึงใช้มือลูบหัวเบา ๆ แก้เก้อแล้วจากไป