อันเจิงคำนวณวันและเวลาอยู่ชั่วครู่ด้วยความเร็วของจงจิ่วเกอ หากจะเดินทางไปตำหนักเทียนฮ่าวที่อยู่หนานเจียงของต้าซีคงต้องใช้เวลาพักใหญ่ เขาเคยช่วยชีวิตเ้าตำหนักเทียนฮ่าว เสวี่ยเหมยไต้เอาไว้ั้แ่นั้นเป็ต้นมา เสวี่ยเหมยไต้ก็ได้มอบหัวใจให้อันเจิงแล้ว เสวี่ยเหมยไต้คือผู้มีพร์ที่หาได้ยากรับรู้กันว่านางเริ่มฝึกพลังวัตรตอนอายุเจ็ดขวบ แต่ไม่มีใครรู้ว่า่ระยะเวลาที่นางฝึกฝนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อนางอายุได้เพียงสิบเจ็ดปีก็ได้ขึ้นเป็เ้าตำหนักเทียนฮ่าวแล้ว
ยี่สิบปี สำหรับคนที่ฝึกพลังวัตรไม่ถือว่าเป็เวลาที่ยาวนานสักเท่าไหร่แต่ยี่สิบปีของทุกคนล้วนแตกต่างกัน
่เช้าส่วนใหญ่อันเจิงจะว่างมากฉะนั้นเมื่อเขาเตรียมให้เสี่ยวชีเต้ากับชวีหลิวซีฝึกพลังวัตรแล้วก็พาตู้โซ่วโซ่วออกไปจากนิกายเบิก์ เวลาที่อันเจิงไม่อยู่นั้น เขาให้ผู้เฒ่าฮั่วและชวีเฟิงจื่อเข้าไปในตราประทับท้าทาย์ด้วยเพราะหากวันใดวันหนึ่งคนพวกนั้นกลั้นความโลภไม่ไหว แล้วบุกเข้ามาในนิกายเบิก์จะไม่มีใครสามารถรับมือได้เลย
อันเจิงอุ้มเ้าแมวน้อยเสี่ยวช่านไว้ที่หน้าอกของตัวเองโดยที่คอของมันมีกระดิ่งแก้วแขวนอยู่ด้วย
อันเจิงตั้งใจทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเวลานี้กระดิ่งแก้วไม่ได้อยู่ในนิกายเบิก์
“เราจะไปไหนกันหรือ?”ตู้โซ่วโซ่วถามขึ้น
อันเจิงใช้ปากชี้ไปทางย่านหนานชาน “โรงจวี้ฉ่าง”
“ทำไมวันนี้ถึงใจดี พาข้าออกมาเดินเล่นได้เล่า”
“การฝึกพลังวัตรของพวกเ้าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเพราะมีตราประทับท้าทาย์ เวลาในการฝึกฝนของพวกเ้าจึงได้เปรียบกว่าคนอื่นเป็พันเท่าแม้การฝึกพลังจนเข้าสู่ขอบเขตสุมารุของคนอื่นจำเป็ต้องใช้เวลานานแต่สำหรับพวกเ้า พวกเ้าสามารถฝึกฝนจนมีพลังเท่ากับคนอื่นได้ด้วยเวลาที่สั้นกว่ามากและเมื่อเข้าสู่ขอบเขตสุมารุก็จำเป็ต้องมีอาวุธคู่กายเพราะฉะนั้นหลังจากนี้คงต้องไปเดินเล่นที่โรงจวี้ฉ่างบ่อย ๆ แล้ว เผื่อเจอของดีจะได้เอากลับมาใช้ได้”
“เ้าแน่ใจหรือว่าจะเจอของดี?”
อันเจิงมองเ้าแมวน้อย “จะกลัวอะไร มีท่านช่านของเราอยู่ทั้งคน”
“ข้ากลัวเ้าจะปลุกให้มันตื่นไม่ได้น่ะสิ”
อันเจิงพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ว่าเ้าจะหลับลึกแค่ไหนหากวางเนื้อตุ๋นไว้ตรงหน้า อย่างไรเ้าก็ต้องตื่นในทันที เสี่ยวช่านก็เหมือนกัน ต่อให้จะหลับลึกแค่ไหนหากมีของวิเศษมันก็ต้องตื่นขึ้นอย่างแน่นอน”
ขณะที่พูดอยู่นั้นแมวน้อยก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วมองไปตามทาง
ริมถนนในโลกมายาเต็มไปด้วยร้านค้าที่หลากหลายมีทั้งของใช้ในชีวิตประจำวัน และยังมีพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นักสร้างของวิเศษ พวกเขาขายของในราคาถูกแต่ถึงอย่างนั้นผู้ขายก็ยังมีกำไรไม่น้อย แมวน้อยะโลงพื้น เดินตรงไปยังร้านค้าริมทางแห่งหนึ่งแล้วส่งเสียงร้องเบาๆ อันเจิงรู้ได้ทันทีว่าเ้าแมวต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแน่นอน เขาจึงดึงตู้โซ่วโซ่วไม่ให้ไปทางอื่นจากนั้นทั้งสองก็เดินตามแมวน้อยไป
เ้าของร้านอยู่ในวัยกลางคนแล้ว เขามีรูปร่างผอมบางและใบหน้าที่ซีดเซียวเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายมากนัก เขาใช้ผ้าสกปรกปูลงบนพื้น บนผ้ามีขวดเล็กขวดน้อยตั้งอยู่และยังมีพวกหวี กระจกต่าง ๆ ด้วยอันเจิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า กวาดสายตามองไปรอบ ๆแต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรที่เข้าตาเลย
“นี่...ท่านผู้นำนิกายอันจากนิกายเบิก์ใช่หรือไม่”
ชายวัยกลางคนรีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“คราวก่อนที่ท่านประลองกับหอสมุดมายา ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน ท่านอันท่านสุดยอดจริง ๆ” เขาชูนิ้วโป้งและขยับมือไปมา
อันเจิงยิ้มเล็กน้อย “มิได้ เป็เพราะโชคช่วยทั้งนั้น”
ชายวัยกลางคนพูดขึ้น “อย่าได้อ้างโชคเลยทุกคนต่างก็มีโชคเป็ของตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เป็เ้าคนนายคน ท่านอันท่านอายุเพียงสิบกว่าปีก็สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกมายาแล้วอนาคตคงไปได้ไกลไม่มีที่สิ้นสุด ข้าว่านะ เพียงท่านเดินออกจากโลกมายานี้ไปก็คงได้เป็ปรมาจารย์แล้วล่ะ”
ตู้โซ่วโซ่วพึงพอใจมาก “เ้าชมมาขนาดนี้ เช่นนั้นเราช่วยเ้าซื้ออะไรสักหน่อยดีกว่า”
“ไม่ ๆ ๆ”
ชายวัยกลางคนร้องห้าม “ของที่ข้ามีอยู่ไม่มีอะไรสะดุดตาท่านทั้งสองได้หรอก แต่หากมีอะไรที่ท่านทั้งสองอยากได้ ขอเพียงพูดมาข้าจะมอบให้ทันที”
อันเจิงนั่งยอง ๆ มองเ้าแมวน้อยที่ดมกลิ่นไปเรื่อยๆ ที่จริงแล้วแมวน้อยกำลังสำรวจอะไรบางอย่างอยู่ อันเจิงคิดในใจ ‘ชายผู้นี้ก็มีความสามารถไม่น้อยสามารถแกล้งตบตาเราได้’ สุดท้ายเ้าแมวหยุดที่ข้างจานรองกลม ๆ ใบหนึ่งแล้วหันกลับไปมองอันเจิง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา “เหมียว”
อันเจิงมองไปที่จานรองใบนั้น ดูแล้วช่างไม่มีอะไรสะดุดตาจริงๆ และยังเป็จานกระเบื้องเสียด้วย คงไม่ใช่สมบัติวิเศษแน่นอน แต่อย่างไรเสี่ยวช่านก็มีดวงตากงล้อเก้าภพที่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังเปิดไม่เต็มที่ แต่ในระยะใกล้ขนาดนี้ก็คงดูไม่ผิดแน่นอนจานรองใบนั้นดูเหมือนจะเก่าอยู่พอสมควร ด้านล่างของจานรองปูด้วยผ้าสีฟ้าลายดอกไม้ ซึ่งมีขนาดเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น
“มันกำลังเลือกจานใส่ของกินให้ตัวเองอยู่หรือนี่?”ตู้โซ่วโซ่วถามขึ้น
อันเจิงยิ้มแล้วคิดในใจ ‘ไม่ว่าจะเป็อะไรหากถูกใจเสี่ยวช่านก็ซื้อให้มันไปเถอะ’
“จานรองนี้ราคาเท่าไหร่หรือ?” อันเจิงถาม
ชายวัยกลางคนโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าหากพวกท่านชอบอะไร ข้าจะมอบให้เองของที่นี่มากกว่าครึ่งคือของที่ข้าเก็บมาจากบนเขานอกนั้นก็เป็ของที่เอามาจากบ้านคนยากจน ของที่เหลือไม่กี่ชิ้นนี่ก็เป็ของธรรมดาในนี้ไม่มีสมบัติวิเศษอะไรหรอก จานรองนั่น...จากที่ข้าดูแล้วคงมีอายุกว่าร้อยปีอาจแลกเงินได้ไม่น้อย แต่อย่างไรข้าก็มีกำลังพอจะมอบให้ท่านเหมือนกัน”
“จานรองใบนี้ เ้าได้มาจากไหนกัน” อันเจิงถามขึ้น
“หลายวันก่อนมีคนจากข้างนอกเข้ามาท่าทางดูเร่งรีบ เขาถามข้าว่าจะรับซื้อจานรองและของอื่น ๆ นี้หรือไม่ทั้งหมดนี้ถูกห่อด้วยผ้าสีฟ้านั่น ในตอนนั้น ข้าดูแล้วจึงต่อรองราคาอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็รับซื้อมาทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นคงขุดขึ้นมาด้วยตัวเอง เื่ราวนอกเหนือจากนั้นข้าก็ไม่ควรถามจริงไหมของพวกนี้ไม่ใช่ของปลอมและอาจมีอายุนานมากแล้ว”
“เ้าซื้อของชิ้นนี้มาด้วยราคาเท่าไหร่หรือ?” ตู้โซ่วโซ่วถามต่อ
ชายวัยกลางคนยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วจากนั้นก็ชูนิ้วเพิ่มอีกหนึ่งนิ้ว “สามพันตำลึง”
อันเจิงยิ้มเล็กน้อยแล้วให้ตู้โซ่วโซ่วนำเงินสามพันตำลึงให้กับเขาชายวัยกลางคนไม่ยอมรับเงินเอาไว้ เขาบอกว่าราคานี้ไม่ใช่เพื่อขายให้กับอันเจิงแต่เป็การเพิ่มคะแนนให้ตัวเขาเอง อันเจิงจะได้จดจำเขาได้หากต่อไปมีเื่ที่ต้องให้อันเจิงช่วยเหลือ จะได้กล้าพูดขอร้องอย่างเต็มปากแต่แน่นอนว่าอันเจิงไม่มีทางยอมรับเื่แบบนี้ สุดท้ายเขาก็วางเงินสามพันตำลึงไว้แล้วเอาจานรองไป
แต่เสี่ยวช่านกลับไม่ยอมไป มันยังคงยืนอยู่ที่เดิมแล้วส่งเสียงร้องอีกครั้ง
ตู้โซ่วโซ่วหลุดขำออกมา “ยังจะรอห่อของอีกหรือเ้าไม่ได้จะมอบของขวัญให้ใครสักหน่อย จะห่อไปทำไมกัน!”
ชายวัยกลางคนหยิบผ้าสีฟ้าขึ้น จากนั้นก็สะบัดผ้าออกแล้วห่อจานรองอย่างรวดเร็วตู้โซ่วโซ่วรับของแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าที่ตนแบกอยู่กระเป๋าของเขามีสภาพไม่น่ามองเลยสักนิด นอกจากเงินแล้วก็ยังมีไก่ย่างอีกครึ่งตัวการใส่ของรวมกันแบบนี้ ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีใครทำหรือไม่แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีใครทำเช่นนี้มาก่อนตู้โซ่วโซ่วถือเป็คนที่มีเงินเยอะมากทีเดียวเงินของอันเจิงเขาก็เป็คนดูแลทั้งหมด กบในกะลาอย่างเขาได้นำเงินกองไว้บนเตียงของตัวเองทั้งยังทำโถฉี่ด้วยเงินแท้อีก
แมวน้อยมองไปที่ตู้โซ่วโซ่วตลอดเวลาสุดท้ายก็ะโออกจากอกอันเจิงไปยังกลางอกของตู้โซ่วโซ่ว ตู้โซ่วโซ่วใกับการกระทำของมันเล็กน้อย“เสี่ยวช่านน้อย เราอยู่บนถนนกลางวันแสก ๆ เลยนะ เ้าทำแบบนี้ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”
อันเจิงกลอกตา “นี่กลางถนนนะพูดอะไรเกรงใจคนอื่นบ้าง”
ตู้โซ่วโซ่วหัวเราะเสียงดัง “อย่าว่าแต่กลางถนนเลยต่อให้เป็ราชสำนักของจักรวรรดิต้าซี ถ้าเสี่ยวช่านให้ข้าแอ่นบั้นท้าย ข้าก็ไม่กล้าขัดคำสั่งมันแน่”
เขาใช้มือลูบขนนุ่ม ๆ ของเสี่ยวช่าน ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามันขยับเข้าไปใกล้กระเป๋าที่ตนแบกอยู่มากขึ้นทุกทีตู้โซ่วโซ่วนำไก่ย่างออกมาให้แมวน้อยกิน แต่เ้าแมวกลับไม่ยอมกิน สุดท้ายเสี่ยวช่านก็ะโเข้าไปอยู่ในกระเป๋าแทนที่ไก่ย่างครึ่งตัวนั้นดูเหมือนว่ามันจะชอบที่แคบ ๆ แบบนี้มาก มันขดตัวแล้วหลับตานอนในทันที
ตู้โซ่วโซ่วเปิดกระดาษห่อแล้วนำไก่ย่างออกมา เขากินไก่ย่างเต็มปากพลางพูดขึ้น“อันเจิง เราสองคนกลับย่านหนานชานในครั้งนี้ ควรวางตัวแบบคนมีอำนาจกันหน่อยหรือไม่? ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็เป็ถึงผู้นำนิกายเชียวนะส่วนข้าก็เป็ศิษย์เอกของนิกายเบิก์ หากเราทั้งสองกลับไปแบบนี้จะดูไม่ค่อยดีเอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะไปหอนางโลมเลือกสาวงามสักสองคนกลับไปด้วยกันดีหรือไม่?”
“ไสหัวไป”
“เอาสาวงามแล้วไสหัวไป? แบบนี้ข้าออกจะรู้สึกเกรงใจเ้าอยู่นะ”
“เ้านั่นแหละ ไสหัวไป”
“เ้าจะยืนเฉย ๆ ดูข้าไสหัวออกไปหรือ? เช่นนั้นข้าก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจไปกันใหญ่”
“หากเ้ายังมาตอแยข้าไม่เลิก หน้าที่ดูแลเงินของเ้าต่อไปก็อย่าหวังว่าจะได้ทำเลย”
ตู้โซ่วโซ่วแก้ตัวทันควัน “ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นเ้าก็อย่าได้คิดทำจริงเชียวนะ ตอนนี้ข้าหนุนเงินแทนหมอนจนชินไปแล้ว หากให้กลับมาหนุนหมอนธรรมดาคงนอนไม่หลับแน่”
จริง ๆ แล้วโลกมายากว้างใหญ่มาก และถนนหนทางก็สร้างขึ้นตามแนวเขาจึงทั้งชันและคดเคี้ยว ส่วนมากจึงต้องเดินเท้าเท่านั้น อีกทั้งอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วก็ไม่ชินกับการนั่งเกี้ยวให้คนอื่นมายกเสียด้วยพวกเขาชอบเดินไปตามทาง กินและคุยไปเรื่อย ๆ แต่ก็ถือว่าพวกเขาเดินได้เร็วเลยทีเดียวตู้โซ่วโซ่วที่กำลังกินถังหูลู่อยู่ เมื่อไปถึงหน้าประตูของโรงจวี้ฉ่างก็ถูกคนเฝ้าประตูกั้นเอาไว้
“ท่านทั้งสอง มีบัตรเชิญหรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วชะงักไป “บัตรเชิญอะไรกันแค่เข้าสถานที่อะไรของเ้านี่ก็ต้องใช้บัตรเชิญด้วยหรือ?”
คนเฝ้าประตูรู้จักอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วดีโดยเฉพาะอันเจิง ในตอนนี้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง จึงได้รับความเกรงใจอยู่บ้าง “ท่านอันท่านตู้ จริง ๆ แล้ววันนี้พิเศษกว่าปกติ สองสามวันมานี้โรงจวี้ฉ่างได้ของล้ำค่ามาใหม่และยังไม่สามารถเปิดเผยได้ดังนั้นจึงเชิญผู้เชี่ยวชาญในโลกมายามาช่วยตรวจสอบ หากไม่มีบัตรเชิญเกรงว่าวันนี้คงจะไม่สะดวกให้ท่านทั้งสองเข้าไปเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ อีกสักสองสามวัน รอให้ของพวกนี้เปิดตัววางขายแล้ว ข้าจะไปยังนิกายเบิก์เพื่อเชิญท่านทั้งสองด้วยตัวเองเลย?”
ขณะที่เขากำลังพูดนั้น พลันได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากโรงจวี้ฉ่างหญิงงามนางหนึ่งเดินสะบัดบั้นท้ายออกมาจากด้านใน
“เอ๊ะ นายตัวเล็ก”
เป็หญิงสาวสวมชุดสีม่วงที่เขาเรียกว่านายตัวใหญ่นั่นเองดูเหมือนนางจะชอบสีม่วงเป็อย่างมาก เพราะนางมีกระโปรงสีม่วงหลายตัวเลยทีเดียวชุดที่ใส่ในวันนี้เป็ชุดกระโปรงยาวที่สง่างามและดูดีเป็อย่างมาก ทำให้นางแลดูน่าดึงดูดไปอีกขั้น
“คารวะนายตัวใหญ่” อันเจิงยิ้มแล้วยกมือขึ้นคารวะ
“ข้าชื่อจวงเฟยเฟย หากเ้าไม่ถือสาจะเรียกข้าว่าพี่จวงก็ได้”
อันเจิงนึกสงสัย ทำไมครั้งก่อนไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมบอกชื่อตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเสียมารยาท เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “เรียกนายตัวใหญ่เหมือนเดิมจะดีกว่าแบบนั้นน่าฟังกว่าเยอะ”
“สุดแล้วแต่เ้าเถอะ เข้ามาข้างในกับข้าสิ”
นางมองไปที่คนเฝ้าประตู “ต่อไปพวกเ้าจำไว้นะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านอันอยากเข้าไป พวกเ้าไม่มีสิทธิ์ขวางเขา”
ตู้โซ่วโซ่วถามเซ้าซี้ “ถ้าหากเป็่ค่ำเล่า?”
จวงเฟยเฟยตอบอย่างเฉียบแหลม “ได้สิได้ทุกเมื่อเลย”
ตู้โซ่วโซ่วรู้สึกร้อนฉ่าที่หน้าท้องจากนั้นจึงตระหนักได้ว่าเขาแพ้แล้ว ผู้หญิงคนนี้พูดกวนได้เหนือกว่าเขาเสียอีก จวงเฟยเฟยพาอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วเดินเข้าไปด้านในโรงจวี้ฉ่างเวลานี้ ด้านในมีคนอยู่ประมาณสิบกว่าคนแล้ว ต่างดูเป็คนมีหน้ามีตากันทั้งนั้นอันเจิงเพิ่งเดินเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงคนเรียกตัวเอง
“ผู้นำนิกายอัน ทางนี้ ๆ”
อันเจิงมองไปตามเสียงปรากฏว่าเป็เกาซานตัวเ้าของบ่อนการพนันในโลกมายา
“ท่านเกา”
อันเจิงรีบเข้าไปแล้วยกมือคารวะแต่กลับถูกเกาซานตัวลากแขนไปนั่งบนเก้าอี้ “ไม่ต้องเกรงใจ ระหว่างเ้ากับข้าไม่จำเป็ต้องมีพิธีรีตองนึกไม่ถึงว่าวันนี้เ้าก็มาด้วย ข้าได้ยินมาว่าเ้ามีความรู้เื่ของวิเศษไม่น้อยแต่ตอนนี้ของยังมาไม่ถึง มานั่งกันก่อนเดี๋ยวข้าจะแนะนำคนที่มาในวันนี้ให้เ้ารู้จักเอง...”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เจินจวงปี้รองอาจารย์ใหญ่ของหอสมุดมายาก็เดินถือพัดเข้ามาและดูเหมือนว่าเขากำลังจะเอาพัดตบไปที่บั้นท้ายของจวงเฟยเฟยอีกด้วยแต่จวงเฟยเฟยหลบไปได้ ทันใดนั้น ในแววตาของตู้โซ่วโซ่วก็เต็มไปด้วยรังสีสังหาร
รังสีสังหารนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจวงเฟยเฟยแต่เป็เพราะความรู้สึกที่ตู้โซ่วโซ่วมีต่อเจินจวงปี้ต่างหาก มันเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังมากเสียจนอยากจะฆ่าเขาทิ้ง
เจินจวงปี้จ้องไปที่อันเจิง หึ!เขาเปล่งเสียงเย็นะเืแล้วเดินไปอีกทาง
แมวน้อยเสี่ยวช่านยื่นหัวออกมาจากกระเป๋าของตู้โซ่วโซ่วแล้วส่งเสียงร้องพลางเปล่งประกายแสงแวววาวออกมาจากดวงตา