จิ่งเฟิงกั๋วเหมือนจะรวมตัวคนตระกูลจิ่งทุกคนที่ค่อนข้างมีฝีมือมาไว้หมดแล้ว ยืนกันเต็มสนาม อ๋าวหรานก็เพิ่งจะได้ค้นพบจริงๆ เอาตอนนี้แหละว่าตระกูลจิ่งนี่เป็ตระกูลขนาดใหญ่จริงๆ ในกลุ่มคนนี้ตัดเด็กสาว คนที่ตัวเตี้ยเล็ก คนอ้วน เหลือแค่เพียงชายหนุ่มที่ร่างสูงผอมแล้ว แต่ก็ยังเยอะมากอยู่ดี
และอ๋าวหรานก็ยังรับรู้ได้ถึงพลานุภาพความงามอันรุนแรงของคนตระกูลจิ่ง คนกลุ่มนี้มองดูแล้วแต่ละคนล้วนแตกต่างกนออกไป แต่ล้วนหล่อเหลาจนทำให้คนสั่นสะท้าน คุณหนูจากตระกูลต่างๆ ที่ยังไม่กลับที่ยืนอยู่ข้างสนามแต่ละคนตาแทบจะถลนออกจากเบ้ามาติดอยู่บนตัวบรรดาหนุ่มรูปงามหลากหลายแบบพวกนี้แล้ว
คนหนุ่มในสนามที่เป็คนน่าสงสัยที่ถูกรวบรวมมาไว้ที่นี่นั้นหล่อเหลาเกินกว่ามาตรฐานของชายหนุ่มหล่อทั่วไปมากทำให้รู้สึกเหมือนเป็การประกวดนายงามก็ไม่ปาน
จิ่งฝานกวาดสายตาดูคนทั้งหมด สุดท้ายก็พูดอย่างค่อนข้างมั่นใจว่า “จิ่งฝานโดดเด่นที่สุด”
ไม่ว่าจะเป็รูปลักษณ์หรือบรรยากาศรอบตัวล้วนโดดเด่นเหนือธรรมดาจนไม่มีใครจะเปรียบได้
จิ่งเซียงไม่มีเวลามาสนใจว่าพี่ชายของนางจะเป็คนที่งดงามที่สุดหรือเปล่า เพราะยังไงนี่ก็ไม่ใช่งานประกวดนายงามจริงๆ แม่นางน้อยทุกข์จนหน้าย่นแล้ว ดวงตาแวววาวคู่นั้นแทบจะมีน้ำตาออกมาจริงๆ แล้ว “อ๋าวหราน เฉินเป่าคนนั้นคิดจะโยนความผิดฐานฆาตกรให้พี่ข้าหรือเปล่า พวกเขามีแผนร้ายอะไรหรือเปล่า?”
อ๋าวหรานมองดูท่าทางห่วงกังวลของนาง ก็รู้สึกสงสาร สูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนศีรษะของจิ่งเซียงแล้วลูบๆ สาวน้อยคนนี้เส้นผมสลวยเรียบลื่น รวบผมเป็ทรงที่ดูเรียบง่ายสง่างาม ้าประดับปิ่นไว้เพียงอันเดียว เป็ปิ่นดอกจินมู่ที่ซื้อมาจากหยูชิงรุ่ย เหมือนจิ่งเซียงจะชอบมาก ใช้มันอยู่ตลอด อ๋าวหรานก็เคยใช้สองสามครั้ง แต่ปิ่นอันนั้นถูกหยูชิงรุ่ยแกะสลักจนงดงามเกินไป เขามักจะรู้สึกว่ามันโดดเด่นหรูหราเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้อีก เก็บเอาไว้เป็เหมือนของสะสมแทน
“หากเฉินเป่าอยากจะใส่ร้านจิ่งฝาน ก็คงจะทำแบบนั้นไปแล้วั้แ่เมื่อเช้าตอนที่ได้พบจิ่งฝาน”
จิ่งเซียงได้ยิน อดสูดจมูกไม่ได้ ดวงตาแวววาว ดวงตากลมโตมองอ๋าวหราน ดูโง่ๆ และก็ดูน่ารัก “เช่นนั้นในตระกูลมีคนอยากฆ่าเฉินเปิ่ฉีจริงๆหรือ? ไม่มีคนบงการหรือไง?”
อ๋าวหรานมองเฉินเป่าที่เหมือนจะตั้งใจหาผู้ต้องสงสัยอย่างยิ่ง ก็ดูเลื่อนลอยนิดหน่อย แต่น้ำสียงมั่นใจ:”น่าจะไม่ใช่ ดูได้ั้แ่ที่ฆ่าผู้คุ้มกันของเฉินเปิ่นฉีจนหมดเหลือไว้แต่แต่เฉินเป่าคนเดียวก็ชัดเจนแล้วว่านี่เป็แผนร้าย”
จิ่งเซียงอึ้งไปนิด
จิ่งเซียง: “เช่นนั้นเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร?”
อ๋าวหรานส่ายศีรษะ “นี่ก็ต้องดูแล้วว่าเฉินเป่าอยากจะหาคนร้ายจริงหรือเปล่า หากว่าอยากจริง เช่นนั้นก็คงเป็การจัดฉากใส่ร้ายธรรมดาๆ ก็ต้องดูแล้วว่าคนดวงซวยจะเป็ใคร ถ้าหาก——“
อ๋าวหรานหยุดไปนิดหนึ่ง: “ถ้าหากเขาไม่ได้อยากหาฆาตกรจริงๆ เช่นนั้นก็คงต่างออกไป”
จิ่งเซียงสงสัย “นี่มันทำไมหรือ? เหตุใดถึงยังมีความเป็ไปได้ที่จะหาฆาตกรไม่เจออีก”
เหยียนเฟิงเกอที่อยู่อีกด้านพูดอย่างเ็าว่า: “เป้าหมายต่างกัน หากว่าเป็อย่างหลังเกรงว่าคงจะมีความคิดทะเยอทะยานกว่า”
เฉินเป่าเป็คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ การที่คนผู้นั้นไม่ฆ่าเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีแผนร้าย เหลือเขาไว้อาจจะเพื่อให้เขาหาตัวคนร้าย หรือไม่ก็ร่วมมือกับเขา แสดงละครฉากใหญ่
เฉินเป่าเดินเลือกไปมาสิบกว่ารอบเลือกได้คนที่รูปร่างผอมสูงมาสิบกว่าคน แต่ในจำนวนนี้ไม่มีจิ่งฝาน ถึงแม้จิ่งฝานจะสูง แต่ไม่นับว่าผอมมาก เขาไหล่กว้างเอวสอบ แผ่นหลังกำยำสูงใหญ่ อ๋าวหรานถูกเขาอุ้มหลายครั้งแล้ว กล้ามเนื้อภายใต้ชุดนั้นแข็งแรงหนันแน่น เป็รูปร่างชัดเจน อ๋าวหรานเองก็ตีไปหลายครั้ง แข็งมากที่เดียว
ในระหว่างที่คิด ก็รู้สึกปิ้งขึ้นมาในหัว มองไปที่จิ่งฝานที่เดินมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ อดคิดล้ำลึกไม่ได้ว่า หรือเป็เพราะตัวเขาเองรู้เนื้อเื่อยู่แล้ว คิดว่าจิ่งฝานเป็ตัวเอก ใครจะไปทำร้ายเขาได้?
ว่านเฟิงเขียนนิยายได้ไม่เลว ตรรกะก็ดีมาก ถึงขนาดที่สามารถสร้างโลกสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้อีกโลกหนึ่งเลย ต่อให้โลกนี้จะหมุนรอบตัวเอกสักแค่ไหน บนเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีทางให้ตัวประกอบเล็กๆ มาหาเื่จิ่งฝานอย่างไร้เหตุผล
ถึงแม้บนแผ่นดินใหญ่นี้จิ่งฝานจะมีชื่อเสียง แต่เทียบไม่ได้สักนิดกับหลัวฉี่และสวีหรงฉี่ เกรงว่าในสายตาของทางเต๋อรั่วแล้วคงไม่ใช่คนที่ควรค่าจะมองให้เต็มตาด้วยซ้ำ คนที่พอจะมีผลประโยชน์น่าปะทะสำหรับพวกเขาแล้วก็น่าจะเป็ตัวรับะุแทนผู้ที่ในมือมีสมบัติล้ำค่าอยู่ และเกี่ยวข้องกับ “จุดเริ่มต้น เนื้อเื่ จุดหักมุม และจุดจบ” อย่างเขาคนนี้มากกว่า เช่นนี้แล้วเหมือนกับว่าเขาจะอันตรายกว่าด้วยซ้ำ
คนที่เฉินเป่าเลือกออกมานั้นรูปร่างคล้ายกัน วรยุทธ์ก็ล้วนธรรมดาทั้งสิ้น ที่อ๋าวหรานคุ้นตาอยู่ก็มีสองสามคน ส่วนใหญ่แค่รู้จักทักทายกันผิวเผิน แต่จิ่งเซียงกลับส่งเสียงใออกมาเสียงหนึ่ง “อาสาม”
เป็เพราะคนตระกูลจิ่งมีเยอะ เอาแค่รวบรวมทุกคนมาไว้ด้วยกันก็เสียเวลาไม่น้อยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังต้องส่งบรรดาลูกหลานที่รักชีวิตตัวเองกลับบ้าน ยุ่งวุ่นวาย จนถึงตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว เมื่อเช้านี้แสงแดดยังเจิดจ้า ตอนนี้เริ่มมืดลงแล้ว
หลัวฉี่เข้าไปทดสอบกำลังภายในของบรรดาคนที่เฉินเป่าเลือกออกมา
คุณชายตระกูลระดับหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแค่หลัวฉี่และสวีหรงฉี่แล้ว นอกจากสองคนที่ตายแล้ว ที่เหลือล้วนจากไปหมดแล้ว คนพวกนนี้นั้นไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เป็เพราะแต่ละคนมีความคิดลึกลับซับซ้อน เทียบกับการเสียเวลาหาตัวคนร้ายอยู่ที่นี่ ไม่สู้รีบกลับบ้านไปวางแผนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตบนแผ่นดินใหญ่ จะได้เตรียมการทันเวลา หาทางป้องกันไว้ก่อนถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียหายมาก
หลัวฉี่สาดสายตามองไป แล้วก็รู้สึกว่าคนที่เฉินเป่าเลือกมานี้ไม่มีใครที่ดูเข้าทีเลย เมื่อทดสอบกำลังภายในเสร็จแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าธรรมดา โดยเฉพาะคนสุดท้าย รู้สึกเหมือนแม้แต่จะยืนก็ยังไม่มั่นคงเลย กำลังภายในแทบจะไม่มี หากจำไม่ผิด คนผู้นี้ยังเคยนั่งอยู่บนเวที ถือเป็ผู้าุโเหตุใดถึงได้ดูอ่อนแอเช่นนี้
จิ่งเหวินหยู่เห็นเขาดูสงสัย จึงยิ้มออกมา ริมฝีปากซีดขาว “ร่างกายอ่อนแอแต่เล็ก ใช้ยาประทังชีวิตมาตลอด และก็ไม่ได้เรียนวรยุทธ์อะไร ขายหน้าแล้ว”
หลัวฉี่รีบโบกมือ “ที่ไหนกัน เป็ข้าที่ล่วงเกินแล้ว ที่ไม่รู้ความ ขอให้ท่านสุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไปครับ”
จิ่งเหวินหยู่ยิ้มพยักหน้า พูดว่าขอบใจ
หลัวฉี่ถอนใจ มองดูเฉินเป่าที่ไม่ได้ตั้งความหวังไว้อย่างเต็มร้อยอะไร จึงตัดสินใจทำให้จบๆ ไป อย่างไรเสียเขาก็เป็คนนอกเท่านั้น ทำเท่าที่ทำได้ก็พอแล้ว ตั้งใจมากเกินไป กลับจะเป็การหาเื่ใส่ตัว “ทุกท่าน คนพวกนี้ถึงแม้จะรูปร่างคล้าย แต่กำลังภายในกลับไม่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพูดว่าจะเอาชนะคนถึงสามคน เกรงว่าจัดการเฉินเปิ่นฉีคนเดียวก็ยังลำบาก”
จิ่งเฟิงกั๋วก็ดูไม่ประหลาดใจ “วันนี้ก็พอแค่นี้เถอะ เฉินเป่า เ้าคิดดูอีกทีว่ายังมีเบาะแสอะไรอีกบ้าง คุณชายเ้าลงเขากลางดึกกลางดื่นจริงๆ แล้ว้าหลบใครกันแน่?”
ไม่รอให้เฉินเป่าเปิดปาก จิ่งเฟิงกั๋วก็ตัดบทว่า “ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนเถอะ จอมยุทธ์น้อยทุกคนที่จะกลับก็ให้แจ้งพ่อบ้านก็พอแล้ว ทุกท่านวางใจ จะต้องจัดการเตรียมพร้อมให้ทุกท่านเป็อย่างดี ส่วนคนที่ยินดีจะรั้งอยู่ในตระกูลจิ่งอีกสองสามวันนั้นก็ทำได้ตามใจ”
เขาพูดจบ ก็แค่จ้องจิ่งเหวินซานไปทีหนึ่งก็หมุนจากไป สายตานี้จิ่งเหวินซานเข้าใจดี ในใจสั่นสะท้านแต่ก็รีบตามไป
อ๋าวหรานมองสถานที่หาคนร้ายนี่รวมคนอยู่นับไม่ถ้วนนี้ สุดท้ายต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าดูไม่ค่อยสมจริง เสียงร้องไห้จะเป็จะตายของเฉินเป่าดูเหมือนจะหยุดไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น
ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่านิยายเื่นี้เป็เพราะการปรากฏตัวของเขา ทำให้เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดหรือเปล่า
จิ่งฝานไม่แม้แต่จะมอง พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า: “ไปเถอะ กลับกัน”
แต่ว่าเข้าถูกกำหนดไว้แล้วว่าไปไหนไม่ได้
“นายน้อย นายท่านใหญ่เรียกท่านไปหารือขอรับ”
ทุกคนหันไปมองเขา เขาดูสงบนิ่งอยู่ ก็ต้องเป็เช่นนี้อยู่แล้วหากพวกเขาไม่เรียกจิ่งฝานไปหารือแผนการในอนาคต นั่นต่างหากที่แปลก
จิ่งฝานดูเหมือนจะรำคาญ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินตามไป
——
ทางเต๋อรั่วกับหลางฉายังคงรั้งอยู่กับสวีหรงฉี่ หรือพูดอีกอย่างว่าสวีหรงฉี่รั้งอยู่ต่อตามความ้าของทางเต๋อรั่ว
พวกเขานั่งอยู่ในเรือนพัก ทางเต๋อรั่วสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาดูหนักอึ้ง ไม่พูดแม้สักคำ
สวีหรงฉี่รู้สึกรับความเงียบเช่นนี้ไม่ค่อยไหว จึงถามอย่างระมัดระวังว่า: “คุณชาย ท่านเป็คนฆ่าหวางฮวายเหล่ยหรือเปล่า?”
ทางเต๋อรั่วหน้าตางดงาม คิ้วละเอียดเรียวแหลม ตอนนี้คิ้วดำสองแถวที่ไม่ค่อยดกนักนั้นขมวดเข้าหากัน “ข้าต้องไปทำเื่เกินความจำเป็เช่นนั้นด้วยหรือ?”
สวีหรงฉี่หุบปากลง เขาเองก็เดาออกว่าไม่ใช่ทางเต๋อรั่ว แต่เื่ราวเกิดนอกเหนือความคาดเดาของเขาไปไกล จึงถามออกไปเผื่อจะได้รู้อะไรบ้าง แต่ชัดเจนว่าทางเต๋อรั่วเองก็เหมือนจะไม่รู้อะไร
หลางฉาพยายามสลายความเงียบเชียบที่เงียบเชียบเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ “ไม่ว่าจะเป็ฝีมือใคร เป้าหมายของเราก็สำเร็จแล้ว”
ทางเต๋อรั่วส่ายหน้า “เกรงว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง1 พอหันหลังไป เราต่างหากที่เป็คนถูกคิดบัญชี”
หลางฉาเงียบไป
แต่ว่าเหมือนทางเต๋อรั่วจะคิดมากเกินไปหน่อย แต่ก็นะ เขาใช้ความคิดของตัวเองไปตัดสินความคิดของคนอื่น ก็มักจะคิดว่าคนอื่นก็จะเป็แบบตัวเอง
จิ่งเหวินซานถูกจิ่งเฟิงกั๋วตบหน้าต่อหน้าผู้าุโ คนรุ่นเดียวกัน และผู้ที่อ่อนกว่าสิบกว่าคน โดยตบครั้งนี้แรงกว่าที่เขาตบอาอีมาก หน้าบวมๆ ที่เดิมทีคิดว่าคงบวมกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วของจิ่งเหวินซาน บวมนูนมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้เขาจะโดยตบโดยที่ในใจไม่ยินยอม แต่ก็ทำใจรับได้อย่างรวดเร็วเพราะคาดเดาไว้อยู่แล้ว
จิ่งเฟิงกั๋วตบเขาเสร็จก็หอบหายใจด้วยความโกรธ ราวกับใช้แรงทั้งหมดที่เหลือในครึ่งชีวิตหลังนี้ไปจนหมดแล้ว ความสงบนิ่งตอนที่อยู่ข้างอยู่ต่อหน้าทุกคนไม่มีอยู่อีกแล้ว ผู้สืบทอดของตระกูลเฉินและหวางสองตระกูลตายที่ตระกูลจิ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็ปัญหาใหญ่ของตระกูลจิ่ง ยิ่งกว่านั้นหนึ่งในนี้ยังมีความเป็ไปได้ว่าจะตายด้วยน้ำมือคนตระกูลจิ่ง ต่อไปคงต้องเผชิญกับความเสียหายการชดเชย ความขัดแย้งหรืออาจจะถึงขั้นนองเื
ตบหน้าจิ่งเหวินซานไปทีหนึ่ง ก็เพื่อสงบใจของตัวเอง จิ่งฝานนั่งอยู่ด้านล่างอย่างไม่สนใจสะทกสะท้านอะไร เมื่อก่อนเขาล้วนหนังอยู่ซ้ายไม่ก็ขวาของที่นั่งหลักหัวแถว แต่เหมือนว่าั้แ่จิ่งเหวินซานเสนอเื่การประลองขึ้นมา เขาก็ค่อยๆ แยกตัวออกมา มานั่งตรงตำแหน่งค่อนไปทางหลัง มองเื่สนุกด้านหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
จิ่งเฟิงกั๋วหอบหายใจ ดึงสติกลับมา นั่งอย่างแรงลงบนเก้าอี้ ไม่พูดสักคำ คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน
จิ่งเหวินซานถูกตบไปทีหนึ่ง สมองได้รับการสั่นะเื ก็ฉลาดขึ้นมาทันที “ท่านปู่ พวกเขาอยากได้ตัวฆาตกร เราก็ส่งตัวฆาตกรให้เขา”
จิ่งเฟิงกั๋วโกรธจนอยากโบยเขาสักสองที ด่าว่า: “เ้าหาไปให้สักคนแล้วเขาก็จะเชื่องั้นหรือ? หากเขาอยากหาตัวฆาตกรจริง ทำไมถึงได้เลือกพวกไร้ประโยชน์ที่วรยุทธ์ธรรมดา?”
คำพูดนี้คงทำร้ายจิตใจคนตระกูลจิ่งที่วรยุทธ์ธรรมดา รวมถึงจิ่งเหวินหยู่ที่อยู่ด้านล่างด้วย แต่ไม่ว่าจะทำร้ายคนหรือไม่ก็ชัดเจนแล้วว่ามันไม่สำคัญ จิ่งเฟิงกั๋วโกรธที่จิ่งเหวินซานโง่เง่า คนพวกนั้นชัดเจนแล้วว่าอยากให้ตระกูลจิ่งเป็แพะในครั้งนี้ หากหาตัวฆาตกรออกมาได้ เช่นนั้นก็จะสร้างปัญหาให้ตระกูลจิ่งอย่างเปิดเผยไม่ได้! อีกอย่างฆาตกรเช่นนี้จะหาไปมั่วๆ ได้อย่างไร เอาไปหลอกใครได้?
จิ่งเหวินซานใจนเกือบจะหาที่ซ่อนแล้ว “ท่านปู่ ข้าไม่ได้จะหามาลอยๆ ตระ......ตระกูลอ๋าว! เ้าเด็กตระกูลอ๋าวนั่นกับเฉินเปิ่นฉีมีความแค้นต่อกันอยู่!”
จิ่งฝานที่ไม่สนใจอะไรจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน ในสายตาราวกับมีหนามแหลมคม พุ่งตรงเข้าใส่จิ่งเหวินซาน นัยตาที่ปกติเป็สีดำราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนมีสีแดงเือันน่ากลัวแวบผ่านไป
ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง1(螳螂捕蝉黄雀在后)ใช้เปรียบถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์มักจะเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังผลร้ายในระยะยาวที่รออยู่ คิดแต่จะคิดบัญชีผู้อื่น โดยลืมไปว่าตัวเองก็กำลังถูกผู้อื่นคิดบัญชีเช่นกัน
