จิ่งเหวินซานเริ่มจะรำคาญขึ้นมาแล้ว จึงพูดด้วยน้ำเสียงออกห้วน “แล้วยังไงล่ะ เขาอยากจะประลองยุทธ์ที่สนามประลองสกุลจิ่งกัน ข้าก็ห้ามได้เสียที่ไหน หากเ้ามีความสามารถ งั้นก็ขึ้นเป็ผู้นำตระกูลเสียสิ จะได้สั่งห้ามไม่ให้จิ่งฝานไป ถ้าจะให้ดีก็ไล่พวกนั้นออกไปให้หมดทั้งบ้านด้วยเสียเลย”
จิ่งเคอเมื่อได้ยินดังนั้น ในใจก็รู้สึกกดดันขึ้นมาเสียเฉย ๆ คำพูดพวกนี้... หลายปีมานี้เขามักจะได้ยินอยู่เป็นิจ แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังในใจก็ยังรู้สึกเหมือนถูกแทงจนเจ็บไปหมด จิ่งเคอกัดฟันแล้วจึงพูดอย่างนอบน้อมเหมือนดังเดิม
“ท่านพ่ออย่าได้โมโหไปเลย มันไม่ใช่เช่นนั้น แต่เพราะวรยุทธ์ของจิ่งฝานแกร่งกล้าเสียจนน่าหวาดกลัว เกรงว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านพ่อเสียอีก อีกทั้งหนุ่มน้อยที่ประลองกับเขาเองก็เป็เช่นนี้”
ถ้วยบนโต๊ะของจิ่งเหวินซานส่งเสียงปริแตก แหลกลงไปบนพื้น น้ำชาก็หกเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่ชายังมีควันลอยอยู่
“เ้าว่าอะไรนะ? เก่งกาจกว่าข้า?” จิ่งเหวินซานยืนขึ้นเต็มความสูง ขมวดคิ้วแน่น “เป็ไปไม่ได้? ต่อให้เขากินยาเสริมเข้าไป อย่างไรเสียก็คงไม่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเป็สิบปีได้หรอก?”
จิ่งเคอขมวดคิ้ว “เกรงว่าเขาคงปกปิดเอาไว้มาตลอด? เมื่อก่อนที่ประลองกับลูกหลานในตระกูล ส่วนใหญ่ก็เป็แค่การแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น มองไม่ออกสักเท่าไร ต่อให้มีการประลอง คาดว่าก็คงใช้แรงไปแค่สามส่วน” จิ่งเคอหัวใจกระตุก แล้วก็คิดว่าหากเป็เช่นนั้นจริง ๆ ระยะห่างระหว่างเขากับจิ่งฝานมันมิมากเกินไปหรือ?
“ต่อให้ปกปิดเอาไว้ก็ไม่มีทางปิดเอาไว้ได้มากขนาดนี้!” จิ่งเหวินซานขมวดคิ้ว “คงไม่ใช่ว่าแค่แสดงละครหลอกเ้าเด็กโง่พวกนั้นหรอกนะ ทั้งนี้เพื่อแสดงอำนาจกระมัง?”
จิ่งเคอส่ายหน้า “ข้าอยู่ด้านข้าง เห็นมากับตา เขาร้ายกาจของจริง”
จิ่งเหวินซานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักมีสีหน้าอึมครึม นิ้วเคาะไปมาอยู่บนโต๊ะ นั่งเงียบอยู่นานก็คิดอยากจะปาข้าวของขึ้นมา แต่กลับพบว่าถ้วยชาบนโต๊ะนั้นแตกละเอียดอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว จึงทำได้เพียงกำหมัดแน่นแล้วทุบลงไปบนโต๊ะแรงๆ แทน
“ข้าไม่เชื่อว่าวรยุทธ์ของเขาจะรุดหน้าไปเร็วถึงเพียงนี้ ต้องลองหาโอกาสหยั่งเชิงดูหน่อยแล้ว!”
จิ่งเคอลังเลอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “หากว่าเป็เื่จริงล่ะขอรับ? ถ้าเขาร้ายกาจขนาดนั้นจริงๆ ละก็?”
“งั้นก็ทำให้เขาหายไปเสียสิ! มีจิ่งเหวินเหอขัดแข้งขัดขาคนเดียวก็พอแล้ว ไอ้เด็กเวรนี่ยังคิดจะมาขวางทางข้าอีกคน!” จิ่งเหวินซานดูเหมือนจะโกรธมาก ถึงกับลมหายใจหอบกระชั้น หน้าอกกระเพื่อม ได้ยินเสียงดังชัดเจน “หากไม่ใช่เพราะจิ่งเหวินเหอจู่ๆ ก็กลายเป็คนเหลวไหล วันๆ ไม่ทำอะไร คิดแต่เื่ไร้สาระ แล้วมอบหมายงานทุกอย่างให้จิ่งฝาน จะทำให้จิ่งฝานได้โอกาสไปก่อนและได้ตำแหน่งนายน้อยมาโดยปริยายได้อย่างไร? จิ่งเหวินเหอ! หึ! คิดว่าเขาธรรมดา ไม่นึกเลยว่าจะเ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้”
จิ่งเคอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเงียบไปสักพักจึงปลอบใจว่า “ท่านพ่ออย่าเพิ่งโมโหโทโสไปข้าจะรีบจัดคนไปหยั่งเชิงดู”
จิ่งเหวินซานหอบอยู่นานแล้วจึงค่อยๆ สงบลง เขาครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหาคนแล้ว ตระกูลจิ่งหลายปีมานี้สงบเกินไปจนน่าเบื่อ เพิ่มเื่สนุกกันสักหน่อยจะเป็ไรไป”
จิ่งเคอสงสัย “ท่านพ่อหมายความว่าเช่นไร?”
“เ้าลงเขาไปรอบนี้ไม่ใช่ว่าได้พบปะกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันจากตระกูลอื่น บ้างหรือ? ติดต่อพวกเขาให้หน่อย แล้วยังมีพวกที่เมื่อก่อนเคยคบค้าสมาคมกันอีก” จิ่งเหวินซานพ่นลมออกจากจมูก หัวเราะดังหึออกมา ดวงตาฉายแววเ้าเล่ห์ “ข้าจะไปหาพวกผู้าุโ ตระกูลจิ่งแอบซ่อนอยู่ในภาคตะวันออกมาหลายปี จะหลบซ่อนจากโลกภายนอกตลอดไปก็คงไม่ได้ ต้องคบค้าสมาคมแลกเปลี่ยนกับคนภายนอกบ้างถึงจะมีการพัฒนา”
จิ่งเคอลังเลแล้วพูดว่า “ท่านพ่อคิดจะจัดงานแข่งขันประลองยุทธ์ขึ้นหรือขอรับ? จิ่งฝานจะเห็นด้วยหรือ?”
“ถ้าเขาอยากแสดงแสนยานุภาพจริงก็ต้องยอมตกลง หากระหว่างการประลองเกิด ‘เหตุไม่คาดฝัน’ ขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะควบคุมได้”
จิ่งเคอไม่ค่อยเข้าใจ “จิ่งฝานถ่อมตัวมาหลายปี จู่ๆ จะยอมเปิดเผยความสามารถออกมาจนหมดได้อย่างไร?”
จิ่งเหวินซานส่งเสียงดังหึออกมา “อาจเพราะรู้ว่าคนที่อยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขามีไม่น้อย จึงเสแสร้งเป็สุภาพบุรุษแสนดีมานานหลายปี ตอนนี้คงจะเสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้วกระมัง”
จิ่งเคอค่อนข้างเห็นด้วย แต่แล้วก็นึกถึงจิ่งต้าเทาขึ้นมาจึงอดถามไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ จิ่งต้าเทาคนนั้นมาขอเงินอีกแล้วหรือ?”
จิ่งเหวินซานเรียกสาวใช้หน้าประตูให้ยกชาเข้ามาอีกถ้วย เมื่อได้ยินคำถามของจิ่งเคอก็เพียงพยักหน้าไปอย่างไม่ใส่ใจ
จิ่งเคอขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ คนผู้นี้โลภขึ้นทุกวัน จะตามใจเขาอีกไม่ได้แล้ว”
สาวใช้ยกชาถ้วยใหม่มาวางไว้ข้างมือของจิ่งเหวินซาน จากนั้นเก็บเศษกระเบื้องที่พื้น แล้วจึงออกไปเงียบๆ จิ่งเหวินซานดื่มชาช้าๆ
“ภาคกลางดูเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ ตระกูลสวีเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงเป็อันดับต้นๆ ในพื้นที่ภาคกลาง แต่ตระกูลนี้ดูเหมือนจะหวาดกลัวตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งในบริเวณนั้นอยู่”
จิ่งเคอพูดอย่างใ “หวาดกลัวตระกูลเล็กๆ? เป็ไปได้อย่างไร?”
จิ่งเหวินซานส่ายศีรษะ “จริงๆ แล้วเป็อย่างไรข้าก็ไม่รู้ เพราะเป็ข่าวที่จิ่งต้าเทาให้มา ภาคกลางไม่ได้สงบเงียบเหมือนที่เห็น เกรงว่าคงมีคลื่นใต้น้ำ เราคงต้องนิ่งดูสถานการณ์กันไปก่อน
“เก็บจิ่งต้าเทาเอาไว้ก่อน ให้เงินเขาสักหน่อยคงไม่เป็ไร อย่างไรเสียการค้าบางอย่างก็ยังต้องให้เขาคอยเป็ตัวเชื่อม” พูดจบแล้วก็เยาะหยันว่า “ข้าไม่กลัวเขาโลภ แต่กลัวเขาไม่โลภต่างหาก ต่อไปหากไร้ประโยชน์แล้วก็ฆ่าทิ้งเสีย”
จิ่งเคอพยักหน้า ในใจรู้สึกประหลาดใจกับเื่ภาคกลางที่จิ่งเหวินซานบอก คิดจริง ๆ ว่านี่เป็เพียงคำพูดเหลวไหลของจิ่งต้าเทาเพื่อจะได้มาขอเงิน
จิ่งฝานประมืออย่างไม่จริงจังไปไม่กี่กระบวนท่า ทำให้ทุกคนทั้งที่คิดดีและไม่ดีรู้สึกแปลกประหลาดในใจ แน่นอนว่าก็มีพวกอ๋าวหรานกับจิ่งเซียงที่มีเพียงความอิจฉาและสายตาเคารพเทิดทูนด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็คงควบคุมไม่ได้ จิ่งฝานกำลังคิดอะไรก็คงไปควบคุมไม่ได้อีกเหมือนกัน
เมื่อการประลองจบลง เหยียนเฟิงเกอก็ถามหาที่สงบเงียบ กับจิ่งฝานหรืออ๋าวหรานเองก็แค่บอกลาอย่างรวบรัดแล้วรีบจากไป อ๋าวหรานคิดว่าตอนนี้เหยียนเฟิงเกอคงมีเป้าหมายในการต่อสู้แล้ว เกรงว่าจิ่งฝานจะต้องกลายเป็เป้าหมายให้เขาไล่ตาม คิดว่าในอนาคตทั้งสองคงมีเื่ให้ต้องข้องเกี่ยวกันอีกเยอะ
การที่มาสนามประลองั้แ่เช้า ทั้งยังได้รับความตื่นเต้นอย่างรุนแรงและรู้สึกได้ถึงช่องว่างระหว่างคนอย่างลึกซึ้ง อ๋าวหรานจึงคิดว่าตัวเองเสียเวลาเปล่าจริงๆ แสงแดดในยามเช้าถูกความตื่นเต้นนี้กระตุ้นให้หายไปอย่างรวดเร็ว นี่เขาต้องจำสมุนไพรน้อยลงไปเท่าไรกัน
อ๋าวหรานโบกมือลาพวกจิ่งเซียงแล้วจึงเดินไปที่สวนสมุนไพร หวางฮวายเหล่ยทั้งอยากคุยกับอ๋าวหรานและจิ่งฝาน แต่ทำไงได้ สองคนนี้ดันแยกกันไปคนละทาง หวางฮวายเหล่ยไม่มีวิชาแยกร่างจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี จิ่งเซียงกับจิ่งจื่อรังเกียจนิสัยของเขา แต่ก็ไม่อาจเปิดเผยออกไปได้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มให้เล็กน้อย คิดแต่จะจากไปให้เร็วที่สุด
ยังดีที่เขายังมีสถานะนายน้อยแห่งตระกูลหวางตะวันตกที่ยิ่งใหญ่เอาไว้อยู่ ลูกหลานตระกูลจิ่งมากมายยังยินดีที่จะสนิทสนมกับเขา แค่เวลาไม่นาน เขาก็ถูกคนตระกูลจิ่งล้อมไว้สองถึงสามชั้น พวกจิ่งเซียงพอเห็นสถานการณ์เป็เช่นนี้ก็รีบจากไป
อ๋าวหรานไปที่สวนสมุนไพร มีคนอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่คนที่รู้จักกลับมีไม่มาก อย่างไรเสียตระกูลจิ่งก็มีกิจการใหญ่โตรุ่งเรือง จึงมีสมาชิกมาก คนที่เคยเจอก็มีไม่มาก คนที่เคยคุยด้วยก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ดังนั้นถ้าเป็คนที่รู้จักกันก็แค่ตอบรับคำทักทายของอ๋าวหรานอย่างเกรงอกเกรงใจ คาดว่าคงเป็เพราะเห็นแก่หน้าจิ่งฝานกระมัง
อ๋าวหรานถือข้าวของตัวเองไปเงียบ ๆ เริ่มดำดิ่งลงสู่โลกแห่งความรู้เื่สมุนไพรอันยิ่งใหญ่ ยังเหลือความทรงจำจากเมื่อวานที่คัดไปรอบหนึ่งอยู่ อ๋าวหรานเปรียบเทียบตำรับยาและสมุนไพรได้อย่างลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ผลลัพธ์จึงดีขึ้นไปอีก เขาจำได้ดีขึ้นมากทีเดียว
คนที่เหลือคนอื่นเห็นท่าทางตั้งใจของอ๋าวหรานก็รู้สึกเชื่อไม่ลง คิดแล้วยังอดย่นจมูกใส่ไม่ได้ คุณชายที่แทบจะไม่ใช่คุณชายของตระกูลที่ล่มสลายไป ตอนนี้หันมาพึ่งตระกูลจิ่งที่มีทั้งอำนาจและเงินตรา แน่นอนว่าต้องกอดขาเอาไว้ให้แน่นไม่ยอมปล่อย อยากเรียนวิชาแพทย์อะไรกัน คิดดูแล้วก็คงแค่หน้าด้านหาเหตุผลอยากจะอยู่ในตระกูลจิ่งต่อกระมัง ก็คงมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จิตใจดี นายน้อยซึ่งไม่ค่อยทันโลกภายนอกถึงได้เห็นความตั้งใจที่แฝงไว้ด้วยจุดประสงค์อื่นของเขากลายเป็ ‘ความซื่อสัตย์จริงใจ’ ไป
คนเราค่อนข้างอ่อนไหวต่อสายตาของผู้คนที่จ้องมองมา ถึงแม้จะยืนอยู่ห่างกันไกลจึงทำให้อ๋าวหรานไม่ได้ยินเสียงซุบซิบของพวกเขาก็ตาม แต่สายตาดูถูกที่ไม่เห็นอยู่ในสายตาของพวกเขานั้นก็ยังสามารถััได้ ในโลกนี้...ขอแค่เป็คนก็ล้วนอยากจะมีกลุ่มทั้งนั้น อย่างไรเสียก็เป็สัตว์สังคม แต่พอคนมาก เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็จะเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก กลุ่มนี้มีคนที่เ้าชอบ กลุ่มนี้มีคนที่เ้าเกลียด ชัดเจนและไม่้าเหตุผล
จิ่งฝานไม่ใช่เทพ เมื่อมีคนชอบเขาก็ย่อมต้องมีคนเกลียด แน่นอน ต่อให้เป็เทพก็มีทั้งคนที่กราบไหว้และไม่กราบไหว้
ตระกูลจิ่งอาจดูเหมือนสงบราบเรียบ แต่เป็ความสงบราบเรียบแบบน้ำขึ้นน้ำลง ภายในมักจะมีก้อนหินคอยขัดแข้งขัดขาคนอื่นอยู่เสมอ คนที่ไม่ยอมรับจิ่งฝานก็มีไม่น้อยที่คาดหวังตำแหน่งของจิ่งฝานก็ยิ่งมีมากกว่า และที่ไม่ชอบหรืออิจฉาก็คงจะมีอีกเป็กอง
อ๋าวหรานปิดกั้นสายตาจากด้านหน้าและด้านหลังด้วยตัวเอง ทำเป็ว่าพวกนั้นไม่มีอยู่ แล้วมุ่งสมาธิไปที่การเรียนวิชาแพทย์ของเขาเพียงอย่างเดียว แตการที่เขาอยากจะอยู่อย่างสงบ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะอยากให้เขาอยู่อย่างสงบด้วย
ทันใดนั้น้าศีรษะของอ๋าวหรานก็มีเงามืดทอดครึ้มลงมา เงยหน้าขึ้นก็เห็นหนุ่มน้อยที่หน้าตาไม่ธรรมดาแต่แฝงรอยยิ้มเ้าเล่ห์อยู่ในระยะใกล้มาก อ๋าวหรานเห็นความงดงามของคนทั้งตระกูลจิ่งมาจนชินแล้ว ราวกับว่าร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นมาเองอย่างไรอย่างนั้น ‘ไวรัส’ ที่เรียกว่าความงดงามนี้สำหรับเขาแล้วนั้นกลับมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งเป็อย่างมาก เมื่อรู้สึกปลอดภัยในระยะสามเมตร ใครก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้
เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่กำลังหายใจรดหน้าเขาอยู่นี้ อ๋าวหรานก็ไม่ขยับ ยิ้มอย่างชืด ๆ แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีธุระอะไรงั้นหรือ?”
คนผู้นั้นเห็นอ๋าวหรานหนักแน่นมั่นคงก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้ จึงกดอารมณ์ตัวเองลงแล้วขยับเข้าไปใกล้อีก จมูกแนบไปกับอ๋าวหราน ยิ้มอย่างชั่วร้ายกว่าเดิม “คุณชายอ๋าวนิ่งมาก”
ถึงแม้จะบอกว่าอ๋าวหรานมีภูมิคุ้มกันความงาม ทำได้ถึงขั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมทนให้ผู้ชายตัวโตมายื่นหน้าใกล้เขาในระยะเผาขนจนลมหายใจพัวพันไปกับเขาได้ ขนลุกจริง ๆ เลย มารดามันเถอะ!
อ๋าวหรานเคลื่อนตัวไปด้านหลัง เว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง แสร้งยิ้มอย่างเป็กังวล “คุณชายเป็โรคตาหรือ? ใกล้ถึงเพียงนี้ถึงได้มองเห็นไม่ชัด ให้นายน้อยของเ้าดูให้ดีหรือไม่?”
รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากคนผู้นั้นแข็งค้างไปทันที แล้วถูกแทนที่ด้วยความเกรี้ยวกราดในทันใด รอยยิ้มและแววตาที่้าจะดึงดูดคนเมื่อกี้นี้เริ่มบิดเบี้ยว รัศมีทั้งร่างคมกริบขึ้นมาเหมือนแมวที่กำลังกางเล็บ ดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย
จากนั้นเสียงซุบซิบจากรอบข้างก็ดังขึ้นมาทันใด อ๋าวหรานได้ยินอยู่บ้างว่า “ซวยแล้ว” “ตายแน่” “จิ่งเซิ้งโกรธแล้ว” ...
อ๋าวหรานขมวดคิ้วลึกลง ไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน คนที่มีลักษณะนิสัยโดดเด่นเช่นนี้ ทำไมในหนังสือถึงไม่เขียนไว้ หรือยังเทียบคนที่เดินผ่านไปมาทั่วไปไม่ได้?
การขมวดคิ้วของอ๋าวหรานทำให้หนุ่มน้อยผู้ยังไม่อาจสู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เช่น นาย ก ข ค ได้เกรียวกราดอย่างที่สุด เงื้อมือตั้งใจจะตบหน้าอ๋าวหราน อ๋าวหรานซึ่งกำลังคิดเื่อื่นอยู่ ถึงแม้จะยกมือจับไว้ได้ทันเวลา แต่ปลายเล็บของหนุ่มน้อยนั่นก็กรีดผ่านหน้าอ๋าวหรานไป ความแสบร้อนบนใบหน้าทำให้อ๋าวหรานอดมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างไม่ได้
“เกรงว่าคุณชายคงไม่ได้แค่ตาบอด แต่ยังแยกไม่ออกว่าตัวเองเป็หญิงหรือชายสินะ? แถมยังจงใจยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผู้ชายเพื่อแสดงตัวอีก เป็นกยูงรำแพนหางหรือ? เมื่อคนอื่นไม่สนเ้า เ้าก็คิดจะตบเขาแล้ว? นี่มันเป็ลักษณะนิสัยของผู้หญิงมากกว่ากระมัง? นึกอยากจะถอดกางเกงออกมาดูว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็หญิงหรือชายกันแน่บ้างหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้