“ทักษะวิชาลับนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้ได้ใน่ระยะเวลาหนึ่ง แต่แน่นอนว่ามันย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็เหมือนกับวิชาโลหิตต้องห้ามของเผ่าชูร่าที่จะต้องผลาญแก่นโลหิตของตัวเองเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ผลลัพธ์ของมันสร้างความเสียหายให้กับร่างกายมากเพียงใดเ้าก็เคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว”
หลังจากซีเยว่กล่าวจบ มู่เฟิงก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ในครั้งก่อนตอนที่เขาใช้วิชาโลหิตต้องห้ามของเผ่าชูร่าออกมา ตัวเขาก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
เด็กหนุ่มหวนนึกถึงฉากต่อสู้ระหว่างหลิ่วเชียนเย่และหลิ่วฉิงขึ้นมา ถูกต้องแล้ว หลังจากที่หลิ่วเชียนเย่ใช้วิชาอสนีบาตย่ำแปดทิศออกมาเขาก็ถูกแรงสะท้อนกลับทำลายอวัยวะภายในของเขาและยังเป็สาเหตุให้เขาต้องจบชีวิตลงอีกด้วย
“แต่สำหรับทักษะวิชานี้ หากฝึกฝนถึงระดับก่อนบรรลุระดับสัมฤทธิ์ แรงสะท้อนกลับก็จะไม่รุนแรงมากจนเป็อันตรายถึงชีวิต ฉะนั้นเ้าวางใจได้ เ้ายังสามารถใช้มันออกมาได้ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังสร้างความเสียหายต่อร่างกายเ้าเหมือนเดิม เ้าลองศึกษาดูก่อนว่ามีวิธีที่จะผลักแรงสะท้อนกลับออกไปได้บ้างหรือไม่ จะได้ลดความเสียหายต่อร่างกายของเ้าด้วย”
ซีเยว่แนะนำ จากนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากได้รับคำแนะนำจากซีเยว่ มู่เฟิงก็เริ่มฝึกฝนวิชาอสนีบาตย่ำแปดทิศต่ออย่างวางใจทันใจ
ฝึกฝนต่ออย่างไรน่ะหรือ? ก็ฝึกฝนด้วยการถูกฟ้าผ่าอย่างไรเล่า!
ในทุกทุกวันเด็กหนุ่มจะฝึกซ้อมทักษะวิชาปราณทุกวิชาที่เขาเคยฝึกฝนมา นอกจากนี้เขายังแบ่งเวลาเพื่อฝึกฝนการสลักลายเส้นด้วย ไม่ว่าจะเป็ลายเส้นโอสถ ลายเส้นค่ายกลหรือลายเส้นอาวุธ เขาล้วนฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ส่วนตอนเย็นเขาก็จะบ่มเพาะวรยุทธ์ และมีบางครั้งที่ออกไปต่อสู้กับเหล่าอสูรร้ายเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้จริง ทุก่เวลาของมู่เฟิงล้วนถูกจัดตารางเอาไว้จนแน่นเอี๊ยด ไม่มีเวลาให้เขาได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียว คิมหันต์ฤดูก็ผันผ่านเข้าสู่สารทฤดู และจากนั้นไม่นานเหมันต์ฤดูก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง เวลาครึ่งปีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
หิมะขาวโพลนโปรยปรายลงมา ทิวทัศน์ของเทือกเขาอันหนานล้วนถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวปุย
ภายในป่าหิมะ เด็กหนุ่มสองคนกำลังเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างหนึ่งมนุษย์และหนึ่งอสูรร้ายในพื้นที่โล่งที่ห่างไกลออกไป ฉากต่อสู้อันดุเดือดทำให้พวกเขาไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่วินาทีเดียว
อีกฝ่ายคือวานรสีขาวที่มีความสูงสามเมตร แขนของมันมีความหนาเท่ากับเอวของมนุษย์และมีขนสีขาวยาวปกคลุมทั่วทั้งตัว พละกำลังของมันนั้นมากมายมหาศาล ทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้ด้วยคลื่นพลังปราณสีขาว
นี่คืออสูรร้ายระดับหนิงกัง วานรั์ขนขาว
ส่วนคู่ต่อสู้ของวานรั์ขนขาวก็คือเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีผู้มีความสูงกว่าหกฟุต เส้นผมของเขามีสีเดียวกันกับหิมะที่อยู่เื้ั เด็กหนุ่มผู้นี้สวมใส่ชุดสีดำพอดีตัวดูกระฉับกระเฉงเป็อย่างยิ่ง
ท่วงท่าการเคลื่อนไหวในในการหลบหลีกการโจมตีของเขาก็ดูสง่างามเป็อย่างมาก
“โฮก!”
วานรั์ขนสีขาวร้องคำรามออกมา ก่อนจะเหวี่ยงหมัดขนาดใหญ่ของมันไปทางเด็กหนุ่มอย่างดุดัน
เด็กหนุ่มดีดฝ่าเท้าะโถอยหลังออกมาเพื่อหลบหลีกการโจมตีของวานรั์ขนขาว
เปรี้ยง!
เมื่อมู่เฟิงะโหลบ หมัดนั้นจึงกระแทกลงบนพื้นหิมะแทน ทำให้พื้นที่ถูกหมัดนั้นกระแทกปรากฏรอยร้าวและกลายเป็หลุมบ่อ เด็กหนุ่มไม่รอช้าสะบัดดรรชนีนิ้วไปทางวานรั์ขนขาวในทันที
ฉึก! ฉึก!
ลำแสงดรรชนีสีทองพุ่งทะลวงผ่านอากาศ ก่อนจะเจาะทะลุชั้นพลังป้องกันและแทงลงไปบนร่างของวานรั์ขนขาวในทันที ปรากฏรอยแผลเจาะลึกสองรอย เพียงแต่แผลเหล่านี้ไม่อาจคร่าชีวิตของวานรั์ขนขาวได้ ทั้งยังกระตุ้นความดุร้ายของมันให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
“โฮก!”
เ้าอสูรร้ายรวบรวมพลังปราณมายังกำปั้นขนาดใหญ่ของมัน จากนั้นมันก็ทะยานตัวขึ้นและพุ่งกระโจนมาทางมู่เฟิงพร้อมกับปลดปล่อยพลังหมัดออกมา หมัดน้ำแข็งสีขาวพุ่งทะลวงออกมาอย่างดุดัน
หมัดนี้ทรงพลังมากจนผู้คนต้องหวาดผวา เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ระดับหนิงกังก็ยังไม่อาจต้านทานได้
“ทำได้ดี!”
ดวงตาสีโลหิตของมู่เฟิงเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นร่างกายของเขาก็ปรากฏกระแสไฟฟ้าโอบล้อมเอาไว้ กระทั่งรอบกายยังมีเสียงฟ้าคำราม
พลังปราณจากมวลคลื่นพลังทั้งแปดลูกกำลังไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณอย่างบ้าคลั่ง
“อสนีบาตย่ำแปดทิศ!”
มู่เฟิงแผดเสียงร้องออกมา ก่อนจะย่ำเท้าออกไปสามก้าว ฉับพลันนั้นอานุภาพพลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นจากเดิมเป็สามเท่า เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหว เด็กหนุ่มรวบรวมพลังสายฟ้ามาไว้ที่แขนของเขา จากนั้นพลังสายฟ้าก็ควบแน่นเป็เงาร่างัสายฟ้าออกมาสามตัว
โฮก!
จากนั้นมู่เฟิงก็เหวี่ยงหมัดออกมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม โดยหมัดนี้กระแทกเข้ากับหมัดน้ำแข็งของวานรั์ผมขาวอย่างจัง
เปรี้ยง!
พลังสายฟ้าและพลังปราณน้ำแข็งเกิดการะเิออกมาอย่างรุนแรง ทำให้กองหิมะที่อยู่ในรัศมีสิบเมตรถูกคลื่นพลังสาดซัดจนปลิวออกไป แรงสะท้อนกลับของการโจมตีนี้ทำให้ร่างของมู่เฟิงปลิวกระเด็นเช่นกัน แต่เด็กหนุ่มยังสามารถตีลังกากลับหลังกลางอากาศและร่อนลงพื้นได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้เขาก็มีเพียงรอยเืที่ไหลออกมาจากมุมปากเท่านั้น
ใน่เวลาครึ่งปีที่ผ่านมาเด็กหนุ่มพยายามฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนัก นอกจากลำดับขั้นของนักสลักลายเส้นโอรถ ลายเส้นค่ายกล และลายเส้นอาวุธของเขาจะเลื่อนขึ้นเป็ขั้นสองแล้ว วรยุทธ์ของเขาก็ยังเลื่อนขึ้นเป็ระดับจื่อฝู่ขั้นแปดอีกด้วย ส่วนทักษะวิชาอสนีบาตย่ำแปดทิศก็เกือบจะขึ้นสู่ระดับสัมฤทธิ์แล้ว
“ฮ่าๆ ต่อไปถึงคราวของข้าบ้าง!”
ไป๋จื่อเยว่ที่สวมชุดคลุมสีขาวเปล่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะเดินออกมาจากด้านข้าง ในมือของเขาถือกระบี่ที่มีความยาวกว่าสี่ฟุตเอาไว้ ร่างกายของเขาถูกโอบล้อมไว้ด้วยคลื่นพลังปราณสีขาว ฉับพลันนั้นร่างของเด็กหนุ่มก็พลันกลายเป็ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะยานไปยังร่างของวานรั์ขนขาวด้วยความเร็วแสง
เงากระบี่เล่มหนึ่งทาบทับร่างของของวานรั์ขนขาวเอาไว้ จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งวานรก็เริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด
มู่เฟิงกลืนเม็ดยาโลหิตลงไปหนึ่งเม็ด จากนั้นเด็กหนุ่มก็นำมีดแกะสลักลายเส้นออกมากก่อนจะเริ่มลากลายเส้นลงบนผืนดิน เพียงไม่นานค่ายกลของเขาก็เสร็จสมบูรณ์
เมื่อมู่เฟิงเดินเข้าไปในแผนภาพค่ายกล ฉับพลันนั้นตัวค่ายกลก็พลันเปล่งแสงสีขาวออกมาครอบคลุมพื้นที่วงกลมในรัศมีสองเมตรและกลายเป็ชั้นปราการป้องกันทันที
นี่คือค่ายกลป้องกันขั้นสอง มันสามารถป้องการการโจมตีจากผู้เแข็งแกร่งระดับหนิงกังได้ใน่เวลาหนึ่ง
มู่เฟิงนั่งลงในค่ายกลป้องกัน และเริ่มฟื้นฟูอาการาเ็
เพียงไม่นานร่างของไป๋จื่อเยว่ก็ปลิวกระเด็นจากแรงหมัดของวานรั์ขนขาว เมื่อเห็นดังนั้นมู่ขวงก็หัวเราะออกมาดังลั่น จากนั้นเขาก็เดินออกมาเพื่อเป็คู่ต่อสู้ของวานรั์ขนขาว เวลานี้เ้าอสูรร้ายผู้น่าสงสารได้กลายเป็คู่ซ้อมของเด็กหนุ่มทั้งสามคนไปแล้ว
เวลาผ่านพ้นไปอีกหนึ่งเดือน หิมะบนพื้นยังไม่ทันละลาย ทว่าอีกไม่นานก็จะเข้าสู่่วสันตฤดูแล้ว
ตอนนี้เงาร่างสี่ร่างกำลังนอนแผ่อยู่บนกองหิมะ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยปล่อยให้ความหนาวเย็นของหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาทับถมลงบนร่างกาย
นอกจากมู่เฟิง มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่แล้วยังจะมีใครอีก? โอ๊ะ! แท้จริงแล้วก็เป็เ้าวานรั์ขนขาวนี่เอง
กล่าวแล้วก็ช่างเป็เื่น่าขัน หลังจากที่พวกเขาสามคนหนึ่งตัวต่อสู้กันไปมาในทุกสองวัน ระหว่างพวกเขาก็เกิดความรู้สึกเป็มิตรต่อกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น แน่นอนว่าอสูรร้ายประเภทวานรเป็สัตว์ที่มีไหวพริบดีเป็ที่สุด
มู่เฟิงเอนศีรษะนอนลงบนหน้าท้องอันอ่อนนุ่มของเ้าวานรั์ขนขาว และเอื้อมมือออกไปคว้าเกล็ดหิมะ ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าทะนงองอาจของเด็กหนุ่ม
“พี่เฟิง อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวสันตฤดูแล้ว เกรงว่าทางสำนักศึกษาราชวงศ์คงจะเริ่มเปิดรับสมัครศิษย์ใน่นั้น”
หนุ่มน้อยไป๋จื่อเยว่กล่าวขึ้นขณะนอนพิงขาของเ้าวานรั์
“ถูกต้อง อีกหนึ่งเดือนข้าก็จะได้เจอพวกนางแล้ว”
ดวงตาของมู่เฟิงทอประกายอ่อนโยน
“พี่หญิง ว่านเอ๋อร์ โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ข้าไม่อาจเขียนจดหมายตอบพวกท่านได้”
“ในที่สุดก็จะได้กลับไปแล้ว กลับไปคราวนี้ ข้าจะทำให้พวกคนที่มันตาต่ำกล้ามาดูถูกพี่เฟิงต้องได้รับความทุกข์ทรมานแน่”
มู่ขวงลุกขึ้นนั่งก่อนจะชูกำปั้นขึ้นฟ้า
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น จิติญญาแห่งการต่อสู้ของมู่เฟิงก็ลุกโชนขึ้นมาทันที สายตาที่เคยดูถูกเขาเ่าั้ เขาจะทำลายมันให้สิ้นซาก
“เฮ้ ข้าด้วย แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน แต่คนที่ทำให้พี่เฟิงขุ่นเคือง กระบี่ในมือข้าไป๋จื่อเยว่ผู้นี้ก็จะทำให้พวกเขาได้เห็นดีเหมือนกัน”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวกลั้วหัวเราะ
“เอาละ ได้เวลากลับแล้ว กลับไปเก็บข้าวของที่จวนตระกูลมู่ ข้าจะพาพวกเ้ากลับเมืองหลวง”
มู่เฟิงลุกขึ้นยืน จากนั้นเด็กหนุ่มอีกสองคนก็พยักหน้าและลุกขึ้นตาม
“โฮก…”
วานรั์ขนขาวก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน คล้ายว่ามันจะรู้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสามกำลังจะจากไป ท่าทางของมันจึงดูไม่เต็มใจนัก
“วานรเฒ่า พวกเรากำลังจะไปแล้ว ถ้ามีโอกาสในอนาคตพวกเราจะกลับมาหาเ้า ส่วนสิ่งนี้ข้ามอบให้เ้า”
มู่เฟิงะโขึ้นไปนั่งบนไหล่ของวานรั์ขนขาว ก่อนจะลูบมือลงบนหัวของมัน เขานำขวดยาและหินเทวะออกมาสองก้อนเพื่อมอบให้กับมัน
ภายในขวดหยกมีเม็ดยาโลหิตขั้นสองเก้าเม็ดและเม็ดยาโลหิตขั้นสามอีกหนึ่งเม็ด
วารนรั์ขนขาวรับมันเอาไว้ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับออกมาสองครั้ง จากนั้นมันก็มองไปยังพวกมู่เฟิงที่กำลังเดินห่างออกไป อีกฝ่ายหันกลับมาโบกมือให้มัน และะโขึ้นขี่หลังสัตว์พาหนะเพื่อจากไป เหลือเพียงรอยหิมะทิ้งเอาไว้เื้ั
“โฮก…!”
เมื่อเห็นสหายทั้งสามของมันจากไป วานรั์ขนขาวก็ทุบอกตัวเองและร้องคำรามออกมา จากนั้นมันก็เก็บรักษาสิ่งที่มู่เฟิงมอบให้เอาไว้ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าหิมะ...
ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ผู้ใดบ้างจะไม่มีความรู้สึก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้