ทำแบบนี้้าอะไรกันแน่?
“ขอบพระทัยในความหวังดีของฮองเฮา แต่ปกติแล้วท่านเองก็มีงานยุ่งทั้งวัน ข้าไม่ไปรบกสนจะดีกว่า อีกอย่างข้าก็อยู่ตำหนักลิ่วชิงนี่จนชินแล้ว
“พี่สาว อย่าสุภาพกับข้าเลย ในวังหลังแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็อยากอยู่ข้างๆ ฮ่องเต้ทั้งนั้น มีเพียงข้าและพี่สาวเท่านั้นที่ติดตามเขามาตลอดั้แ่ตอนที่ฮ่องเต้เป็องค์ชายสาม ในวังหลังใครหน้าไหนที่กล้าล่วงเกินท่าน แค่บอกข้ามา”
“ขอบพระทัยเพคะ”
หลังจากอ้อมโลกอยู่นาน นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางสินะ ดึงนางให้เข้าพวก พอคิดดูแล้ว ชีวิตในวังของชางรั่วอวี้หลายปีมานี้ แม้ว่านางจะเป็ฮองเฮา แต่ชีวิตของนางก็ไม่ง่าย ไม่ต้องพูดถึงนิสัยของอวิ๋นซู่ ที่เ็าและเอาแน่เอานอนไม่ได้ และยากที่จะเข้าใจ แค่สนมซินซึ่งตอนนี้ได้รับความโปรดปรานก็มากพอสำหรับนางแล้ว
จากความเข้าใจของลิ่วซีเกี่ยวกับกู้ซิน นางยังไม่เต็มใจที่จะยอมสูญเสียความโปรดปรานของอวิ๋นซู่ นางหยิ่งยโสเหมือนตอนที่ตนยังเป็เด็กในตอนนั้น
เข้าวังมาสิบกว่าวัน แม้ว่าลิ่วซีจะอยู่ในตำหนักไม่ออกไปไหน ดูเหมือนจะไม่ไปมาหาสู่กับใคร แต่จริงๆ แล้ว ในที่มืดนั้น นางได้รู้จักสนมทุกตำหนักเป็อย่างดี ในใจมีแต่เจตนาทำร้ายคนอื่น และหวาดระแววคนอื่น ดังนั้นสนมในวังหลังแห่งนี้ ั้แ่ภูมิหลังครอบครัวจนถึงหน้าตานิสัยเป็อย่างไร ได้รับความโปรดปรานหรือไม่ นางรู้ดี
จริงๆ แล้วั้แ่อวิ๋นซู่ขึ้นครองราชย์จนมาถึงตอนนี้ แม้ว่าใต้หล้าจะสงบสุข แต่จริงๆ แล้วกลับมีปัญหาทั้งภายในและภายนอก ข้างนอกมีแคว้นเสวียน ข้างในก็มีพรรคพวกขององค์ชายใหญ่ เขามีความสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากพอจะไปให้ความรักกับนางสนมเหล่านี้ วังหลังจึงไม่นับว่ามีการต่อสู้รุนแรงเกินไป
ตามความเข้าใจของนาง ตอนนี้วังหลังถูกแบ่งเป็สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็ฝ่ายของฮองเฮาชางรั่วอวี้ และอีกฝ่ายคือฝ่ายของสนมกู้ซิน ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่มีลูกกับอวิ๋นซู่ ดังนั้นจึงยากที่จะบอกว่าใครเป็ผู้ชนะ
ลิ่วซีมองจากมุมมองของคนนอก มองเพียงครู่เดียวก็รู้ถึงปัญหา สิ่งที่เรียกว่าการเอาเข้าพวก จะทำอย่างไรถ้าชนะ สุดท้ายก็สู้คำพูดของอวิ๋นซู่ไม่ได้ แค่ประโยคเดียวก็สามารถเอาชนะเ้าได้ สามารถทำลายพวกเ้าได้
ชางรั่วอวี้อ้อมค้อมอยู่ครึ่งวัน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดงจุดยืนให้ลิ่วซีเห็น แต่ลิ่วซีก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วย แม้ว่าการเข้าพวกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ประดยชน์จากมันไม่ได้
นางส่งชางรั่วอวี้ออกไปจากตำหนักลิ่วชิง อารมณ์ของนางก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางประหม่าเกินไป จนแข็งทื่อเหมือนไม้ กระทั่งนางคิดว่าทุกคนเป็ศัตรูไปหมด นางคอยระวังอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าหากเผลอไปอาจจะถูกใส่ร้าย ตอนนี้นางจะแพ้ไม่ได้ และไม่มีวันจพแพ้ ั้แ่วันที่นางก้าวเข้ามาในวังกับอวิ๋นซู่ เป้าหมายเดียวของนางนั่นคืออวิ๋นซู่ นาง้าให้เขามอบสิทธิ์ในการควบคุมชะตาชีวิตของตัวนางเอง
เสียวอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของนางซีดเผือดเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ลิ่วซีอย่างกังวล
“เป็อะไรไป?” ลิ่วซีถามนาง
เสียวอวี่ลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายนางก็เปิดปากพูดออกมาในที่สุด
“บ่าวเคยรับใช้สนมหว่านมาก่อน”
“สนมหว่าน?” ลิ่วซีไม่คุ้นกับชื่อนี้
“พระสนมหว่านตายไปแล้วเพคะ ในวังไม่มีใครกล่าวถึงนาง สนมหว่านเป็สตรีที่น่าสงสาร นางเป็สาวชาวบ้านที่ฮ่องเต้พากลับมาจากนอกวัง นางเชี่ยวชาญด้านดีดพิณ หมากรุก เขียนพู่กันและการวาดภาพ นางอยู่ที่วังได้เพียงครึ่งปี อยู่ๆ นางก็ป่วยหนักและเสียชีวิต ทุกคนบอกว่าอาการป่วยของนางแปลกมาก เหมือนถูกวางยาพิษ ก่อนที่นางจะป่วย ฮองเฮาไปเยี่ยมนาง พูดคุยกันเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นเอง สนมหว่านและสนมซินก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ค่อยเข้ากับฮองเฮามากนัก ข้าเกรงว่า…”
เมื่อเสียวอวี่พูดเช่นนั้น น้ำเสียงของนางก็เหมือนหายใจไม่ออกเล็กน้อย นางมองไปที่การแสดงออกของลิ่วซีด้วยความกังวล ท่าทางเช่นนี้ของเสียวอวี่ทำให้ลิ่วซีนึกถึงเตี๋ยเย่ที่อยู่นอกวัง นางห้ามเสียวอวี่ไม่ต้องพูดอีก
“เื่เมื่อครู่ ต่อไปอย่าเล่าให้ใครในวังฟัง ดูให้มาก ฟังให้มาก ทำให้มาก แต่การพูด ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็พูดให้หรือหรือไม่ต้องพูดเลย เข้าใจหรือไม่? เสียวอวี่”
“บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ”
เสี่ยวหยูพยักหน้าเห็นด้วย
“คืนนี้สิบห้าค่ำ เป็คืนที่พระจันทร์เต็มดวง ตามธรรมเนียมในวัง เหล่าสนมในวังจะไปที่อุทยานหลวงเพื่อชมจันทร์ ฮ่องเต้ก็จะไปด้วย อันกงกงมาแจ้งเมื่อตอนบ่ายแล้ว ให้ท่านเตรียมตัวเข้าร่วมได้ เมื่อครู่นี้ฮองเฮาก็ตั้งใจกำชับท่านให้ไปเข้าร่วมด้วย”
“อืม”
“เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนะเพคะ”
“อืม ขอบใจนะ”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียวอวี่ก็นำแป้งสีแดงและชุดคลุมสีสันสดใสมาให้นางลองสวม เสียวอวี่อยากให้นางแต่งหน้าหนาๆ สวมชุดสีสันสดใสเข้าร่วม
ลิ่วซีมองไปที่นางด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เ้าออกไปก่อนเถอะ อีกสักครู่ข้าค่อยเตรียมตัว”
ลิ่วซีเลือกชุดที่เรียบง่ายมากๆ ให้ตัวเองสวม ไม่มีเครื่องประดับ บนศีรษะไม่มีอะไรมากมาย มีเพียงปิ่นธรรมดาที่ใช้ปักผมเท่านั้น
เมื่อนางเดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยสภาพนี้ แววตาของเสียวอวี่ก็เบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ
“ท่านจะใส่ชุดนี้ไปงานเลี้ยงจริงๆ หรือ ตามที่อันกงกงบอกมา ในคืนนี้ฮ่องเต้ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นสตรีจากตำหนักอื่นๆ จึงเตรียมตัวั้แ่เช้าจรดเย็น ทุกคนล้วนตั้งใจแต่งตัวสวยงามไปเข้าร่วมงานเลี้ยง ด้วยความหวังว่าจะทำให้ฮ่องเต้เหลียวมอง ท่านสวมชุดเรียบง่ายแบบนี้ออกไป อย่าว่าแต่ฮ่องเต้จะไม่เหลียวมองท่าน แม้แต่นางสนมคนอื่นๆ ก็ยังจะหัวเราะเยาะท่านด้วย”
แต่ลิ่วซีไม่สนใจ ประการแรก นางชอบเสื้อผ้าที่เรียบง่ายและใส่สบาย ประการที่สอง นางเชื่อว่าอวิ๋นซู่ไม่ใช่คนที่มองคนจากภายนอก ประการที่สาม เหตุใดนางต้องไปแข่งขันกับสตรีคนอื่นเพื่อดึงจุดสนใจและตกเป็เป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะด้วย?
เสียวอวี่พูดไม่ออก ทำได้เพียงเดินตามนางไปที่อุทยานหลวงด้วยตัวที่สั่นเทา
“เสียวอวี่ เ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่ที่มาติดตามรับใช้เ้านายที่ไม่มีฐานะอย่างข้า?” ในวังหลังที่น่าเกรงขามนี้ หากผู้เป็นายมีอำนาจ บ่าวรับใช้ที่ติดตามก็จะมีอำนาจด้วย
ทันทีที่นางถามคำถามนี้ออกไป เสียวอวี่ก็คุกเข่าลงแล้วตอบกลับอย่างจริงใจ
“การได้มารับใช้ท่าน ถือเป็บุญของข้า ท่านปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเท่าเทียม ท่านเห็นอกเห็นใจบ่าวรับใช้ แม้ว่าข้าจะเคยทำผิดแต่ท่านก็ไม่ลงโทษ นี่คือบุญที่เสียวอวี่ได้ทำมาแต่ชาติปางก่อน เสียวอวี่ไม่ขอมีชื่อเสียงหรืออำนาจ ขอแค่ได้รับใช้ท่านอย่างนี้ตลอดไป”
“ลุกขึ้นเถอะ”
ลิ่วซีก้มตัวลง พยุงเสียวอวี่ลุกขึ้นมา เสียวอวี่ถือตะเกียงไว้ข้างหน้า และทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่อุทยานหลวง คิดไม่ถึงว่านางจะเป็คนที่มาถึงคนสุดท้าย
แม้แต่อวิ๋นซู่ก็มาถึงแล้ว
เขานั่งตรงกลางด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ชางรั่วอวี้และกู้ซินก็นั่งทางด้านซ้ายและด้านขวา ขณะที่สนมคนอื่นๆ ก็นั่งลงตามลำดับขั้น มีที่นั่งที่ว่างเพียงที่เดียว ซึ่งอยู่ตรงกลางด้านหน้าอวิ๋นซู่
นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทาย ก่อนจะนั่งลงที่วางนั่น
เดิมทีทุกคนก็อยากรู้เื่ของนางมาก แต่นางมาช้ากว่าคนอื่น ดังนั้นจึงได้รับความสนใจจากผู้อื่นไม่น้อย
อวิ๋นซู่เงียบมาตลอด ไม่ปริปากสักคำ ก็มองมาที่นางเหมือนกับสายตาคนอื่นๆ และนางก็นั่งอยู่ตรงข้ามพอดี ไม่มีที่ให้นางหลบซ่อน ทุกการเคลื่อนไหว หรือแม้แต่สีหน้าของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา
เมื่อกู้ซินเห็นนาง สีหน้าก็ซีดเผือดทันที อาจเป็เพราะจำนางได้ สายตาที่มองมาที่นางนั้นเต็มไปด้วยความเ็า ความเ็านี้ทำให้ลิ่วซีรู้สึกผิดไม่น้อย หลังจากนางกลับมาในชาตินี้ นางได้บังเอิญไปรู้จักกู้หนานเฟิง และทำให้เขาได้รับอันตรายมากมาย จนป่านนี้นางก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวิ๋นซู่เชื่อนางจริงๆ หรือไม่ ว่านางไม่เคยอยู่ในตระกูลเฟิง? หากไม่เชื่อ นั่นอาจเป็หายนะครั้งใหญ่ของกู้หนานเฟิงแล้ว ดังนั้นนางจึงยอมรับความเกลียดชังของกู้ซินที่มีต่อนางอย่างเต็มใจ
จากนั้นชางรั่วอวี้ก็ยืนขึ้น และพูดอย่างสนิทสนม
“พี่สาว ท่านมาสาย ดังนั้นนควรถูกลงโทษหนึ่งจอก ฝ่าาท่านคิดเช่นกันหรือไม่?”
อวิ๋นซู่ไม่ตอบ เขารู้ว่าลิ่วซีดื่มไม่ได้ แต่กลับเห็นลิ่วซียกจอกเหล้าขึ้นมา
“ข้ามาสาย สมควรถูกลงโทษ จอกนี้ถือว่าเป็การชดเชยให้ทุกท่าน”
นางดื่มมันในอึกเดียวซึ่งทำให้นางรู้สึกแสบคอเล็กน้อย แต่ก็ยังพอทนได้
ชางรั่วอวี้เป็คนแคว้นเป่ยเจวี๋ย คุ้นเคยกับการดื่มเหล้าเช่นนี้มาแต่เด็ก ดังนั้นนางจึงมีความสามารถในการดื่มเหล้าที่ยอดเยี่ยม จากนั้นก็เทเหล้าลงจอกของตัวเองและจอกของนางจนเต็ม
“ส่วนจอกนี้ถือเป็การเคารพพี่สาวจากข้า”
นางดื่มมันในอึกเดียว และลิ่วซีก็ดื่มมันในอึกเดียวเช่นกัน และทุกคนบนโต๊ะต่างก็อุทานว่านางดื่มเหล้าเก่ง จริงๆ แล้ว ชางรั่วอวี้พยายามสร้างความลำบากให้นาง แต่นางไม่ได้ขี้ขนาด กลับรับมือด้วยท่าทีที่ไม่อ่อนน้อมจนดูต่ำต้อยหรืออวดดีจนดูหยิ่งยโสเกินไป
การดื่มเหล้าของนางนั้นได้ฝึกมาั้แ่อยู่ในยุคปัจจุบัน ในเวลานั้นนางตามโจวเฉิงิไปที่ร้านเหล้าทุกวัน ทั้งสองคนดื่มเหล้าจำนวนมากจนเมา พวกเขาเดินโซเซตลอดทางจนไปถึงบ้านย่านสะพานซานหยวน วันต่อมาพวกเขาก็ไปทำงานต่อ เป็เช่นนี้อยู่นาน ฝึกดื่มเหล้าจนตอนนี้ดื่มเป็พันแก้วก็ไม่เมาแล้ว
แต่อวิ๋นซู่ไม่รู้ ได้แต่ขมวดคิ้วมองนาง ชางรั่วอวี้ มีสายตาเฉียบแหลมและมีไหวพริบดี เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงในใบหน้าของฮ่องเต้ นางจึงเลิกชักชวนเสียวอวี่ดื่มอีก
ในโต๊ะนี้ ตำแหน่งของลิ่วซีนั้นต่ำต้อยที่สุด ขณะนั้นที่อวิ๋นซู่ยังเป็องค์ชาย นางกลับมาวังกับเขา ยังไม่ได้แต่งงานอย่างเป็ทางการ ต่อมาก็ถูกส่งตัวเข้าไปขังในตำหนักลิ่วฉือ และตอนนี้เขาเป็ฮ่องเต้ นางจึงเป็คนที่ไร้ตำแหน่ง
งานเลี้ยงในคืนสิบห้าค่ำนี้ เดิมทีชางรั่วอวี้เสนอขึ้นมา เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับเหล่าสนม เหมือนกับงานเลี้ยงของครอบครัว ทุกคนสามารถพูดคุยกันได้อย่างอิสระ ดังนั้นแม้ว่าอวิ๋นซู่จะอยู่ด้วย แต่ก็ผ่อนคลายกว่าปกติ
อันกงกงถามฮ่องเต้คล้ายหยอกล้อ
“ถ้าอย่างนั้นท่านนี้ พวกเราควรจะเรียกแม่นางลิ่ว หรือแม่นางซีดีพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจิ้งอี้ผิน สนมซี” คำพูดที่เ็าและไร้อารมณ์ของอวิ๋นซู่ ทำให้ลิ่วซีมีฐานะอย่างเป็ทางการ ทันใดนั้นทั้งโต๊ะก็เกิดเสียงฮือฮา ชางรั่วอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีกับพี่สาวด้วย”
และสนมคนอื่นๆ ก็เอ่ยตาม
“คำนับสนมซี”
กู้ซินเป็คนเดียวที่มองนางอย่างเ็า ราวกับกำลังพยายามจับผิดนาง
ลิ่วซีไม่กล้าสบตากู้ซินมากเกินไปในตอนนี้ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็นความผิดปกติ ดังนั้นนางจึงหลีกเลี่ยง
เดิมทีนางก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบๆ เพราะมีอวิ๋นซู่อยู่ด้วย ทุกคนจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงดูดความสนใจของเขา มีผู้นำอย่างชางรั่วอวี้และกู้ซินที่ต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ในคำพูดนั้นก็แฝงไปด้วยการจิกกัด
ลิ่วซีฟังมานาน จนรู้สึกเบื่อเล็กน้อย ดังนั้นจึงเงยหน้าทอดสายตามองออกไประยะไกล พยายามกระตุ้นกล้ามเนื้อที่คอแข็งทื่อของตน นางไม่ได้มองจริงจังมากนัก แต่แววแรก นางกลับเห็นร่างหนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่นางอยู่ไกลๆ แม้จะห่างกันมาก แต่นางจำคนที่บุกเข้ามาในวังได้ในพริบตา คนที่เฝ้ามองนางอย่างเงียบๆ จากระยะไกลคนนั้นก็คือเตี๋ยเย่
แวบแรกที่เห็นนั้น ทำให้นางลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ปัง....
จานอาหารตกลงบนพื้น ขณะที่นางลึกขึ้นนั้นก็ชนกับเสียวอวี่ที่เพิ่งยกจานเข้ามาด้านหลัง แต่น่าเสียดายที่จานอาหารนั้นเป็ซุปร้อน และมันก็ราดมาบนหลังของนาง ทำให้แผ่นหลังปวดแสบปวดร้อนแต่มันก็ช่วยเรียกสติของนางกลับมา ถ้าเมื่อครู่นางเผลอเรียกชื่อเตี๋ยเย่ ผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ
เมื่อสติของนางกลับมา ก็รู้สึกแสบที่หลังเล็กน้อย และเหล่าสนมหลายคนก็อุทานออกมาอย่างใ
เสียวอวี่คุกเข่าลงขอโทษทันที
“พระสนทโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ”
และอวิ๋นซู่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มาถึงตัวนางอย่างรวดเร็ว คว้าไหล่ของนางแล้วถามด้วยความร้อนรน
“ลวกตรงไหน?”
เพราะมีชุดกั้นกลาง และซุปร้อนก็ยกมาจากครัวจึงทำให้หายร้อนไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่ร้อนมากนัก นางจึงส่ายหน้า
“ไม่เป็ไร เดี๋ยวข้าจะไปเปลี่ยนชุด”
อวิ๋นซู่เห็นกระโปรงเปียกด้านหลังของนางเปียกโชก แววตาก็เปลี่ยนเป็เ็าทันที แยังคงถามนางอย่างกังวล
“ลวกที่หลัง เจ็บหรือไม่?”
“ไม่เจ็บเพคะ ข้าไม่เป็อะไรฎ
ชางรั่วอวี้รีบออกคำสั่งทันที
“รีบไปตามหมอหลวงมา”
เพราะความสะเพร่าของนาง จึงทำให้เกิดเื่วุ่นวาน นางจึงรีบโบกมือ
“ข้าไม่เป็ไร ไม่ต้องให้หมอหลวงมาที่นี่หรอก ทุกท่านกินข้าวต่อเถอะ”
“แน่ใจนะว่าไม่เจ็บ” อวิ๋นซู่ควบคุมน้ำเสียงมาตลอด
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว ข้าไม่เป็ไรจริงๆ!”
สายตาของเขามืดมน ก่อนจะเอ่ยทอดถอนใจ
“เมื่อก่อนเ้าบอบบาง”
ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เ็า จ้องมองไปที่เสียวอวี่ที่กำลังสั่นเทาอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า
“”แค่ยกซุปชามเดียวยังทำได้ไม่ดีพอ จะเก็บไว้ทำไม?”
เสียวอวี่หมอบลงกับพื้นและขอความเมตตา
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว ฮ่องเต้ยกโทษให้หม่อมฉันด้วย สนมซีโปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วย”
นางสั่นไปทั้งตัว ใบนหน้าก็ซีดเผือด ลิ่วซีทนไม่ได้ จึงดึงชายเสื้อของอวิ๋นซู่ “ฝ่าา ข้าไม่เป็อะไรจริงๆ นางก็ไม่ได้ตั้งใจ ได้โปรดยกโทษให้นางด้วยนะเพคะ”
อวิ๋นซู่เหลือบมองนาง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลิ่วซีถึงได้รู้สึกว่าเขาโกรธมาก
“ทำผิดครั้งเดียวก็เกินพอ ให้อภัยนางหรือ? จะให้อภัยได้อย่างไร? ปลิดชีพนางหรือตัดสองมือดี?”
เมื่ออวิ๋นซู่พูดเช่นนี้ ท่าทางของเขาก็โเี้ยิ่งนัก เขาไม่มองเสียวอวี่ที่อยู่บนพื้น เอาแต่จ้องมองลิ่วซี
เมื่อเสียวอวี่ได้ยินว่านางกำลังจะถูกตัดมือ ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านราวกับใบไม้ต้องลม นางคลานไปที่เท้าของ ลิ่วซี ยังคงคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา น้ำเสียงนั้นน่าสังเวทและทำให้หัวใจของคนรู้สึกเ็ป
แผ่นหลังของลิ่วซีเ็ปเล็กน้อย และรู้สึกเ็าไปทั่วร่าง นี่เป็ชะตากรรม แต่นางไม่สามารถให้ใครมาาเ็เพราะความประมาทของนางได้ ดังนั้นนางจึงคุกเข่าลงข้างอวิ๋นซู่
“ฝ่าา ข้าขอร้อง ไว้ชีวิตนางด้วย”
นางหมอบลงกับพื้น อวิ๋นซู่มองนางคุกเข่าบนพื้นอย่างเ็า แววตายังคงมืดมน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ลากออกไป โบยห้าสิบไม้!”
ต่อมา ความทรงจำเดียวที่เหลืออยู่ในสมองของลิ่วซีในคืนนั้น ก็คือเสียงกระดานที่ตีลงบนหลังของเสียวอวี่และเสียงร้องไห้ที่น่าเวทนาของเสียวอวี่
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
ภายใต้การจับตามองของทุกคน อวิ๋นซู่ทิ้งทุกคนไว้ข้างหลัง และลากนางกลับไปที่ตำหนักลิ่วชิง การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้อ่อนโยน กระทั่งความรุนแรงนั้นยังแฝงไว้ด้วยความหยาบคายและรังเกียจ ดึงแขนนางและเดินไปก้าวใหญ่
เมื่อมาถึงตำหนักลิ่วชิง เขาไม่ยอมปล่อยมือของนาง แต่ยกเท้าเตะประตูออก และดึงนางเข้าไป
ลิ่วซีถูกเขาลากไปตลอดทาง เขามีรูปร่างสูง ก้าวเดียวของเขาเท่ากับสองก้าวของนาง นางที่อยู่ด้านหลังยังรู้สึกว่าตนกำลังจะบิน ในที่สุดก็มาถึงตำหนักลิ่วชิงของตน
นางอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“เจ็บ”