ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันนี้ ทำให้หลายวันที่ผ่านมาั้แ่พานางกลับเข้าวัง เขาก็ไม่เคยให้นางได้เห็นเขาเลย อีกอย่าง ลิ่วซีในตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
เจินลิ่วซีในอดีตไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย มักหัวเราะและร้องไห้และชอบก่อปัญหา นางเป็เด็กสาวที่เอาแต่ใจ ทำสิ่งใดล้วนหุนหันพลันแล่น ประมาทไปทั่ว แม้แต่ถูกคนใส่ร้ายก็ยังโง่เขลาไม่รู้ตัว
แต่เจินลิ่วซีในตอนนี้ดูสงบและเงียบขรึมเหมือนผ่านประสบการณ์มามากมาย แววตาของนางไร้ซึ่งคลื่นความรู้สึกอยู่เสมอ แม้แต่อยู่บนลานปะาในวันนั้น นางเอาแต่มองเขาที่เดือดดาลด้วยท่าทีนิ่งสงบ และเอ่ยเสียงต่ำ
“ปล่อยบิดาข้าไปเถอะ”
เขาที่พานางกลับวัง เขารู้ว่านางไม่เต็มใจ แต่นางก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกมา เจินลิ่วซีที่โดดเดี่ยว เข้มแข็งและไร้ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคย และความไม่คุ้นเคยนี้ทำให้เขาตื่นตระหนก นางไม่ใช่อาซีที่เขาสามารถมองออกได้ภายในครู่เดียวอีกแล้ว
ในคืนนั้น ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เงียบสงบได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแ่เบาของนาง เขาผ่อนคลายลง และคิดวิธีปฏิบัติต่อนางในอนาคต ปฏิบัติต่อเจินลิ่วซีที่ไม่รักเขาอีกต่อไป
ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่างขึ้น และเริ่มมีเสียงนกร้องดังลอยมา เมื่อลิ่วซีลืมตาขึ้นมาก็ใเพราะอวิ๋นซู่อยู่ใกล้นางมาก นางถอยออกไปตามสัญชาตญาณ
อวิ๋นซู่มองนางอย่างเ็า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ปล่อยให้นางลุกขึ้นไปแต่งตัว
ลิ่วซีััได้ลางๆ ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงเดินไปด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้วหยิบเสื้อผ้าให้กับเขา มองดูท่าทางทรงพลังไม่ธรรมดาและความดูถูกใต้หล้า ลิ่วซีถึงได้พูดออกมา
“ในที่สุดเ้าก็ทำให้ความปรารถนาของเ้าเป็จริง กลายเป็ฮ่องเต้คนต่อไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง อวิ๋นซู่ก็หันไปทางนางทันที เอื้อมมือบีบคางของนาง แววตาของเขาเ็าและโเี้
“เพราะฉะนั้น เ้าก็อย่าคิดหนีออกจากวังหลังนี้แม้แต่ก้าวเดียว ใต้หล้านี้เป็ของข้า เ้าหนีไม่พ้นหรอก”
นางรู้สึกเจ็บคางเล็กน้อย เขาที่โเี้ในตอนนี้จะเป็คนที่อ่อนโยนและคลั่งไคล้นางเมื่อคืนนี้ได้อย่างไร? แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็ฮ่องเต้ สามารถตัดสินได้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของนางในวังหลังแห่งนี้จะสงบสุขหรือไม่ ั้แ่ที่นางเข้ามาในวังหลัง นางก็รู้ว่าชีวิตของนางไม่ใช่ของนางอีกต่อไป นางจึงอ่อนน้อมถ่อมตน เอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ข้าไม่ไปแล้ว จะไม่ไปไหนแล้ว จะอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงของนางนั้นจริงใจ แววตาของนางก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
อวิ๋นซู่ได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็มองนางอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ปล่อยมือจากคางของนาง วินาทีที่เขาปล่อยมือ อยู่ๆ ลิ่วซีก็เห็นแผลเป็บนข้อมือของเขามากมาย นางอดไม่ได้ที่จะจับมือข้างนั้นไว้ มองแผลเป็จำนวนมากนั้นอย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยถาม
“าแพวกนี้?”
อวิ๋นซู่สะบัดมือออกจากมือของนางอย่างรังเกียจ ก่อนจะเดินออกไปจากตำหนักลิ่วชิงโดยไม่หันกลับมามอง
ได้ยินเพียงเสียงหวาดกลัวของเสียวอวี่ดังอยู่ในลาน
“ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ”
หลังจากที่อวิ๋นซู่จากไป เสียวอวี่ก็เข้ามาในห้องพร้อมน้ำอุ่นสำหรับล้างตัว ก่อนจะเห็นความยุ่งเหยิงในห้อง บนโต๊ะและเก้าอี้ ใบหน้าของนางแดงเรื่อเล็กน้อย แต่นางก็อดหลุดปากพูดออกมาอย่างตื่นเต้นไม่ได้
“ในที่สุด ฮ่องเต้ก็ทรงยอมให้ท่านรู้ว่าพระองค์เสด็จมาหาท่านทุกคืน”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลิ่วซีไม่เข้าใจ
เสียวอวี่ตอบอย่างมีความสุข
“ั้แ่คืนที่ท่านเข้ามาในตำหนักลิ่วชิง ฮ่องเต้ก็เสด็จมาพบท่านทุกคืนตอนที่ท่านหลับ บางครั้งฝ่าาก็ประทับอยู่ครู่หนึ่งแล้วจากไป บางครั้งก็ประทับอยู่จนถึงรุ่งเช้าจึงจากไป”
“เหตุใดเ้าไม่บอกข้าก่อนหน้านี้”
“ฮ่องเต้ไม่ให้ข้าพูด”
ชั่วขณะนั้นลิ่วซีไม่เข้าใจอวิ๋นซู่ ในเมื่อเขาทำทุกอย่างเพื่อตามนางกลับวัง กลับทิ้งนางไว้ในตำหนักลิ่วชิง แต่เขากลับมาพบนางทุกคืนตอนที่นางหลับสนิท ไม่ยอมให้นางรู้
หลังจากที่อวิ๋นซู่ออกไป นางก็ล้างหน้าบ้วนปาก หลังจากกินอาหารเช้าแบบง่ายๆ เสร็จแล้ว ก็สั่งให้เสียวอวี่ไปหาหมึก กระดาษ พู่กัน และหินฝนหมึกมาให้นาง นางอยากจะฝึกเขียนตัวอักษรจีนโบราณเสียหน่อย เพราะในยุคปัจจุบันนั้นนางคุ้นชินกับตัวอักษรจีนแบบย่อ พอกลับมาในยุคโบราณ ความรู้สึกเคยชินที่มือจึงต่างไปเล็กน้อย ตัวอักษรที่เขียนออกมาบิดเบี้ยวอยู่บ้าง ผิดจากมาตรฐาน แม้ว่าเสียวอวี่จะไม่เข้าใจ แต่นางก็แยกแยะดีชั่วได้ ดังนั้นนางจึงนั่งยิ้มทึมทื่ออยู่ด้านข้าง และไม่ลืมที่จะเอ่ย
“ลายมือของฮ่องเต้ว่ากันว่างดงามที่สุดในแคว้นทง"
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง การเขียนของลิ่วซีก็หยุดนิ่ง และฝืนตวัดเส้นสุดท้ายของคำว่าเฟิงให้จบ แบบนี้ ถ้าอวิ๋นซู่มาเห็น เขาต้องหัวเราะเยาะนาง หาว่านางแม้แต่จับไก่ก็ไม่มีแรง แม้แต่จับพู่กันก็ยังจับไม่ได้อย่างแน่นอน
ลายมือของอวิ๋นซู่นั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง สอดคล้องกับสำนวนที่ว่าลายมือเป็เช่นไร คนก็เป็เช่นนั้น ตอนที่ยังเป็วัยหนุ่มสาว มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาเคยไปขอดูดวงการแต่งงานในวัดยินเชว่ มีชายชราขอให้เขาเขียนตัวอักษรมาหนึ่งตัว นางเขียนคำว่าซู่ ส่วนอวิ๋นซู่เขียนคำว่าซี ตอนนั้นชายชราใกับตัวอักษรของเขา จนลืมดูดวงชะตา และจ้องมองการแต่งตัวของอวิ๋นซู่
“นี่วิเศษมาก หากคุณชายกำเนิดในราชวงศ์ ใต้หล้านี้จะเป็ของท่าน”
ลิ่วซีชื่นชมความสามารถของชายชรา ทว่าอวิ๋นซู่กลับไม่สนใจ กลับพูดกับชายชราคนนั้นว่า
“ข้าจะดูดวงการแต่งงาน”
ชายชราลูบเคราหงอกของตน หลังจากมองอยู่นาน เขายังคงส่ายศีรษะและพูดออกมา
“มีความรักที่ลึกซึ้ง แต่วาสนาช่างตื้นเขิน”
“ฟ้ามืดแล้ว เก็บของกลับบ้าน น่าเสียดายที่เ้าไม่ได้เกิดมาในราชวงศ์”
ในเวลานั้น อวิ๋นซู่จับมือลิ่วซีอย่างขุ่นเคืองเพราะสิ่งที่ชายชราพูดว่ามีความรักที่ลึกซึ้ง แต่วาสนาช่างตื้นเขิน
ลิ่วซีถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“เ้าว่าชายชราคนนี้ทายถูกหรือไม่?”
อวิ๋นซู่ไม่ตอบ เขาเพียงจับมือนางเอาไว้แน่นเพื่อพากลับเข้าไปในเมืองแต่นางก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงถามต่อไป
“เ้าคิดว่าชายชราคนนี้ทายถูกหรือไม่?” ครั้งนี้อวิ๋นซู่คว้านางมากอด และก้าวขึ้นรถม้า ก่อนจะบึ่งตรงเข้าเมือง
ในเวลานั้น เจินลิ่วซีโง่เขลา จริงๆ แล้วนางรู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่มันไม่สำคัญว่าคำพูดของชายชราคนนั้นจะถูกต้องหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือในหัวใจของอวิ๋นซู่เชื่อว่ามันถูกต้องหรือไม่?
หากเชื่อว่าคำพูดของชายชราคนนั้น ก็เท่ากับยอมรับว่าพวกเขามีความรักที่ลึกซึ้ง แต่วาสนาช่างตื้นเขิน
ถ้าเขาไม่เชื่อสิ่งที่ชายชราคนนั้นพูด ก็เท่ากับว่ายินดีไม่รับตำแหน่งฮ่องเต้
คำตอบทั้งสองนี้ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นซู่้า ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะตอบ ต่อมาเมื่อลิ่วซีถามอย่างร้อนใจ จู่ๆ เขาก็ดึงเชือกบังเหียนให้รถม้าหยุดข้างถนน แล้วตอบอย่างมั่นใจ
“มีทั้งถูก และไม่ถูก ทั้งสองไม่ขัดแย้งกัน” รักแม่น้ำูเา และรักหญิงงาม แต่ยากที่จะมีทั้งสองอย่าง
ในเวลานี้ลิ่วซีเขียนประโยคหนึ่งลงบนกระดาษซวนจื่อโดยไม่รู้ตัว
“มีความรักที่ลึกซึ้ง แต่วาสนาช่างตื้นเขิน”
ทันทีที่เขียนเสร็จ ก็ได้ยินนางกำนัลส่งเสียงรายงาน
“ฮองเฮาเสด็จ”
เมื่อเสียวอวี่ได้ยินดังนั้น นางจึงยืดตัวตรงอยู่ด้านหลังลิ่วซี มือที่ถือพู่กันของลิ่วซีก็หยุดชะงักลง ก่อนจะวางกลับไปเบาๆ และพับกระดาษที่เขียนเมื่อครู่นี้อย่างไม่รีบร้อน
ในแววตาของนางมีเพียงความดูแคลน
หลังจากผ่านไปหลายปี ชางรั่วอวี้ได้กลายเป็ฮองเฮา นางไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด คงจะข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ได้ นางน่าจะได้ยินว่าอวิ๋นซู่มาค้างคืนที่ตำหนักลิ่วชิงเมื่อคืนนี้ เช้านี้ ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่ววังหลัง ดังนั้นชางรั่วอวี้จึงมาที่นี่ ซึ่งไม่เกินความคาดหมายของนาง
เมื่อสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันหลายปีมาหา นางก็ควรพบหน้าเสียหน่อย
เสียงฝีเท้าดังมาจากลานตำหนัก นางและเสียวอวี่ยืนหลังตรงอยู่หน้าประตูรอต้อนรับฮองเฮาชางรั่วอวี้
นางดูเหมือนปกติทุกอย่าง แต่ในใจของนางยังจำตอนที่ชางรั่วอวี้ยืนอยู่ตรงหน้านางและกล่าวอย่างดูถูกได้
“ลิ่วซี เ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก มีเพียงข้าชางรั่วอวี้เท่านั้นที่สามารถช่วยให้เขากลายเป็ฮ่องเต้ได้ แต่เ้าทำไม่ได้”
พอย้อนกลับไปในตอนนั้น เจินลิ่วซีโต้กลับไปอย่างโง่เขลา
“บิดาของข้าคือแม่ทัพเจินผู้ไร้พ่าย มีประสบการณ์การทำามาหลายร้อยครั้ง เ้าเพียงอาศัยการสนับสนุนกองกำลังทหารจากแคว้นเป่ยเจวี๋ยของเ้า” ส่วนข้าก็มีการสนับสนุนจากบิดาของข้า
จำได้ว่าในเวลานั้นชางรั่วอวี้หัวเราะออกมาเสียงดัง
“แม่ทัพเจิน? เ้า้าให้เขาเป็ฏหรือ? เขาก่อฏไม่ได้หรอก เพราะจะถูกตัดศีรษะทั้งตระกูล”
ใบหน้าของนางซีดเผือด และไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก
ย้อนกลับไปในตอนนั้น นางรักอวิ๋นซู่ รักจนไม่สนถูกผิด ไม่สนตัวเอง อยากแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับสตรีคนนี้ สุดท้ายนางก็พ่ายแพ้
ในลานตำหนัก ฝีเท้าของชางรั่วอวี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และหยุดที่ประตูห้อง
ใบหน้าของลิ่วซีเปลี่ยนเป็รอยยิ้ม ย่อตัวคำนับฮองเฮาชางรั่วอวี้ด้วยรอยยิ้มที่หน้าประตู
“ถวายพระพรฮองเฮา ยินดีต้อนรับเสด็จเพคะ”
ราวกับการแสดงละครงิ้ว ชางรั่วอวี้สามารถแสดงละครได้ เจินลิ่วซีก็ทำได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากชางรั่วอวี้เข้ามาในตำหนัก บรรยากาศก็ดูสามัคคีกันอย่างน่าประหลาด
ชางรั่วอวี้มีใบหน้าที่งดงาม และนางก็ดูแลวังหลังมาหลายปีแล้ว ดังนั้นรัศมีจึงดูสง่างามและน่าเกรงขาม เหมือนกับสำนวนในยุคปัจจุบันที่บอกว่ารัศมีที่ทรงพลัง ยากจะมองข้าม
ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับเป็สหายสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานาน ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง นางเข้ามาจับมือลิ่วซี พาไปนั่งลงที่ห้องโถงใหญ่ และพูดคุยกับลิ่วซีด้วยรอยยิ้ม
“พี่ลิ่วซี หลายปีมานี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงงดงามราวดอกไม้เหมือนเมื่อก่อน”
นางเป็ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ เรียกพี่สาวคำนี้ ทั้งยังลดตัวมานั่งตรงหน้าลิ่วซี ทำตัวไม่แบ่งแยกลำดับขั้น เช่นเดียวกับชางรั่วอวี้ที่ซ่อนคมมีดภายใต้รอยยิ้มเหมือนในอดีต สถานการณ์เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ไม่ว่าใต้หล้าจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด แต่ใจคนนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ตรัสชมหม่อมฉัน” ลิ่วซีก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมาก หากนางพูดมากก็ผิดมาก นางในตอนนี้ต้องนิ่งสงบเข้าไว้ สังเกตชางรั่วอวี้ผู้นี้ว่ามีความจริงกี่ส่วน เสแสร้งกี่ส่วน
“พี่ลิ่วซี พี่คงได้รับความลำบากมาไม่น้อยในตำหนักลิ่วฉือ่หลายปีมานี้ ข้าเคยอ้อนวอนฮ่องเต้ให้ปล่อยพี่ออกมา แต่พี่ก็รู้นิสัยของฝ่าาดีที่สุด ตรัสคำไหนต้องเป็คำนั้นมาตลอด โชคดีที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นก็อย่าพูดถึงเลย ตอนนี้พี่ได้ออกมาแล้วถือเป็เื่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่เป็สุข”
ลิ่วซียังไม่ทันได้พูดอะไร ชางรั่วอวี้ก็ดวงตาแดงก่ำและพูดต่อ
“พี่อย่าโทษข้าเลย ปีนั้นข้ามาจากแคว้นเป่ยเจวี๋ยเพียงลำพังเพื่อมาแต่งเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นทง ดังนั้นข้าจึงสามารถพึ่งพาฮ่องเต้ได้เพียงพระองค์เดียว ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้ความ กระตือรือร้นอยากเอาชนะ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจึงทำในสิ่งที่ทำร้ายพี่ไป”
ในใจของลิ่วซีมีเพียงความเย้ยหยัน เมื่อปีนั้นชางรั่วอวี้ทำท่าทางน่าสงสารต่อหน้าอวิ๋นซู่ ดังนั้นอวิ๋นซู่จึงเชื่อนาง ปกป้องนางและให้อำนาจแก่นาง ตอนนั้นนางแสดงออกต่อหน้าลิ่วซีอย่างหนึ่ง แต่ลับหลังกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ลิ่วซีเกลียดความหน้าซื่อใจคดของนาง เกลียดอวิ๋นซู่ที่ตาบอด มองไม่เห็นความจริง
แต่ตอนนี้นางไม่ใช่เจินลิ่วซีในอดีตอีกต่อไป การกระทำต่างๆ ของชางรั่วอวี้เป็เหมือนการแสดงของตัวตลกในสายตาของนาง นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน เฝ้าดูการแสดงของชางรั่วอวี้ อดทนรอให้นางกล่าวถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของนาง
จากนั้นนางก็พูดต่อจากคำพูดของชางรั่วอวี้เมื่อครู่
“ในอดีตข้าเองก็ยังเด็ก ได้ทำเื่ผิดมามากมาย ทั้งหมดเป็ความผิดของข้าเอง”
ท่าทางของชางรั่วอวี้ ดูเหมือนจะพอใจกับท่าทีของนางมาก
“พี่สาว ตำหนักลิ่วชิงแห่งนี้ไม่มีคนอาศัยมาก่อน ดังนั้นจึงดูซบเซา ข้าวของเครื่องใช้ก็มีไม่ครบ ข้าทูลฮ่องเต้ขอให้ท่านย้ายไปอยู่ในตำหนักจิ่งอวี้ของข้าก่อนพักหนึ่ง ข้าจะส่งคนมาทำความสะอาดที่นี่ให้ดี หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ท่านก็สามารถย้ายกลับเข้ามาได้ พวกเราจะได้อยู่เป็เพื่อนกัน ได้พูดคุยกันดีหรือไม่?”