เมื่อซูฉางอันลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็พบกับควันที่กำลังลอยวนเวียนอยู่บนฝ้าเพดาน จากนั้น กลิ่นหอมจางๆของกำยานก็พุ่งเข้ามาแตะจมูก เขายันมือลงบนที่นอนแล้วยันตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เมื่อมองไปรอบๆจึงพบว่าโต๊ะอันแสนคุ้นเคยมีตลับกำยานวางอยู่ ซึ่งควันที่ลอยอยู่บนฝ้าเพดานเป็ควันที่ลอยออกมาจากกำยานนั่นเอง
ที่นี่เป็ห้องของเขาในสำนักเทียนหลานนั่นเองเขาจำเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ จำได้เพียงว่าในตอนนั้นอินซานโจ๋วกำลังจะจิกกรงเล็บลงมาที่หัวของเขาแต่ก็ถูกผู้าุโฉู่ซีฟงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันห้ามเอาไว้เสียก่อน
ซูฉางอันส่ายหัว แล้วสงบจิตสงบใจลงตอนนี้พลังิญญาในร่างของเขาดูจะอ่อนแอเล็กน้อย อาจเป็เพราะเมื่อวานนี้เขาใช้พลังมากจนเกินไปก็ได้ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อยจึงเปิดผ้าห่มออก สวมรองเท้าบูทของตัวเอง แล้วเดินลงมาจากเตียง
แอ๊ด
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก
คนชราที่มีความง่วงซึมแฝงอยู่ในดวงตาก้าวเข้ามาในห้อง
“อาจารย์ลุง ท่านมาแล้วหรือขอรับ?” ซูฉางอันเดินเข้าไปทักทายอย่างรีบร้อน
“อืม” อวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อยดวงตาหรี่เล็กมองสำรวจซูฉางอันั้แ่หัวจรดเท้าราวกำลังตรวจสอบว่าซูฉางอันถูกตัดแขน หรือขาระหว่างการต่อสู้เมื่อวานหรือไม่...
เขาถอนสายตาออกไปจากร่างของซูฉางอันด้วยความพึงพอใจในที่สุดจากนั้นจึงกล่าวขึ้น “เมื่อวานนี้ได้สู้จนสาแก่ใจเ้าแล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของอวี้เหิงราบเรียบเป็อย่างมากไม่มีความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือโกรธแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย ซูฉางอันชะงักนิ่งไปไม่รู้ว่าอวี้เหิงหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกไปตามความจริง “ยังไม่สะใจพอขอรับ”
“หืม?” คำตอบของซูฉางอันอยู่เหนือความคาดหมายของอวี้เหิงไปเล็กน้อยดูเหมือนดวงตาหรี่เล็กของเขาจะเปิดกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังหรี่เล็กเป็เส้นตรงอยู่ดี อวี้เหิงเดินตรงไปที่โต๊ะแล้วดึงเก้าอี้ไม้ใต้โต๊ะออกมานั่งอย่างเป็ธรรมชาติเขามองสำรวจกำยานที่จุดอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียด จากนั้นจึงหันกลับมาหาซูฉางอันพร้อมกับรอยยิ้มแกมแซว “ไม่เลวเลยนี่กำยานหลงเสียนจากโหลวหลาน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดความเครียดได้ว่ากันว่าในแต่ละปีทางราชวงศ์จะได้รับกำยานเช่นนี้เพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยแท่งเท่านั้น อืมดูเหมือนนังหนูฟ่งอวี้จะดีกับเ้าไม่เบาเลย?”
อาจเป็เพราะสายตาที่เต็มไปด้วยการแซวจากอวี้เหิงหรืออาจเป็เพราะน้ำเสียงที่น่าพิลึกของเขา ทำเอาซูฉางอันจึงหน้าแดงขึ้นมาทันทีเขาจับไปที่จมูกตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี
อวี้เหิงคุ้นเคยกับความเปิ่นของศิษย์หลานคนนี้เสียแล้วเขาพูดเปลี่ยนเื่ขึ้น “ไหนลองบอกข้ามาหน่อยว่าทำไมจึงยังไม่พอใจกับการต่อสู้เมื่อวานนี้?”
“ข้ายังไม่ได้สู้กับเขาเลยขอรับ” ซูฉางอันพูดออกมาทันทีโดยไม่จำเป็ต้องคิดเลยสักนิดเมื่อพูดจนจบ เพราะเกรงว่าอวี้เหิงจะไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ตนหมายถึงเป็ใครกันแน่จึงเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามจะนึกชื่อของคนผู้นั้นขึ้นมาให้ได้ “อืม..ดูเหมือนเขาจะชื่อตู้หงฉางนะขอรับ”
“แล้วทำไมเ้าถึงอยากจะสู้กับเขาล่ะ?” อวี้เหิงถามขึ้นอีกครั้ง
“เขาหยามเกียรติท่านอาจารย์”
“เ้าก็เลยอยากสู้กับเขา?”
“อืม”
“แล้วทำไมถึงไม่ได้สู้?”
“เขาไม่กล้าสู้กับข้า” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ซูฉางอันก็นึกลังเลเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงต่ำ จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “อาจารย์ลุงข้าไม่ควรไปสู้กับพวกเขาใช่หรือเปล่า?”
ความจริงซูฉางอันไม่คิดว่าตนทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่เขาก็วิเคราะห์สีหน้าของอวี้เหิงในตอนนี้ไม่ออกว่าเขากำลังโกรธ หรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ เพียงแต่...เขาไม่อยากให้อวี้เหิงรู้สึกโมโหเลย อย่างไรเสีย อวี้เหิงก็ชรามากแล้ว
แต่อวี้เหิงกลับไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับพูดขึ้นอีกครั้ง “ที่เขาไม่ยอมสู้กับเ้าเป็เพราะเขารู้ว่าตัวเองสู้เ้าไม่ได้อย่างไรเล่าแต่เ้าเองก็สู้อินซานโจ๋วไม่ได้เหมือนกัน ทำไมถึงยังสู้กับเขา?”
“เขาเป็คนจะสู้กับข้าเองต่างหาก” ซูฉางอันพูดแก้ข่าว
“แต่เ้าก็เลือกที่จะไม่สู้กับเขาได้นี่” อวี้เหิงปรายตามองซูฉางอันแวบหนึ่ง
“เขาจะให้ข้าขอโทษแต่ข้าไม่คิดว่าตัวเองทำผิดตรงไหนขอรับ”
“แต่เมื่อกี้เ้าก็อยากจะพูดขอโทษกับข้าไม่ใช่เหรอ? ทั้งที่เมื่อครู่เ้าก็ยังไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไรเหมือนกัน”
“...” ซูฉางอันนิ่งเงียบไป เขามองไปยังอวี้เหิงด้วยความสงสัยเขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรนัก ว่าคำพูดของอวี้เหิงมีความหมายลอบแฝงว่าอย่างไรกันแน่แต่ก็พอจะรู้ว่าอวี้เหิง้าจะบอกอะไรกับเขา
ซูฉางอันไม่ชอบการสนทนาที่ลึกซึ้งแบบนี้เลยเพราะเขาไม่ได้ฉลาดมากพอที่จะไขสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดพวกนั้นได้นั่นเอง
ดังนั้น เขาจึงถามออกไปตรงๆ “อาจารย์ลุง ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
อวี้เหิงลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วเอื้อมมือเหี่ยวย่นของตัวเองไปลูบเส้นผมที่ยังไม่ได้จัดระเบียบของซูฉางอันพลางกล่าวขึ้นในที่สุด “ข้ากำลังจะบอกว่านี่ล่ะ เส้นทางของเ้า”
“เส้นทางของข้างั้นหรือขอรับ?” ซูฉางอันพูดทวนขึ้นอีกครั้งเขาพิจารณาอย่างละเอียดอยู่นาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจะพูดบางอย่างออกมา แต่ก็พบว่าอวี้เหิงหายตัวไปเสียแล้ว
ซูฉางอันเกาหลังหัวตัวเองอย่างงุนงงขณะที่ในใจก็นึกทอดถอนใจไปด้วย ...อาจารย์ลุงมักจะโผล่ๆ หายๆ เช่นนี้อยู่เื่เลย
ซูฉางอันออกมาจากห้องเขารับประทานอาหารเช้าไปเล็กน้อย แล้วเตรียมจะไปฝึกวิชากับฉู่ซีฟงที่ลานฝึกยุทธ์แต่ก็มีเสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าสำนักเสียก่อน
เขารู้สึกประหลาดใจมากเขามาอยู่ที่สำนักเทียนหลายนานถึงสองเดือนแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีคนมาที่สำนักเลยแม้นสักครั้งเดียว
หรือคนจากสำนักปาฮวงจะมาหาเื่เพราะเื่เมื่อวาน? ซูฉางอันคาดเดาในใจ แม้จะคิดเช่นนั้นแต่สองเท้ากลับก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อไปถึงที่ประตูสำนักเขาก็นึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะเปิดประตูออกในที่สุด
คาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะเป็ใบหน้าอันแสนคุ้นเคยของคนทั้งสี่
“โม่โม่! ” ซูฉางอันอุทานด้วยความใ แต่พอพูดจบเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าตนทำพลาดไปเสียแล้ว ดังนั้น จึงรีบพูดขึ้นมาอีกครั้ง “สหายกู่ สหายจี้ สหายลิ่นพวกเ้ามาได้อย่างไรเนี่ย”
ผู้ที่มาเยือนก็คือโม่โม่กู่หนิงกับพวก ซึ่งเคยเรียนร่วมชั้นกับซูฉางอันที่เมืองฉางเหมินนั่นเอง
“เป็อะไรไป? พอเข้าศึกษาในสำนักอันดับหนึ่ง เพื่อนเก่าอย่างพวกเราก็มาเยี่ยมไม่ได้แล้วใช่ไหม?” โม่โม่ส่งยิ้มมาให้เผยให้เป็เขี้ยวเล็กๆ ที่แลดูน่ารักตรงมุมปาก
ซูฉางอันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จี้เต้าก็ก้าวเข้ามาหาแล้วตบไปที่ไหล่ของเขาอย่างแรง “ไม่เลวเลยนี่ได้ข่าวว่าเ้าสู้แบบหนึ่งต่อเจ็ดที่งานหลอมดาวเมื่อวานนี้เล่นเอาเ้าคนที่ชื่อว่าตู้หงฉางไม่กล้าออกมาประลองด้วยเลย”
เพราะเื่ที่เขาโยวหยุนพวกเขาจึงสนิทสนมกันมาก โดยเฉพาะกับจี้เต้า เขากับซูฉางอันตัดสินใจให้อภัยต่อกันลืมเื่บาดหมางที่ผ่านมา แล้วหันมาเป็เพื่อนกันแทน ซึ่งตอนนี้ทั้งสองก็สนิทสนมกันมากแล้ว จึงไม่แปลกที่เขาจะแสดงท่าทางสนิทสนมเช่นนั้นออกมา
เพียงแต่เขาชมจนซูฉางอันรู้สึกเขินไปหมดแล้ว ทว่าภายใต้ความเขินอายนั้นกลับยังมีความภูมิใจแฝงอยู่ด้วย แม้เดิมที เขาคิดเพียงอยากจะสั่งสอนเ้าหนุ่มที่พูดจาดูิ่อาจารย์ของตนเท่านั้นก็ตามทีแต่อย่างไรเสีย เขาก็เป็เพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุแค่สิบหกปีเมื่อได้รับคำชมจากผู้อื่น ย่อมต้องรู้สึกดีใจเป็ธรรมดา
“สหายซูไม่คิดจะเชิญพวกเราเข้าไปนั่งด้านในเสียหน่อยรึ?” จู่ๆ กู่หนิงที่ยิ้มจนตาหยีอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น
เขายังคงสง่างาม สุภาพและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยังเป็กู่หนิงที่อยู่ในความทรงจำของซูฉางอันดังเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะได้สติกลับมา แล้วรีบเชิญให้ทั้งสี่เข้าไปในสำนักในที่สุด
“นี่น่ะหรือสำนักอันดับหนึ่งของเมืองฉางอัน? ดูธรรมดาจริงๆเทียบกับสำนักคุนหลุนของพี่กู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ” ซูโม่สำรวจสำนักด้วยความอยากรู้อยากเห็นพลางพูดความในใจออกมา
แต่เพิ่งพูดจบนางก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตนไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ โม่โม่รีบยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้เหลือเพียงดวงตากลมโต ที่มองมายังคนทั้งหลายอย่างไร้เดียงสาเท่านั้น
กู่หนิงมองไปยังโม่โม่ด้วยสายตาที่คล้ายจะเป็การตำหนิทว่าความจริงกลับแฝงไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “สหายซูอย่าถือสาไปเลย โม่โม่เป็คนเช่นนี้อยู่แล้ว โปรดอย่าคิดมาก” กู่หนิงรีบกล่าวอธิบาย
ซูฉางอันส่ายหน้า “ที่โม่โม่พูดเป็เื่จริงตอนมาที่นี่ครั้งแรก ข้าก็คิดว่าที่นี่ทั้งเก่าและทรุดโทรมเหมือนกัน”
เพราะเื่เมื่อวานทำให้ซูฉางอันมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ทั้งสี่จึงรู้สึกประหม่าและกังวลใจเล็กน้อยแต่พอมาเห็นซูฉางอันเช่นนี้ ในที่สุดพวกเขาก็วางความเกรงใจและกังวลลงได้เสียทีบวกกับพวกเขาล้วนเป็คนบ้านเดียวกัน เมื่อมาอยู่ไกลบ้านเช่นนี้ ย่อมรู้สึกผูกพันกันมากเป็พิเศษอยู่แล้วกลุ่มคนเริ่มการสนทนาขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งพูด และหัวเราะไปตลอดทางแม้แต่ลิ่นหยูที่มักจะนิ่งเงียบในยามปกติ ก็ยังพูดแทรกขึ้นมาเป็ระยะๆ เช่นกัน
ขณะที่ทั้งห้ากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีหญิงชุดแดงวิ่งเข้ามาหา นางวิ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูฉางอันพร้อมกับลมหายใจหอบเหนื่อยแล้วพูดขึ้นในที่สุด “เฮ้เ้าไปไหนมาเนี่ย ผู้าุโฉู่กำลังตามหาเ้าอยู่นะ! เมื่อวานเพิ่งได้รับาเ็หนักมาแท้ๆแทนที่จะนอนพัก กลับเอาแต่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว! ”
แม้คำพูดของหญิงชุดแดงจะฟังดูคล้ายไม่สบอารมณ์แต่ทุกคนต่างก็รับรู้ได้ถึงความเป็ห่วงเป็ใยที่แฝงมากับคำพูดนั้นได้ในทันที
“ศิษย์พี่ เพื่อนข้ามาหาน่ะขอรับดังนั้น...” ซูฉางอันพูดพลางเกาหัวตัวเอง
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เพิ่งจะสังเกตเห็นกลุ่มคนทั้งหญิงและชายที่อายุไล่เลี่ยกับซูฉางอันซึ่งยืนอยู่ข้างกัน จึงหน้าแดงขึ้นมาทันที อย่างไรเสียนางก็เป็ถึงองค์หญิงแห่งแผ่นดินต้าเว่ย ที่ผ่านมา เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกนางมักจะแสดงท่าทางสุภาพเรียบร้อยออกมาเสมอทว่าในตอนนี้กลับแสดงด้านที่ดูแย่ในความคิดของนางต่อหน้าผู้คนเช่นนี้...
จู่ๆ ความโกรธก็ะเิขึ้นกลางใจเซี่ยโหวฟ่งอวี้มองซูฉางอันตาเขม็ง โยนความผิดทั้งหมดไปให้ซูฉางอันในพริบตา
“ท่านนี้คงจะเป็องค์หญิงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าเว่ยสินะ” กู่หนิงได้สติกลับมาอีกครั้งเขารีบทำความเคารพต่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้ทันที
ใครๆ ก็รู้ว่าสำนักเทียนหลานมีศิษย์อยู่เพียงสองคนเท่านั้นคนหนึ่งคือซูฉางอัน ส่วนอีกคนก็คือเซี่ยโหวฟ่งอวี้องค์หญิงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าเว่ยนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่กู่หนิงจะเดาฐานะของหญิงตรงหน้าได้
คนอื่นๆ ได้สติกลับมาอีกครั้งจึงรีบทำความเคารพต่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้ทันที
ดูเหมือนเซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังทำใจกับเหตุการณ์เมื่ครู่ไม่ได้นางทำความเคารพตอบทั้งสี่ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไปเป็สีแดงเพราะความเขินอายท่าทางของนางในตอนนี้ทั้งสุภาพเรียบร้อย และอ่อนหวานมากเหมือนกับคุณหนูจากตระกูลผู้ดีที่ซูฉางอันอ่านเจอในหนังสือตอนอยู่ที่เมืองฉางเหมินไม่มีผิด
ซูฉางอันเบิกตากว้างด้วยความใคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่จะมีด้านแบบนี้ด้วย
“มองอะไรของเ้า! ” พอหันมาเจอซูฉางอันที่กำลังทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ะเิความไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง นางกรอกตามองบน แล้วพูดขึ้น “ยังจะนิ่งอยู่อีกท่านผู้าุโฉู่รอเ้าที่แท่นฝึกยุทธ์ตั้งนานแล้วนะ ยังไม่รีบไปอีก”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูฉางอันก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันที เขาเคารพฉู่ซีฟงเป็อย่างมากอีกอย่างเมื่อวานนี้ หากไม่ได้ฉู่ซีฟงเข้ามาช่วยล่ะก็ คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อีกอย่าง ฉู่ซีฟงก็เข้มงวดจนน่ากลัวเลยทีเดียวปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ อีกเดี๋ยวต้องถูกด่าแน่เลย
ซูฉางอันมีสีหน้าขมขื่นเขาหันไปบอกกับกู่หนิงและคนอื่นๆ “พวกเ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะข้าต้องไปพบผู้าุโฉู่ก่อน”