“ให้พวกเราไปเป็เพื่อนเ้าเถอะ” กู่หนิงเสนอ
ซูฉางอันหนักใจเล็กน้อยฉู่ซีฟงมีนิสัยประหลาด คาดเดาได้ยาก อีกอย่างตอนนี้ตนก็ทำให้เขารู้สึกโกรธอยู่แล้วหาพากู่หนิงกับพวกไปด้วยล่ะก็ พวกเขาต้องโดนไปด้วยแน่
ขณะกำลังคิดกลัดกลุ้มอยู่นั้นเสียงของโม่โม่ก็ดังขึ้น “ฉางอันให้พวกเราไปด้วยเถอะ ข้าเองก็อยากจะเห็นสง่าบารมีของผู้าุโฉู่เหมือนกัน”
ในเมื่อโม่โม่พูดเช่นนี้แล้วมีหรือที่ซูฉางอันจะปฏิเสธ เขาครุ่นคิดอีกพักหนึ่งแม้ผู้าุโฉู่จะมีนิสัยประหลาด แต่ก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงตกลงพาทั้งสี่ไปด้วยในที่สุด
เมื่อกลุ่มคนเดินทางมาถึงที่ลานฝึกก็พบว่าฉู่ซีฟงกอดดาบเอาไว้ในอ้อมแขนและยืนรออยู่ตั้งนานแล้ว
ซูฉางอันรู้สึกกระวนกระวายใจรีบเดินเข้าไปหา แล้วกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อน “ท่านผู้าุโฉู่ข้าทำให้ท่านรอนาน ข้า...”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายอะไรฉู่ซีฟงก็ยกมือขึ้นเป็เชิงให้หยุด แล้วเป็ฝ่ายกล่าวขึ้นแทน “ท่านอวี้เหิงบอกกับข้าเอาไว้แล้วเมื่อวานนี้ เ้าได้รับาเ็ไม่น้อย วันนี้ข้าจะปล่อยให้เ้าได้พักผ่อนไปก่อนแต่ในวันพรุ่งนี้ เ้าต้องฝึกวิชาที่ไม่ได้ฝึกในวันนี้ให้ครบ”
หลังพูดจบ ฉู่ซีฟงก็หมุนตัวจากไปโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าซูฉางอันจะมีท่าทีอย่างไร
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ซูฉางอันรู้สึกเหนือคาดไปมากเขาเตรียมคำพูดเอาไว้ในหัวเรียบร้อยแล้วกะว่าจะขอลาเพื่ออยู่กับเพื่อนเก่าสักสองสามชั่วโมง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ฉู่ซีฟงจะรู้ใจขนาดนี้ทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทันเลย
“ว้าว ที่น่ะเหรอผู้าุโฉู่ที่ตัดแขนอินซานโจ๋วได้ด้วยดาบเดียว! เท่จัง! ” จู่ๆโม่โม่ก็ส่งเสียงกร๊ดกร๊าดออกมานางแกว่งแขนของกู่หนิงไปมาพลางพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
เมื่อหันไปเห็นท่าทางสนิทสนมของทั้งสองซูฉางอันก็รู้สึกผิดหวังอย่างอดไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเก็บความรู้สึกภายในใจเอาไว้ แล้วมองดูคนทั้งหลายด้วยรอยยิ้มดังเดิมโดยไม่รู้เลยว่าท่าทางผิดปกติของเขา ถูกเซี่ยโหวฟ่งอวี้สังเกตเห็นเข้าแล้ว
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าสำนัก
“วันนี้มันเื่อะไรกันเนี่ย?” ซูฉางอันพึมพำ
“สหายซู ไม่เป็ไรหรอกเ้าไปทำธุระก่อนเถอะ พวกเราจะเดินเล่นอยู่แถวนี้ รอเ้ากลับมา” กู่หนิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม ได้” ซูฉางอันพยักหน้าแล้วรีบเดินตรงไปที่ประตูสำนักอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้เลยว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้เดินตามมาด้วย
“ศิษย์พี่?” ซูฉางอันมองไปยังเซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่มีอาการผิดปกติด้วยความสงสัย
เมื่อถูกเรียกเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ขยับเข้าไปใกล้ แล้วถามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการแซว “เป็อะไรไปเ้าชอบผู้หญิงที่ชื่อซูโม่งั้นรึ?”
ซูฉางอันหน้าแดงขึ้นมาทันทีเขาเร่งก้าวให้เร็วยิ่งกว่าเดิม และก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้าท่าเดียวเห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากตอบคำถามนี้
แต่มีหรือที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้จะปล่อยเขาไปอย่างสมใจนางส่งพลังิญญาไปที่ฝ่าเท้า ทำให้มีฝีเท้าเร็วขึ้นในพริบตา ร่างบางกะพริบวาบเพียงเท่านั้น นางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ขวางทางเอาไว้เสียแล้ว
“นั่นแน่ อย่าอายไปเลย มาเถอะบอกศิษย์พี่มา” นางพูดแซวด้วยรอยยิ้มไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางถึงชอบเห็นซูฉางอันหน้าแดงเฉกเช่นในตอนนี้เหลือเกินเขาในตอนนี้ แตกต่างกับเด็กหนุ่มที่ทั้งเย็นะเื ทรงพลังและดุดันเมื่อวานนี้ราวกับเป็คนละคนเลย
“ข้า... ข้าเปล่าเสียหน่อย...” ซูฉางอันพยายามจะเดินเบี่ยงออกไปหลายครั้งแต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ขวางทางเอาไว้ได้เสมอ
หากว่ากันด้วยเื่ของพลังที่แท้จริงแล้วเซี่ยโหวฟ่งอวี้ย่อมสู้ซูฉางอันไม่ได้อยู่แล้วแต่ซูฉางอันเพิ่งรับศึกหนักไปเมื่อวานนี้ ทำให้สูญเสียพลังไปมากแม้จะได้พักรักษาตัวมาหนึ่งคืนเต็มๆ จนไม่มีอันตรายอะไรแล้วแต่เพราะพลังิญญาที่เสียไปยังไม่ได้รับการฟื้นฟูจึงยังสู้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ไม่ได้นั่นเอง
ทั้งสองหยอกล้อกันเช่นนี้อยู่นานรู้ตัวอีกที ก็มาถึงประตูสำนักเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ซูฉางอันกระแอมขึ้นเขาจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยับจากการฉุดกระชากเมื่อครู่เล็กน้อยเซี่ยโหวฟ่งอวี้เองก็หยุดยืนอยู่ข้างๆ อย่างรู้กาลเทศะทันที...เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก องค์หญิงใหญ่มักจะสำรวมกิริยา และรักษาภาพลักษณ์อยู่เสมอ
กลิ่นหอมของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังคงลอยวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูกซูฉางอันมองไปยังเซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคนอย่างอดไม่ได้ทว่าสิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็การกรอกตามองบนขององค์หญิงใหญ่
เขาหัวเราะแห้งๆ อย่างจนปัญญาจากนั้นจึงเปิดประตูสำนักออก
ชายวัยกลางคนหนึ่งปรากฏต่อสายตาของคนทั้งสอง
เสื้อผ้าที่ชายตรงหน้าสวมอยู่ทำมาจากผ้าชั้นดีทว่ากลับมีรูปแบบที่ธรรมดาเป็อย่างมาก เมื่อเห็นว่าซูฉางอันเปิดประตูออกมาคนวัยกลางก็รีบก้าวเข้าไปใกล้ แล้วโค้งตัวลง พลางอ้าปากขึ้นราวกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ทอดสายตาไปที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างกันแล้วชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ทว่าเพียงไม่นาน เขาก็ประกายรอยยิ้มประจบประแจงออกมา “ท่านคงจะเป็จอมดาราของงานหลอมดาราคุณชายซูสินะขอรับ?”
ซูฉางอันมองผู้มาเยือนอย่างสงสัยจากนั้นก็หันไปมองเซี่ยโหวฟ่งอวี้อีกครั้งสายตาของเขาสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน... เ้ารู้จักคนๆ นี้ไหม?
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เองก็มองกลับด้วยสายตาที่มีความหมายเหมือนกัน
ซูฉางอันรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีกเขาลองนึกย้อนอยู่นานจนในที่สุดก็มั่นใจว่าไม่มีคนผู้นี้อยู่ในความทรงจำของตนจริงๆ
“เ้ารู้จักข้ารึ?” ซูฉางอันถาม
“แหะๆ” ชายวัยกลางคนประกายรอยยิ้มออกมามากกว่าเดิม พลางกล่าวขึ้น “คุณชายซูช่างเป็คนตลกเสียจริงท่านเป็ศิษย์หลานของใต้เท้าอวี้เหิงแห่งสำนักเทียนหลานทั้งยังเป็ลูกศิษย์ของนักดาบอัจฉริยะ มั่วทิงอวี่อีก ใครบ้างจะไม่รู้จักท่าน...”
ชายคนนั้นพูดยาวเป็ขบวนราวกับว่ามีใครไปโดนกับดักที่ปากของเขาเข้าเช่นนั้นพูดมากจนซูฉางอันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลยทีเดียว “เ้ามาหาข้ามีเื่อะไรหรือเปล่า?” ซูฉางอันพูดตัดบท
“แหะๆ” แม้จะถูกซูฉางอันตัดบท แต่ชายวัยกลางคนกลับไม่มีท่าทางโมโหหรือหัวเสียเลยแม้แต่น้อย ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มต่อไป “ข้าน้อยเป็คนรับใช้จากจวนรัชทายาทที่ต้องมารบกวนวันนี้ เป็เพราะองค์รัชทายาทปลาบปลื้มในความสามารถของคุณชายอยากสานสัมพันธ์กับคุณชาย จึงอยากเชิญคุณชายไปเป็แขกที่จวนในคืนวันพรุ่งนี้เพื่อที่องค์รัชทายาทและคุณชายจะได้พูดคุยเชื่อมสัมพันธ์กัน” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ชายวัยกลางคนก็ลอบมองไปที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้อย่างแเีอีกครั้ง
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ราวจะรับรู้ได้ถึงสายตานั้นนางมีท่าทีแปลกไปั้แ่ชายตรงหน้าบอกสังกัดแล้วยิ่งเมื่อชายคนนี้เชิญให้ซูฉางอันไปเป็แขกที่จวนรัชทายาทเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็เอาแต่มองซูฉางอันอย่างเป็กังวลอยู่ตลอด
ซูฉางอันเองก็ชะงักอึ้งไปเหมือนกันเขาไม่รู้จักรัชทายาทอะไรนั่นเลยสักนิด และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมคนที่ไม่เคยรู้จักกันถึงอยากให้เขาไปกินข้าวที่จวนของตนเองมากขนาดนี้เพราะไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรซูฉางอันจึงมองไปที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้เพื่อขอความเห็นแต่เขากลับพบว่าศิษย์พี่กำลังมองมายังตนด้วยท่าทางเป็กังวลอยู่
เมื่อเห็นดังนั้นชายวัยกลางคนก็หัวใจกระตุกวูบ แย่แล้ว... เขาลอบะโในใจ
ซูฉางอันอยากขอความเห็นจากเซี่ยโหวฟ่งอวี้อย่างไรเสีย รัชทายาทคนนั้นก็น่าจะเป็พี่ชายของนาง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบรรยากาศถึงแลดูประหลาดเช่นนี้ บรรยากาศรอบๆทำให้ซูฉางอันกลืนคำที่กำลังจะเอ่ยออกมากลับเข้าไปทันที
ความเงียบเข้าปกคลุมได้เพียงไม่นาน...
ในที่สุดซูฉางอันก็พูดทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้
“ข้า... ข้าไม่ไปดีกว่า” ซูฉางอันพูดขึ้นที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเช่นนี้ไม่ใช่เพราะกลัวที่จะปฏิเสธรัชทายาทคนนั้นหรอกนะ
แต่ในสายตาของเขาแล้วองค์รัชทายาทเชิญเขาไปเป็แขกด้วยความหวังดี การปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นหาใช่เื่ดีไม่ ดังนั้น เขาจึงรู้สึกผิด และปฏิเสธออกไปได้อย่างยากลำบากนั่นเอง
ชายคนนั้นหน้าจ๋อยไปในทันทีเขามองคนทั้งสองสลับกันไปมา จากนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “คุณชายซู ท่านต้องคิดให้ดีนะขอรับองค์รัชทายาทไม่ได้ให้ความสำคัญเช่นนี้กับทุกคนหรอกนะ”
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ชอบน้ำเสียงของชายคนนี้เอาเสียเลยเสียงที่เขาใช้พูดในตอนนี้เป็เหมือนเสียงที่ตาแก่อินซานโจ๋วพูดกับซูฉางอันเมื่อวานไม่มีผิด
“เ้ากำลังขู่ข้าอยู่รึ?” ซูฉางอันถามกลับ
“ข้าน้อยไม่บังอาจ” ชายวัยกลางคนหุบยิ้มลงสีหน้าของเขาแลดูประหลาดเหลือเกิน หรือจะพูดอีกแบบก็คือสีหน้าของเขาในตอนนี้แลดูเย็นะเืและชั่วร้ายเหลือเกิน “ข้าน้อยเพียงอยากเตือนคุณชายว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่องค์รัชทายาทจะเห็นความสำคัญเช่นนี้แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธองค์รัชทายาทเลยสักคน คุณชายซูอยากเป็คนแรกจริงๆหรือขอรับ?”
ซูฉางอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งคนแรกก็คือที่หนึ่ง และเขาคิดว่าการเป็ที่หนึ่ง ย่อมเป็เื่ดีอยู่แล้วก็เหมือนตอนอยู่ฉางเหมิน เพราะกู่หนิงมักจะเป็ที่หนึ่งเื่การศึกษาทุกคนก็เลยชอบเขามาก แล้วไหนจะเมื่อวานนี้อีก เขาได้อยู่อันดับหนึ่งในการจัดอันดับแม้ทุกคนที่มางานจะไม่ชอบเขา แต่คนพวกนั้นต่างก็อยากจะได้ที่หนึ่งกันทุกคนเมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉางอันจึงตอบกลับไปดังนี้ “เช่นนั้น ข้าจะเป็คนแรกเอง”
เขาพูดด้วยท่าทางผ่อนคลายราวกับนี่เป็เื่สบายๆ เป็เื่ที่น่าสนุกสำหรับเขาเท่านั้น
คำตอบของซูฉางอันทำให้ชายวัยกลางคนและเซี่ยโหวฟ่งอวี้อึ้งไปตามๆ กัน ในที่สุดชายวัยกลางคนก็สะบัดแขนเสื้อแล้วมองดูคนทั้งสองด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไปในที่สุด
ซูฉางอันมองตามแผ่นหลังของชายวัยกลางเป็เชิงส่งเขาจากไปอย่างมีมารยาทจนเมื่อร่างนั้นหายไปลับตา ซูฉางอันจึงหันกลับมามองเซี่ยโหวฟ่งอวี้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เอาล่ะ ศิษย์พี่เขากลับไปแล้ว พวกเรากลับเข้าไปข้างในกันเถอะ”
พอได้ยินดังนั้นเซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงหันมามองซูฉางอันด้วยท่าทางตกตะลึง ดวงตากลมโตที่เปล่งประกายไปด้วยแสงเจิดจ้าถูกเพ่งมาที่ซูฉางอันอย่างอึ้งๆ
ซูฉางอันถูกมองจนรู้สึกกระวนกระวายไปหมดแล้วเขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ศิษย์พี่เป็อะไรไป?”
“ทำไมเ้าถึงปฏิเสธคำเชิญขององค์รัชทายาท?” เซี่ยโหวฟ่งอวี่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวจนเมื่อเข้าไปใกล้ซูฉางอันแล้ว จึงกล่าวถามขึ้น
“ข้า...” ซูฉางอันตื่นเต้นเหลือเกินปากแดงระเรื่อขององค์หญิงมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขาห่างออกไปเพียงไม่ถึงครึ่งคืบเท่านั้น ซูฉางอันพูดพึมพำขึ้นเบาๆแล้วกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้งอย่างตะกุกตะกัก “ข้าเพียงแค่... แค่รู้สึกว่า...ดูเหมือนศิษย์พี่จะไม่อยากให้ข้าไปที่นั่น”
“เ้าก็เลยไม่ไปงั้นรึ? เ้ายอมผิดใจกับองค์รัชทายาทเพื่อข้าเนี่ยนะ? ข้าสำคัญกับเ้าขนาดนั้นเลยรึ?” เสียงของเซี่ยโหวฟ่งอวี้เบาลงเรื่อยๆในท่อนสุดท้าย เสียงของนางเบาจนแทบจะไม่ได้ยินอยู่แล้วทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายเ้าของกำลังจะละลายอยู่แล้ว
ซูฉางอันถอยไปทางด้านหลังด้วยสัญชาตญาณไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่ใกล้ศิษย์พี่หรอกนะแต่เขารู้สึกว่าเมื่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้ขยับเข้ามาใกล้ตัวเองก็จะมีอาการแปลกไปทุกครั้ง หัวใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวแม้แต่พลังิญญาภายในร่างกาย ก็คล้ายจะไหลเวียนเร็วมากขึ้นไปด้วยไม่รู้เหมือนกันว่าอาการประหลาดที่เกิดขึ้นเป็เื่ดีหรือร้ายแต่ซูฉางอันก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับความรู้สึกเช่นนั้นเลย และเพราะไม่ได้ไม่ชอบมันซูฉางอันจึงรู้สึกตื่นตระหนก รู้สึกวุ่นวายใจอย่างประหลาดสัญชาตญาณจึงสั่งให้เขาคอยเลี่ยงที่จะเกิดความรู้สึกแบบนั้นนั่นเอง
เขาเกาหัวตัวเองพยายามเรียกให้สติกลับเข้ามาในสมองหลังเริ่มรู้สึกวิงเวียนเพราะกลิ่นหอมของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมายหรอกแต่อย่างน้อยก็สำคัญกว่ารัชทายาทคนนั้น” ซูฉางอันพูดขึ้นในที่สุด
เขาพูดเื่จริงแม้เซี่ยโหวฟ่งอวี้จะชอบรังแกเขาอยู่บ้างในบางครั้ง แต่นางก็ดีกับเขามากเหลือเกินแต่อย่างไรเสีย ทั้งสองก็เพิ่งรู้จักกันได้เพียงสองเดือนเท่านั้น แล้วเช่นนี้นางจะสำคัญมากกว่าท่านพ่อ หรืออาจารย์หญิงได้ยังไงกัน
ตามที่ซูฉางอันเข้าใจ คำว่าสำคัญมากมีความหมายว่าสำคัญที่สุดซึ่งแม้เซี่ยโหวฟ่งอวี้จะสำคัญต่อเขาแต่นางก็ไม่ใช่คนที่สำคัญมากที่สุดของเขาอยู่ดี