ช่างเป็คำพูดที่ไม่คาดฝันอะไรเช่นนี้ทว่าไคหยางกลับพูดมันออกมาได้อย่างราบเรียบราวกำลังบอกว่าพระอาทิตย์จะกลับมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้และสักวันพื้นพิภพจะกลับสู่ท้องทะเลเช่นนั้น
ชิงหลุนขมวดคิ้วจนเป็ปมเมื่อมีพลังอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา ย่อมเข้าใจกฎของโลกใบนี้ได้อย่างลึกซึ้งมีถ้อยคำมากมายที่มีความหมายลึกซึ้ง แฝงไปด้วยความเร้นลับและยากจะไขความหมายมากกว่าที่เห็นมาก
และหนึ่งในถ้อยคำเ่าั้ ก็คือคำว่า ‘วาสนา’ นั่นเอง
มันเป็คำที่รวบรวมความรัก ชัง เหตุและผลเอาไว้ด้วยกัน ทั้งยังมีความหมายว่าการจากลาด้วย
และตามหลักแล้วไคหยางที่เป็นักรบแห่งดาราจักร ย่อมไม่มีทางพูดอะไรออกมาโดยไม่มีความหมายอยู่แล้ว
แต่วิชาที่นางฝึกอยู่เป็วิชาปลงรักซึ่งเป็สุดยอดวิชาของหอดารา หัวใจของนางในตอนนี้จึงมีเพียงความว่างเปล่าขณะที่ร่างกายก็ไม่มีความข้องเกี่ยวกับเหตุและผลอีกเช่นกัน
ดังนั้น นางจึงส่ายหัวพลางกล่าวขึ้น “ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องในทางเหตุหรือผลกับโลกใบนี้” นางหวนนึกถึงเื่ราวเมื่อสองปีก่อนคืนหิมะที่ดินแดนทางเหนือ ในคืนนั้น นางตัดเหตุและผลสุดท้ายของตัวเองลงไปแล้วเหตุนี้ หลังจากนั้นเป็ต้นมา การบำเพ็ญของนางจึงก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมาก
เมื่อได้ยินดังนั้นไคหยางกลับหัวเราะออกมา “โลกแห่งนี้ให้กำเนิดเ้านี่เป็เหตุ เ้ายังไม่ตาย ย่อมคืนผลให้โลกไม่ได้ แล้วแบบนี้จะบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเื่เหตุและผลได้เยี่ยงไรกัน?”
ชิงหลุนชะงักอึ้งไปพลันความหงุดหงิดก็ปะทุขึ้นภายในจิตใจอย่างประหลาด “แม้ข้าจะยังมีบ่วงแห่งเหตุและผลกับโลกใบนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเ้า?”
“เ้าและสำนักเทียนหลานก็ยังมีบ่วงแห่งเหตุและผลพ่วงกันอยู่เช่นกัน” ไคหยางหรี่ตาลงจนกลายเป็เส้นตรงราวพบเจอเื่น่าสนใจเข้าแล้วเช่นนั้น
“เหลวไหล” น้ำเสียงของชิงหลุนแฝงไปด้วยความโกรธที่ยากจะสังเกตเห็นซึ่งเกิดจากความหงุดหงิดนั่นเอง
“าาปีศาจให้กำเนิดเ้า นี่เป็เหตุเ้าสละตัวเองเพื่อให้เผ่าปีศาจสืบทอดต่อไปได้ ถือว่าเ้าคืนบ่วงแห่งผลสำเร็จแล้ววู๋ถงกับเ้าเป็พี่น้องร่วมสายเื นี่เป็เหตุ เมื่อสองปีก่อนที่ดินแดนทางเหนือ เ้าเลือกที่จะไว้ชีวิตนาง จึงถือเป็ผล”
คำพูดทั้งหลายถูกเปล่งออกมาจากปากของไคหยางอย่างใจเย็นกลับทำให้ชิงหลุนรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงเื่ที่ชิงหลุนเป็บุตรของาาปีศาจนับเป็ความลับสุดยอดแม้แต่ในเผ่าปีศาจก็มีคนรู้เื่นี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นแล้วไคหยางที่เป็นักรบแห่งดาราจักรของเผ่ามนุษย์รู้เื่นี้ได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้น เื่ของวู๋ถง แม้แต่หอดาราก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำนอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น นางก็คิดไม่ออกจริงๆว่ายังมีใครในโลกรู้เื่นี้ได้อีก
แต่ถึงกระนั้นชิงหลุนก็ยังเก็บกลั้นความตกตะลึงเอาไว้ในใจจากนั้นก็พยายามจะทำให้ตัวเองดูใจเย็นมากที่สุด “แล้วจะยังไง เ้าเองก็บอกไปแล้วนี่ บ่วงแห่งเหตุและผลระหว่างข้ากับพวกเขาจบสิ้นลงแล้วส่วนเื่บ่วงแห่งเหตุและผลกับสำนักเทียนหลาน ก็ยิ่งเป็ไปไม่ได้ใหญ่เลย”
“แน่นอนว่าเหตุและผลของเ้ากับพวกเขาจบสิ้นลงแล้วแต่นักดาบที่ช่วยเ้าช่วยชีวิตวู๋ถงล่ะ? เ้าไม่ติดค้างอะไรต่อเขาเลยรึ?”
“เขาตายไปแล้ว” ชิงหลุนพูดเสียงเย็นะเื
“แต่ศิษย์ของเขายังมีชีวิตอยู่”
ชิงหลุนนิ่งเงียบไป นางหัวใจกระตุกวูบเพราะจู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่ามีเส้นบางๆ ที่แสนเรืองรางพุ่งออกมาจากร่างของตนแล้วทอดออกไปไกลลับตา นางรู้ดีว่าหากสิ่งที่ไคหยางพูดเป็ความจริง อีกด้านของเส้นเชือกต้องเป็เด็กหนุ่มในคืนหิมะโปรยเมื่อสองปีก่อนเป็แน่แท้
มันเป็เส้นแห่งเหตุและผลนั่นเองแต่เพราะเบาบางมากจนเกินไป ดังนั้น แม้แต่ชิงหลุนที่เข้าใจกฎของโลกอย่างดีก็ยังยากจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันเลย ทว่าในตอนนี้ เมื่อไคหยางพูดเฉลย ในที่สุดนางก็ััถึงมันได้เสียที
“เ้ากำลังจะไปทำหน้าที่ที่เมืองหลวงนี่พอดีเลย จะได้ทำให้บ่วงแห่งเหตุและผลนี้สิ้นสุดลงเสียที” ไคหยางพูดขึ้นอีกครั้ง
ชิงหลุนมีสีหน้าสับสนเล็กน้อยทว่าในที่สุดนางก็กัดฟันแน่น แล้วยกมือมาประสานกันเพื่อทำความเคารพต่อไคหยาง “ขอบคุณท่านผู้าุโที่ชี้แนะ”
วิชาที่นางฝึกอยู่ เป็วิชาปลงรักซึ่งมีส่วนสำคัญอยู่ที่ผู้ฝึกต้องมีจิตใจที่ใสสะอาด ไร้ซึ่งพันธะจากเหตุและผลซึ่งขั้นตอนในการฝึกก็คือการตัดความรู้สึกรักโลภโกรธหลงและพันธะแห่งเหตุและผลอออกไปให้ได้นั่นเอง ทว่ายิ่งมีระดับพลังที่สูงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ต้องทำจิตใจให้ว่างเปล่า และอยู่ให้ห่างจากพันธะแห่งเหตุและผลมากขึ้นไปด้วยซึ่งสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับวู๋ถงก่อนหน้านี้ก็เป็ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว เพราะแม้นางจะเป็นักรบแห่งดาราจักรแล้วแต่เพราะมีรัก จึงถูกพลังของวิชาปลงรักวกกลับมาทำร้ายในที่สุด และในครั้งนี้หากไม่ได้ไคหยางพูดเตือนก่อนหากนางไปพบเส้นเหตุและผลนี้ระหว่างการฝึกฝนในอนาคตล่ะก็ เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างคงจะสายเกินไปเสียแล้ว
“เล็กน้อยเท่านั้น” ไคหยางโบกมือ “ตอนนี้ มาคุยเื่ระหว่างเรากันเถอะ”
“เื่ระหว่างเรา?” ชิงหลุนชะงักนิ่งไปไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“ข้าเคยบอกไปแล้วไงว่าเรามีวาสนาต่อกัน” มันเป็สิ่งที่ไคหยางพูดเอาไว้ั้แ่เริ่มแรกแล้วในตอนแรก ชิงหลุนยังคิดว่าวาสนาที่ว่าหมายถึงพันธะแห่งเหตุและผลระหว่างนางกับเด็กคนนั้นเสียอีกแต่พอได้ฟังไคหยางพูดขึ้นเช่นนี้ นางจึงรู้ว่ามันมีความหมายอีกอย่างต่างหาก
“วาสนาอะไร?” นางถาม
“วาสนาแห่งการเป็ศิษย์และอาจารย์กัน”
คำเตือนเมื่อครู่ทำให้ชิงหลุนเริ่มให้ความสำคัญกับคำพูดของไคหยางมากขึ้นบ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นคำพูดที่ไคหยางเพิ่งกล่าวออกมาเมื่อครู่ก็ยังทำให้นางรู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี
“ข้ามีอาจารย์แล้ว” นางตอบ
ประมุขแห่งหอดาราถ่ายทอดวิชาปลงรักแก่นางทั้งยังสอนให้นางบำเพ็ญเพียรอีก เขาย่อมเป็อาจารย์ของนางอยู่แล้ว
“อาจารย์คือผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้และไขข้อสงสัยแก่ศิษย์”
“เขาถ่ายทอดวิชาใดแก่เ้า? ให้ความรู้เื่อันใด? และไขข้อข้องใจใดให้เ้า?” จู่ๆ เสียงของไคหยางก็ดังสนั่นขึ้นมันดังมากราวกับเสียงสายฟ้าฟาดเลยทีเดียว และทุกคำพูดของเขาก็มีความหมายลึกซึ้งเจาะลึกลงไปที่กลางใจของชิงหลุนทุกได้พยางค์เลย
ชิงหลุนหน้าซีดลงอย่างยากจะได้พบเห็นเป็เวลานาน กว่านางจะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางเหม่อลอย “ท่านอาจารย์สอนวิชาปลงรักกับข้า...”
“หึ! ” เพิ่งพูดไปได้แค่ครึ่งเดียว ไคหยางก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “นั่นเป็เพียงวิชานอกรีตเท่านั้น! ”
“ท่านอาจารย์บำเพ็ญเพียรจนมีพลังแข็งแกร่งหาใครเทียมได้จะบอกว่านั่นเป็วิชานอกรีตได้อย่างไร! ” ชิงหลุนตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวแม้ไคหยางจะมีบุญคุณต่อนาง แต่นางก็ไม่ยอมให้ใครมาพูดดูิ่ท่านอาจารย์เด็ดขาด
“จะนอกรีตหรือไม่ ต่อไปเ้าก็จะได้รู้เอง” ไคหยางไม่อยากถกเถียงเื่นี้กับนางเขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “แต่เ้ากับข้ามีวาสนาจะเป็ศิษย์และอาจารย์กันอออย่างแท้จริงแต่ว่า...”
“แต่ว่า...”
“พันธะแห่งเหตุและผลนี้ ถูกทำลายลงแล้ว”
“ถูกทำลายลงแล้วงั้นรึ?” ชิงหลุนะเิความตกตะลึงขึ้นอย่างฉับพลันสัญชาตญาณสั่งให้นางพูดขัด พูดปฎิเสธออกไปบอกว่าเป็ไปไม่ได้ที่พันธะแห่งเหตุและผลจะถูกทำลายลงได้แต่คำพวกนั้นกลับติดอยู่ในปากเมื่อหวนคิดถึงเื่ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนคิดถึงคมดาบของชายคนนั้น นางจึงได้แต่นิ่งเงียบลงอีกครั้ง
“ไม่ว่าเ้าจะเชื่อหรือไม่ ครั้งหนึ่งพันธะนี้เคยมีอยู่จริง” ไคหยางพูดต่อไป “ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อตัดพันธะนี้แก่เ้า”
“ทำไมต้องเป็วันนี้”
“เพราะหากพ้นจากวันนี้ไปแล้วในโลกก็จะไม่มีไคหยางอีกต่อไป”
ชิงหลุนแหงนหน้าขึ้นด้วยความสงสัยดาวไคหยางยังคงสว่างไสวและเจิดจ้าเป็อย่างมาก
นางกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมาแต่ก็พบว่าทันใดนั้น ก็มีลำแสงสีขาวพุ่งออกมาจากร่างของไคหยางปราณดาราสีขาวพุ่งออกมาภายนอก มันเป็ปราณดาราที่ใส และเรียบเนียนเป็อย่างมากทั้งภายในก็ยังมีัแหวกว่ายไปมาไม่หยุด ไคหยางถ่ายทอดคำสั่งทางความคิดจากนั้นปราณดาราก็กลายเป็ลำแสงสีขาว แล้วพุ่งเข้าไปในร่างของชิงหลุนในพริบตา
ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากชิงหลุนไม่ทันได้ตอบสนอง หรือทำความเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำเมื่อนางได้สติกลับมา ปราณดาราก็พุ่งเข้าไปในร่างกายเสียแล้วและแม้จะมีพลังมากมายมหาศาล แต่นางกลับตามหาเบาะแสหรือร่องรอยของปราณดาราในร่างไม่พบเลย
“ข้าเป็นักรบแห่งดาราจักรมาตั้งนานแล้วการสืบดาราในครั้งนี้ ไม่มีประโยชน์กับข้าเลยสักนิด” ชิงหลุนพูดด้วยความจนปัญญา นางไม่ค่อยจะเชื่อเื่วาสนาแห่งการเป็ศิษย์และอาจารย์ระหว่างตนกับไคหยางสักเท่าไหร่ทว่าการสืบดาราของนักรบแห่งดาราจักรช่างล้ำค่ายิ่งนักไม่คิดเลยว่าเขาจะมอบให้ตนง่ายๆ แบบนี้
“วันหน้า มันอาจจะช่วยชีวิตเ้าได้” ไคหยางกล่าวเช่นนั้น
จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปพลันแสงแห่งหมู่ดาวก็สาดส่องลงมาในพริบตา
วินาทีนั้น จู่ๆชิงหลุนก็รู้สึกว่าร่างของคนตรงหน้าสง่างาม ทว่าก็โดดเดี่ยวเหลือเกิน
“ท่านจะไปไหน?” นางถามอย่างอดไม่ได้
“ไปฆ่าคน” ไคหยางตอบ
กลิ่นอายแห่งพลังะเิขึ้นภายในร่างของเขาพลันพลังิญญาจากทั่วทุกสารทิศก็พุ่งเข้ามารวมกันอย่างรวดเร็ว
จู่ๆท้องฟ้าที่มืดสนิทก็มีดวงดาวนิรนามปรากฏขึ้นดวงแล้วดวงเล่า เพียงพริบตาเดียวท้องฟ้าที่เคยมืดมนก็เต็มไปด้วยดวงดาวเสียแล้ว เมื่อมองดูอย่างละเอียดจะพบว่าดาวพวกนั้นกำลังโอบล้อมดาวไคหยางเอาไว้ ราวกับดาวล้อมเดือนคล้ายเป็ขุนนางที่รับใช้จอมราชันของตนอยู่เช่นนั้น
วินาทีนั้น จู่ๆดาวไคหยางก็ประกายแสงที่เจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนออกมาส่องให้ทางหลวงนอกเมืองฉางอันสว่างไสว ไม่ต่างไปจากตอนกลางวันเลย
เพราะมีผ้าสีขาวปิดอยู่จึงดูไม่ออกว่าชิงหลุนมีสีหน้าเป็อย่างไรกันแน่ ทว่าดวงตาคู่นั้นบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความตกตะลึง
มันเป็ระดับพลังที่เหนือกว่าพลังระดับดาราจักรไปมากนับหมื่นปีที่ผ่านมา นอกจากประมุขแห่งหอดาราในแต่ละยุคแล้ว ก็ไม่เคยมีใครมีพลังอยู่ในระดับนี้อีก
“เหนือกว่าดาราจักรคือไท่ซ่างทว่าไท่ซ่างต้องปลงรัก”
จู่ๆนางก็คิดคำหนึ่งที่บันทึกอยู่ในวิชาปลงรักขึ้นมา
“หลังจากวันนี้ โลกจะไม่มีไคหยางอีก”
นางมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอึ้งๆขณะที่ปากก็กล่าวพึมพำเสียงแ่ไปด้วย
ฉางอัน สำนักเทียนหลานภายในหออวี้เหิง
ชายชรานอนอยู่บนเตียงที่สุดแสนจะธรรมดา
เขามีท่าทางคล้ายจะเหน็ดเหนื่อยมากคนชราหรี่ตาลงจนกลายเป็เส้นตรง ความง่วงซึมในดวงตาคู่นั้นมีมากและเข้มข้นไม่ต่างไปจากความมืดบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนเลย แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยอมหลับตาลงเสียที ราวกับว่าคนผู้นี้กำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง...ราวกับว่า หากหลับตาลง เขาจะไม่มีทางฟื้นกลับมาอีกเช่นนั้น
จู่ๆ ท้องนภาด้านนอกก็สว่างไสวขึ้นแสงเจิดจ้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง ส่องให้ของตกแต่งอันแสนเรียบง่ายภายในห้องปรากฏต่อสายตาได้อย่างชัดเจนราวกับตอนนี้เป็เวลากลางวันก็ไม่ปาน
ดวงตาที่คล้อยลงต่ำและตลบอบอวลไปด้วยความง่วงซึมเบิกโพลงอย่างกะทันหันราวกับว่าเ้าของดวงตาััได้ถึงอะไรบางอย่างสายตาที่พร่าเบลอเปล่งประกายไปด้วยแสงทองอร่าม อวี้เหิงลุกขึ้นมาจากเตียงนอนแล้วเปิดหน้าต่างออกด้วยท่าทางรีบร้อน
คนชราแหงนหน้ามองไปท้องนภาเบื้องบนสายตาของเขาทั้งลึกซึ้งทว่าก็เก่าแก่เหลือเกินราวกับว่าเ้าของดวงตากำลังหวนนึกถึงเื่ราวในอดีตแต่ก็คล้ายกำลังเศร้าโศกกับอะไรบางอย่าง
ท้องนภาเบื้องบนมีดวงดาวประดับประดาอยู่มากมายคล้ายหยดน้ำในมหาสมุทรแต่ดวงดาวสองดวงในนั้นกลับแลดูโดดเด่นเหลือเกิน ...ดวงหนึ่งกำลังจะมอดแสงลงส่วนอีกดวงก็ประกายแสงเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน...
คนชรามองค้างอยู่เช่นนั้น
เขามองท้องฟ้าเป็เวลานานก่อนหยดน้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาพร่าเบลอในที่สุด
“สุดท้ายแล้วเ้าก็ยังมาถึงจุดนี้จนได้สินะ” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพึมพำขึ้น
“ในที่สุดโลกใบนี้ก็เหลือข้าเพียงคนเดียวแล้ว”
“แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังตายตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี”
นั่นสินะ ข้าจะตายไปทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร
เมล็ดพันธุ์ของสำนักเทียนหลานยังไม่ทันได้งอกต้นอ่อนออกมาเลย
ดวงิญญาแห่งวีรบุรุษหลับใหลอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว
ทว่าเทพที่แสนชั่วร้ายพุ่งกรงเล็บมาที่โลกอีกครั้งแล้ว...
แม้โลกใบนี้จะไม่ได้งดงาม...
...แต่คนที่แสนงดงามก็ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ และดับสูญลงอย่างต่อเนื่อง
ก่อนคนที่สามารถปกป้องโลกใบนี้จะปรากฏตัวขึ้น...
ข้าจะเข้านิทราอย่างวางใจได้อย่างไร...