“นังโง่ เ้าเอ่ยวาจาบัดซบอันใดเหตุไฉนเปิ่นกงต้องไปขอขมานังเหยาโม่ซินด้วย หลีกไป อย่ามาขวางทางเปิ่นกง”หวนไฉ่เอ๋อร์ไหนเลยจะยอมถูกคนเขลาคนหนึ่งข่มขู่ ตวัดสายตาใส่เหยาโม่หว่านอย่างกราดเกรี้ยว
“เปิ่นกงไม่ไป! ว้าย...”ขณะที่หวนไฉ่เอ๋อร์ยืนกรานหนักแน่นก็ถูกเหยาโม่หว่านผลักอย่างแรงจนกระเด็นตกจากศาลาลงไปในทะเลสาบตูมใหญ่ ผืนน้ำสาดซัดแตกกระจายเป็ฟองคลื่นสะท้อนแสงวาววับภายใต้ดวงตะวันเจิดจ้า
“พระสนม...เฉินเฟย ช่วยด้วย!พระสนมตกน้ำ ใครก็ได้รีบมาช่วยพระนางเร็ว ๆ จะ...จะ...เ้า!”จื่อเซียงผลักทิงเยว่ทันที ก่อนวิ่งไปยังราวกั้น จนใจที่นางว่ายน้ำไม่เป็เช่นกันได้แต่จ้องมองเ้านายของตนเองตะเกียกตะกายอยู่ในสระ แม้แต่ฤดูวสันต์อันอบอุ่นแต่น้ำในทะเลสาบยังคงเย็นะเื
“ข้าให้โอกาสนางเลือกแล้วนะแต่ผู้อื่นไม่ยอมเอง ช่วยไม่ได้!” เหยาโม่หว่านยักไหล่อย่างไม่รู้สึกผิดพลางชักสีหน้าใส่จื่อซวงหลังจากนั้นก็หันมาส่งสัญญาณให้ทิงเยว่ซึ่งนิ่งอึ้งตะลึงค้างอยู่ด้านข้างให้ไปจากที่นั่น
“นังหญิงโง่เ้านายข้าไม่ปล่อยเ้าไปแน่ ว้าย!” ขณะที่จื่อซวงกำลังเอ่ยวาจาโอหังทิงเยว่ก็ปราดเข้าไปผลักนางตกลงไปในน้ำ รวดเร็วเสียยิ่งกว่ายามสายฟ้าฟาดแล้วไม่ทันอุดหูผืนน้ำแตกกระจายหนักยิ่งกว่าคราหวนไฉ่เอ๋อร์ จนกระเซ็นขึ้นมาเปียกอาภรณ์งดงามของเหยาโม่หว่าน
“ทิงเยว่ เ้าทำอะไรน่ะ?”เหยาโม่หว่านเหลียวมองทิงเยว่ที่กำลังปัดมือแล้วเดินเข้ามาหาตนเองด้วยสายตาประหลาดใจ
“นางบังอาจพูดจาสบประมาทพระสนมบ่าวย่อมต้องสั่งสอนให้รู้ดีชั่วเสียหน่อย”ทิงเยว่แสดงทีท่าปกป้องนายด้วยความจงรักภักดี
เปิ่นกงรู้ว่าหวนไฉ่เอ๋อร์ว่ายน้ำเป็เลยไม่ห่วงว่านางจะเป็อันตราย แต่เ้าแน่ใจหรือว่าจื่อซวงจะไม่จมน้ำตายเสียก่อน?”เหยาโม่หว่านแสร้งตีหน้าขรึมมองสาวใช้คนสนิททิงเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดราวกับกระดาษ ตั้งท่าจะวิ่งกลับไปที่ศาลาแต่ถูกเหยาโม่หว่านรั้งให้กลับมา
“กลับตำหนักกันเถิด”เหยาโม่หว่านกล่าวเรียบ ๆ
“แต่ว่า...”
“องครักษ์ลาดตระเวนวิ่งมาโน่นแล้วพวกนางไม่ตายหรอก” ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ รอยยิ้มภายใต้ก้นบึ้งดวงตาฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นเ้านายเดินออกไปจากศาลาอย่างไม่อนาทรร้อนใจทิงเยว่ก็หมุนตัวกลับเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ยามกลับไปถึงตำหนักกวานจวีเหยาโม่หว่านขึ้นไปนั่งเอกเขนกอย่างเอ้อระเหยบนเก้าอี้กุ้ยเฟย [1]ทว่าเ้าปุกปุยในอ้อมแขนยังเหยียดเท้ายืดเอวโก่งก้นขึ้นดูเกียจคร้านยิ่งกว่าเ้านายเสียอีก
“หลิวสิ่งยังไม่กลับมาอีกหรือ?” เหยาโม่หว่านลูบตัวแมวน้อยพลางเอ่ยถามเสียงเรียบแต่หลังจากรออยู่นานมิได้คำตอบ จึงเหลือบตาขึ้นมองถึงเห็นทิงเยว่ถือผ้าเช็ดหน้าเดินวนไปวนมาอยู่บริเวณหน้าประตูตำหนักอย่างร้อนใจ
“ทิงเยว่?”เหยาโม่หว่านเอ่ยเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทิงเยว่ได้ยินก็รีบกลับมาอยู่ข้างกายผู้เป็นายสีหน้าอมทุกข์เป็หนักหนา
“พระสนม นี่ก็ใกล้ยามโหย่ว[2]แล้วท่านว่าเพราะเหตุใดถึงยังไม่เห็นพวกพระสนมเฉินเฟยมาเสียที?” ทิงเยว่เอ่ยถามอย่างลุกลี้ลุกลน
“พวกนางจะมาทำไม?”เหยาโม่หว่านมิได้นำพา
“ย่อมต้องมาเอาผิดกับพวกเราสิเพคะ”ทิงเยว่ตอบกลับอย่างมีเหตุผล
“เชอะ!ถึงพวกนางคิดจะเอาผิดก็ไม่มาตำหนักกวานจวีหรอก เ้าวางใจได้” เหยาโม่หว่านอมยิ้มน้อยๆนิ้วมือเรียวปานแท่งหยกลูบไล้ไปบนเส้นขนนุ่มนิ่มสีขาวปานหิมะของเ้าปุกปุยอย่างสบายมือ
“ไม่มาตำหนักกวานจวีแล้วจะไปที่ใดเล่า บ่าวไม่เข้าใจเพคะ?” ทิงเยว่มองเ้านายด้วยสีหน้าฉงนหัวคิ้วขมวดย่นจนเป็รอยหยักสามเส้น
“ตำหนักหวาชิงอย่างไรเล่าแม้ว่าหวนไฉ่เอ๋อร์จะมีอุปนิสัยมุทะลุ แต่กลับไม่โง่เขลาหากนางมาตำหนักกวานจวีโดยตรง จะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกน้ำสาดเข้าให้อีกถังอีกอย่างถ้าข่าวที่ว่านางถือสาหาความกับคนเขลาคนหนึ่งแพร่งพรายออกไปย่อมไม่เป็ผลดี หากคิดจะทวงถามความยุติธรรม ย่อมต้องหาคนที่เข้าใจในเหตุผล”แววตาของเหยาโม่หว่านเฉียบคมราวกับคมมีดประหนึ่งว่าทุกย่างก้าวของแต่ละคนล้วนเดินไปตามแผนการของตนเองทั้งสิ้น
“พระสนมทรงปรีชายิ่ง”ทิงเยว่รู้สึกเลื่อมใสเหยาโม่หว่านในเพลานี้เป็อย่างยิ่งเหมือน์ประทานสติปัญญาอันไร้ขอบเขตมาให้แก่เ้านายของตนทำให้สามารถมองสถานการณ์ความวุ่นวายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
...
เชิงอรรถ
[1] เก้าอี้กุ้ยเฟยหรือตั่งคนงามก็ว่า เป็ตั่งแบบยาวมีที่เท้าแขนเพียงด้านเดียวสำหรับขึ้นไปนอนเอกเขนกอย่างสะดวกสบายมักเป็เครื่องเรือนในห้องของสตรีสูงศักดิ์หรือมีฐานะมั่งคั่ง
[2] ยามโหย่ว หรือยามระกาหมายถึงเวลาใน่ระหว่าง 17.00-18.59 น.