“แค่เรียนรู้จากความผิดพลาดเท่านั้นเองช่างเถิด...หลิวสิ่งเล่า? ยังไม่กลับมาอีกหรือ?” พอเหยาโม่หว่านถามถึงก็เห็นหลิวสิ่งวิ่งเข้ามาในตำหนักอย่างเร่งร้อน
“หลิวสิ่งถวายบังคมพระสนม”หลังจากเข้าวังมาอยู่ในวังได้สองสามวัน หลิวสิ่งย่อมเรียนรู้กฎระเบียบในวังหลังมาพอสมควรแล้ว
“ลุกขึ้นเถิดไปสอบถามได้ความอย่างไรบ้าง?”แววตาขณะที่มองบ่าวชายผู้ซื่อสัตย์ยังเจือไปด้วยความรู้สึกปวดใจบุรุษผู้นี้เป็คนยึดมั่นถือมั่นยิ่งนัก แม้รู้ว่าจะไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนก็ยังคงพร้อมทุ่มเทเสียสละทุกอย่างโดยไม่ห่วงสิ่งใดทั้งสิ้นมีหลิวสิ่งคอยปกป้องคุ้มครองด้วยความรัก ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของน้องสาวตนเองคงจะมีความสุขไม่น้อย
“ทูลพระสนมพ่อบ้านเหยาเล่าว่าฟูเหรินสามกับคุณชายน้อยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในจวนอัครเสนาบดีแล้วเพียงแต่มีชีวิตที่ไม่ค่อยเป็สุขนักฟูเหรินใหญ่มักหาเื่เฆี่ยนตีฟูเหรินสามอยู่บ่อยครั้งกับคุณชายน้อยก็ไม่เคยทำดีด้วย แต่เพราะมีนายท่านเป็อุปสรรคขัดขวางจึงยังไม่กล้าทำสิ่งใดเกินเลย ทว่าก็เป็เื่ที่แค่รอเวลาช้าหรือเร็วเท่านั้น”หลิวสิ่งรายงานข่าวที่ได้ยินมาจากปากของเหยาถูให้เหยาโม่หว่านฟังทั้งหมด
“ท่านพ่อไม่สนใจอันใดเลยหรือ?”เหยาโม่หว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เพียงแต่รู้สึกเห็นอกเห็นใจซูมู่จื่อแต่ยังเกิดความละอายใจอยู่ราง ๆ ถ้าไม่เป็เพราะความประสงค์ของตนเองพวกนางสองแม่ลูกคงไม่ต้องลำบากจากการถูกเปิดโปงสถานะเร็วขนาดนี้ซูมู่จื่อกับมารดาของนางมีชะตากรรมแบบเดียวกันคือถูกบิดาบีบบังคับให้ต้องยอมจำนนกับการกดขี่ของภรรยาเอก ด้วยน้ำใจและเหตุผลแล้วนางไม่อาจนิ่งดูดายมองผู้อื่นได้รับความไม่เป็ธรรม
“อาจเป็เพราะมีหวงกุ้ยเฟยเป็อุปสรรคขวางกั้นนายท่านจึงทำได้เพียงคุ้มครองคุณชายน้อยไม่ให้ถูกฟูเหรินใหญ่ทำร้ายแต่ต้องหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่งเื่ฟูเหรินสามพ่ะย่ะค่ะ” หลิวสิ่งทอดถอนใจ
“แต่ไหนแต่ไรมานายท่านก็เป็เช่นนี้ ครานั้นแม้ทราบว่าฟูเหรินใหญ่ใช้ให้เกาหมัวมัววางยาพิษฟูเหรินรองทว่ากลับทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่จัดการอะไรสักอย่าง”วาจาของหลิวสิ่งกระตุ้นโทสะในหัวใจของทิงเยว่ในบัดดล เื่ราวเหล่านี้ล้วนออกมาจากปากของเกาหมัวมัวยามที่ทรมานนางอยู่ในห้องลงทัณฑ์วันนั้น
“ทิงเยว่!” หลิวสิ่งร้องปรามเบา ๆด้วยเกรงว่าจะทำให้เหยาโม่หว่านะเืใจ
“ไม่เป็ไร ไปเตรียมสำรับมื้อค่ำเถิดเปิ่นกงหิวแล้ว” เหยาโม่หว่านยังคงลูบไล้เ้าปุกปุยอย่างนุ่มนวลริมฝีปากสีแดงทอยิ้มอ่อน ทว่าหัวใจคล้ายถูกผนึกด้วยน้ำแข็งเย็นะเื
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”หลิวสิ่งถอยออกไปจากตำหนักอย่างนอบน้อม ก่อนตรงไปยังห้องเครื่อง
หลังจากหลิวสิ่งจากไปแล้ว จู่ ๆเย่จวินชิงก็มาปรากฏตัวที่หน้าประตูตำหนักกวานจวีแสงสีทองที่ทาบไล้ลงมาราวกับรัศมีเปล่งประกายขับเสริมให้ดวงหน้าคมสันหล่อเหลายิ่งเป็เลิศเหนือความงดงามใดในปฐีจนบางครั้งเหยาโม่หว่านเองยังนึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดผู้ที่อยู่แต่ในสนามรบมาตลอดหลายปีจึงมีผิวพรรณขาวกระจ่างได้ถึงเพียงนั้นผุดผ่องเสียจนตนเองยังอดริษยาไม่ได้
“ถวายบังคมซู่ชินหวาง เชิญหวางเยี่ยด้านในเพคะ”ทิงเยว่เป็เพียงดรุณีน้อย เมื่อเห็นบุรุษรูปงามมาเยือนถึงประตูตำหนักไม่ทันถามเ้านายของตนเองว่ายินดีหรือไม่ ก็ลืมตัวเชิญเย่จวินชิงเข้ามาเสียแล้ว แต่เหยาโม่หว่านย่อมไม่อาจตำหนิสาวใช้แม้แต่นางคณิกาที่เห็นบุรุษรูปงามมาจนเคยชินยังไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของเขานับประสาอันใดกับสาวใช้นางหนึ่ง
ทว่าเหยาโม่หว่านกลับสังเกตเห็นว่าเย่จวินชิงมิได้มีสีหน้าเป็มิตรเช่นเดียวกับสาวใช้ของตนหลังจากเดินมาถึงห้องโถงรับแขก เขาก็ออกคำสั่งให้ทิงเยว่ออกไปด้วยน้ำเสียงดุดันตามคาดหมาย
“ออกไปก่อนเปิ่นหวางมีวาจาจะคุยกับนายของเ้า” ทิงเยว่ตะลึงงันไปชั่วขณะหันมามองเหยาโม่หว่านด้วยสีหน้างุนงง
“เ้าออกไปเฝ้าหน้าประตูไว้หากไม่มีคำสั่งจากเปิ่นกง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาทั้งสิ้น อ่อ...จริงสิพาเ้าปุกปุยออกไปด้วย” เหยาโม่หว่านพูดพลางส่งแมวน้อยให้ทิงเยว่ นางไม่อยากให้มันกลายเป็ปลาในบ่อที่ต้องมาพลอยเดือดร้อนเพราะไฟไหม้กำแพงเมือง[1] ดูจากท่าทางของเย่จวินชิงแล้ว เหมือนจะลุโทสะจริง ๆ
หลังจากประตูตำหนักถูกปิดลงเหยาโม่หว่านก็ลุกขึ้นมา เดินนวยนาดไปข้างโต๊ะ ยกป้านชาขึ้นรินน้ำชาใส่ถ้วยสองใบใบหนึ่งสำหรับดื่มเอง อีกใบเลื่อนไปตรงหน้าเย่จวินชิง
“เ้าเป็ใครกันแน่?”น้ำเสียงของเย่จวินชิงกรุ่นไปด้วยโทสะ เขาไม่มีอารมณ์จะมาจิบชาสายตาจดจ้องเหยาโม่หว่านเขม็ง รอคอยคำตอบจากปากของนาง
...
เชิงอรรถ
[1] มาจากสำนวน ไฟไหม้กำแพงเมืองเดือดร้อนมาถึงปลาในบ่อ มีความหมายว่าพลอยรับเคราะห์หรือเสียหายไปด้วย