“ปู่ ปล่อยผมไปเถอะยังไงของเล่นชิ้นนั้นมันก็หายไปแล้ว หาไม่เจอแล้วจริงๆ...” ชายร่างสูงหรือคนที่มีชื่อเรียกว่ามู่เทียนหนาน ผู้จัดการใหม่สาขาแยกของบริษัทเมล็ดพันธุ์“อี้เฟิง” กำลังก้มหัวให้กับปลายสายราวกับว่าคนปลายสายนั้นจะสามารถมองเห็นท่าทางของเขาได้
เขายืนโทรศัพท์อยู่ที่หน้าประตูภาพของเขาที่กำลังก้มหัวให้กับปลายสายปรากฏอยู่ในดวงตาของพนักงานขายร่างอวบที่เป็คนทำเมล็ดโสมหายไปทำให้เธอยิ่งรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา
อา ผู้จัดการมู่เป็คนดีจริงๆ เลยต้องมารับผิดแทนพนักงานอย่างตัวเองพนักงานขายร่างอวบทั้งกลัวว่าจะโดนบริษัทไต่สวนหาความรับผิดชอบทั้งทนไม่ไหวจนเผลอส่งสายตาแดงระเรื่อไปให้มู่เทียนหนานที่กำลังถือสายโทรศัพท์ในใจของเธอก็ได้แต่คิด ผู้จัดการมู่หน้าตาก็ดี จิตใจก็งดงาม เป็คนที่ดีจริงๆนะ...
มู่เทียนหนานไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ถูกคิดว่าเป็“คนดี” ไปแล้ว เขาจะเอาจิตใจที่ไหนไปนึกถึงความคิดของพนักงานขายร่างอวบคนนั้นกันในเมื่อตอนนี้เขากำลังโดน “คนแก่” ปลายสายกดดันเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
“ไม่มีจริงๆจะฆ่าผมให้ตายยังไงก็ไม่มี!” มู่เทียนหนานสูญเสียความอดทนเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า “่เวลาที่ต้องโดนกักขัง” ของตัวเองจะต้องยืดยาวออกไปมากขึ้น เพราะเหตุผลนี้
“เด็กโง่ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่นัก เดี๋ยวจะเรียกให้พ่อแกมาจัดการ!” เสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหดังออกมาจากเครื่องโทรศัพท์ทำเอาหูของคนที่รับฟังถึงกับสั่นะเื มู่เทียนหนานหันหน้าหนีใจจริงอยากจะปาโทรศัพท์ในมือของตัวเองทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่แค่นึกถึงพ่อของตัวเองขึ้นมา ความกล้าที่มีก็มลายหายไปจนหมดสิ้น
ล้อเล่นอะไรกันถ้าคิดว่าปู่เป็คนโมโหร้ายแล้วแบบนั้นพ่อของเขาคงเป็ระดับโเี้ก็ว่าได้...เพราะนิสัยเผด็จการแบบนี้ถึงได้จัดการลากตัวเขากลับมาจากนิวยอร์กสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงบและความสุขของเขา แถมยังส่งมาที่เมือง R อะไรนี่อีกสาวสวยผมทองที่รัก ผมคิดถึงพวกคุณจะตายอยู่แล้ว!
จิตใจของมู่เทียนหนานได้แต่ร้องครวญครางในขณะที่ปากของเขายังคงพร่ำพ่นคำสวยงามออกมา “คุณปู่ ช่วยให้เวลาผมอีกสักหน่อยเถอะนะครับผมหามันมาได้ครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีครั้งที่สอง ปู่ต้องเชื่อใจผมนะแล้วไปคุยกับพ่อให้หน่อยนะ นะ”
“อา...” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปลายสาย “ไม่ต้องมาหลอกฉันเลยนะโสมป่าอายุกี่ร้อยปีนั่น แม้แต่จะใช้คนในตระกูลเราเข้าไปหาในป่าลึกเท่าไรก็ยังไม่แน่ใจว่าจะโชคดีได้เจอกิ่งที่มีเมล็ดติดมาด้วยเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่า”
เมื่อมู่เทียนหนานรับรู้ได้ถึงความหดหู่ในเสียงของปู่ก็ได้แต่โทษความสะเพร่าไม่ระวังของตัวเอง ก่อนจะพูดออกไป “ใช้ก้านโสมอันนั้นไม่ได้เหรอ? โดยปกติแล้วฤทธิ์ยาของตัวโสมมันแรงกว่าเมล็ดนี่นา...” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่ามันต้องเก็บเป็ความลับอะไรหรือเปล่าจึงต้องกดเสียงให้เบาลง ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองที่ชั้นสอง
“ทุกสิ่งบนโลกต่างมีพลังในตัวเองพลังของโสมหากใช้กับคนธรรมดาแล้ว ก็นับว่ายังพอรับได้แต่ถ้าหากเป็คุณปู่กัวของแกแล้ว มันคงรุนแรงเกินไป...แกควรจะรู้ไว้นะ สุขภาพไม่ดีจะรับอะไรหนักๆ เข้าไปอีกย่อมเป็ไปไม่ได้ จะทรมานร่างกายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของปลายสายก็แสดงความอ้างว้างเล็กๆ ออกมา
คุณปู่กัวในตอนนั้นท่านมักจะอุ้มเขาขึ้นขี่คออยู่บ่อยๆ เสียงหัวเราะเสียงดังคนที่ชอบทานเนื้อคนนั้น ตอนนี้ระบบโลหิตถูกทำลายไปมาก จนไม่อาจจะรับผลจากโสมห้าร้อยปีได้อีกแล้วอย่างนั้นเหรอ...มู่เทียนหนานพูดพึมพำกับตัวเองเขายังจะสามารถทำอะไรให้กับคนคนนั้นได้บ้างไหมนะ?
แต่ปู่แท้ๆ ของตัวเองนั้น ในความทรงจำของเขาคือท่านปู่ที่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วท่านเองก็คงจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้สินะ?
แม้แต่คำสัญญามู่เทียนหนานยังไม่อาจจะพูดออกไปได้ความเงียบเข้าปกคลุมบทสนทนาระหว่างหลาน-ปู่ของทั้งคู่ บรรยากาศเริ่มกดดันขึ้นมาจนท้ายที่สุดปลายสายก็เป็ฝ่ายกดตัดสายไปก่อน
“ตื๊ด ตื๊ด...” เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ใบหน้าของมู่เทียนหนานไม่ได้มีความยโสโอหังอย่างในเวลาปกติอีกต่อไป
นิ้วเรียวยาวของเขาเคาะลงบนโต๊ะเขาใช้ความคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบเอากระดาษ A4 ออกมาจากลิ้นชักพร้อมเหลาดินสอไม้ในมือจนแหลม แล้วจึงลงมือตวัดปลายดินสอลงบนกระดาษขาวทันที
เพียงการขยับมือไม่กี่ครั้งภาพร่างด้านข้างก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษสีขาวใบนั้นเรือนผมยาวสลวยลงมาจนถึง่เอวก็ถูกวาดออกมาจนเห็นเป็รูปร่าง จมูก ปากหู...มู่เทียนหนานวาดรูปเ่าั้ออกมาตามภาพในความทรงจำของเขาได้อย่างสบายๆหากแต่มีเพียงดวงตาเท่านั้น ที่เขาไม่อาจจะวาดออกมาได้ง่ายๆ ตามความคิด
เขาแก้ไขมันเล็กน้อยก่อนที่มู่เทียนหนานจะยกโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาเพื่อโทรไปหาเสี่ยวหยวนที่อยู่ด้านล่างให้ขึ้นมา
เสี่ยวหยวน คือชื่อของพนักงานขายร่างอวบคนนั้นใบหน้ากลมๆ ที่ดูน่ารักน่าชังของเธอ ช่างเข้ากันได้ดีกับชื่อนี้
เมื่อถูกมู่เทียนหนานเรียกไปพบหัวใจของเสี่ยวหยวนก็เต้นถี่รัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าผู้จัดการเรียกเธอไปด้วยเหตุผลอะไร
“ผู้จัดการมู่?” น้ำเสียงที่ดูกล้าๆ กลัวๆ ของเสี่ยวหยวน ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกเอ็นดู
“เข้ามา” แต่มู่เทียนหนานในตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะไปเอ็นดูอะไรใครทั้งนั้นเขารีบเรียกให้เธอเข้ามาโดยไว
เสี่ยวหยวนผลักประตูเข้ามาก่อนที่มู่เทียนหนานจะชี้ไปที่กระดาษใบหนึ่งบนโต๊ะ
“เอ๋ นี่มัน...” เสี่ยวหยวนรู้สึกใขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ารูปของคนที่อยู่บนกระดาษ A4 ใบนั้น ช่างดูละม้ายคล้ายคลึงกับหลินลั่วหรานที่เธอเคยพบแม้จะเป็ใบหน้าด้านข้าง แต่ก็ทำให้เสี่ยวหยวนนึกออกขึ้นมาในทันที
เห็นดังนั้นมู่เทียนหนานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ แต่เสี่ยวหยวนกลับพูดต่อออกมา “แต่ว่า...” จนทำให้ใจของมู่เทียนหนานแกว่งไปเล็กน้อย
“แต่อะไร?” มู่เทียนหนานตั้งใจจะใช้รูปภาพนี้ออกตามหาตัวถ้าทำให้เหมือนได้ที่สุดก็ยิ่งดีน่าเสียดายที่วันนั้นเขาเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเธอเท่านั้นต่อให้วาดออกมาดีกว่านี้ แต่ก็... อยากจะกระอักเืออกมาหลังจากนี้จะต้องเรียกให้คนมาจัดการติดกล้องวงจรปิดแล้ว ถึงบริษัทเมล็ดพันธุ์จะไม่ค่อยมีอะไรแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีกล้องวงจรปิดได้ใช่ไหมล่ะ เพราะถ้าเป็แบบนั้นก็คงจะไม่ต้องมาลำบากแบบนี้หรอก
เสี่ยวหยวนลังเลเล็กน้อย “เหมือนว่าดวงตาจะดูไม่ค่อยเหมือนเท่าไรนะคะดวงตาของผู้หญิงคนนั้น เปล่งประกาย ใช่แล้ว เหมือนกับดวงดาวเลยล่ะค่ะ” ในที่สุดเสี่ยวหยวนก็สามารถหาคำขยายความที่เหมาะสมออกมาได้จึงถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจเช่นกัน
มู่เทียนหนานเลิกคิ้วขึ้นเขาเองก็รู้สึกว่าดวงตาไม่ค่อยเหมือนเช่นกัน ตอนนั้นไม่ทันได้รู้สึกอะไรแต่ตอนนี้เมื่อคิดกลับไปแล้ว ท่าทางของเธอดูพิเศษกว่าคนอื่นจริงๆ ไม่ว่าจะวาดอย่างไรก็ไม่อาจจะวาดออกมาได้เลย น่ากังวลจริงๆ
หลังจากบอกให้เสี่ยวหยวนกลับไปแล้วมู่เทียนหนานนั่งพิจารณาอยู่สักพัก ก่อนจะกดโทรศัพท์หาคนคนหนึ่ง “ฉันอยากจะตามหาคนคนหนึ่ง...”
ปลายสายตอบกลับมาไม่กี่ประโยคมู่เทียนหนานก็พูดขึ้น “ใช่ อยู่เมือง R เป็ผู้หญิง ฉันมีรูปเหมือนด้านข้างอยู่...ฉันรู้ว่ามันยากไม่งั้นจะโทรหาแกทำไมล่ะ?”
ปลายสายดูเหมือนจะกังวลอยู่นิดหน่อยจึงตอบกลับมาโดยน้ำเสียงอู้อี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าเื่นี้เป็เื่ที่ยากลำบากสำหรับพวกเขาทีเดียว
มู่เทียนหนานเงียบไปชั่วครู่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็เื่ยาก จึงพูดเสริมต่อไป “สบายใจได้ ถึงจะวาดออกมาตามที่จำได้ก็เถอะแต่ดวงตาคู่นั้น ทำให้แยกออกได้ง่ายมากทีเดียว เป็เอกลักษณ์เลยแหละ”
ปลายสายถามกลับว่ามีเอกลักษณ์อย่างไรมู่เทียนหนานจึงตอบกลับไปว่า “เหมือนดวงดาว” ทำเอาตัวเองหน้าแดงไปหมดนี่มันถือเป็เอกลักษณ์อะไรไหม แต่ก็ไม่รู้จะหาคำไหนที่มันเหมาะมาใช้แล้วลำบากจริงๆ
ปลายสายถามออกมาด้วยความระมัดระวัง “เจอแล้วให้ส่งที่อยู่ให้ใช่ไหม?”
คำถามจากอีกฝ่ายทำเอามู่เทียนหนานโมโหขึ้นมาจนได้ “พูดอะไรบ้าบอ จะบอกให้นะครั้งนี้ไม่ใช่ล่าเหยื่ออะไรทั้งนั้น เป็ปู่ที่ตามหาต่างหาก เดี๋ยวจะส่งรูปไปให้หาไม่เจอก็รับผิดชอบด้วยละกัน!”
เมื่อถูกคิดว่าเป็เพียงลูกคนรวยที่ดีแต่ล่าสาวๆไปวันๆ มู่เทียนหนานรู้สึกกลุ้มใจเป็อย่างมาก เขาไม่คิดเลยถ้าไม่ใช่ว่าเพราะวีรกรรมที่เขาก่อเอาไว้ก่อนหน้า ทำไมคนอื่นถึงจะได้มีความคิด“แปลกๆ” แบบนี้กับเขา?
คนที่ทำให้มู่เทียนหนานต้องนั่งเศร้าใจอยู่แบบนี้อย่างหลินลั่วหรานนั้นไม่ได้รู้เลยว่ามีชายร่างสูงคนหนึ่งต้องกลัดกลุ้มใจอยู่เพราะเธอ
หรือต่อให้เธอรู้ เธอในตอนนี้ก็คงจะไม่มีใจไม่สนอะไรเขาหรอก
เพราะว่าตอนนี้ หลินลั่วหรานเองก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นกัน...