กลุ่มมือสังหาร นักเลงผู้ปลิดชีพได้โดยไม่กะพริบตา แต่เพียงไม่ถึง 3 วินาที รถก็พลิกคว่ำ ทำเอาคนขาดอากาศ พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็ถูกชนจนปางตาย
หวังจงที่เืกบหน้าคว้าปืนออกมาจากรถบรรทุก เขาเห็นว่าเสิ่นิกำลังนั่งยองๆ อยู่ต่อหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เ็า “เคราะห์ดีของพวกแกที่ฉันเปลี่ยนเส้นทางเดินแล้ว ตอนนี้ก็เลยไม่ได้คิดที่จะเอาชีวิตใคร ฉันไม่สนว่าพวกแกจะมาจากซินเหลียนเซิ่งหรือแก๊งไหน ตอนนี้ฉันคุ้มกันฟางหยวนอยู่ ถ้ากล้าหาเื่เธออีกล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกแกไปกองรวมกันอยู่ในห้องเก็บศพ ได้ยินชัดหรือยัง?”
“ถ้าคิดว่าแน่ก็ฆ่าฉันซะสิ” หวังจงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด
“ถ้าฆ่านักเลงตัวกะเปี๊ยกอย่างแกแล้วเรียกว่าแน่นะ สิบปีก่อนฉันก็คงจะมีแต่คำว่า ‘แน่’ แน่นเต็มไปทั้งตัวแล้ว ไอ้ปัญญาอ่อน” เสิ่นิขว้างปืนพกไร้ะุไปตรงหน้าของหวังจงด้วยสายตาที่เหยียดหยาม ก่อนจะหันตัวมุ่งไปยังรถ Alto ของเขา
หวังจงบิดรังปืนของปืนพกตรงหน้าออก เขานำเครื่องรางที่ห้อยอยู่บนคอเขาใส่เข้าไป เขาขึ้นลำกล้อง ก่อนจะยกปืนขึ้นเล็งไปยังศีรษะของเสิ่นิในระยะไม่เกิน 3 เมตร
ปัง! เสียงแปลกๆ? ปืนที่ติดตั้งอุปกรณ์เก็บเสียงไม่ควรดังเช่นนี้ ะุก็ไม่ได้ออกจากปากกระบอกปืน แต่กลับะเิอยู่ภายใน ลูกไฟดวงเล็กะเิขึ้นอยู่บนมือขวาของหวังจง นิ้วของเขากระเด็นไปโดนไหล่ของเสิ่นิ
“อันธพาลยังไงก็เป็อันธพาลอยู่วันยังค่ำ ขนาดน้ำหนักของปืนที่เปลี่ยนไปยังดูไม่ออกเลย โง่แท้” เสิ่นิถอนหายใจพร้อมกับโยนตะกรันกระจกนิรภัยในมือทิ้ง เขาหยิบมันขึ้นมามั่วๆ แล้วจับมันยัดเข้าไปในกระบอกปืน
หากหวังจงเชื่อฟังคำแนะนำของเขา มือนั่นก็คงไม่ได้กระจุยเป็ดอกทานตะวันแบบนี้หรอก?
“ฉันจะฆ่าแก! ไอ้สารเลว! ฉันจะฆ่าแก!” หวังจงกุมมือที่ขาดด้วนซึ่งเืไหลทะลักไม่หยุดอย่างเ็ป ก่อนจะก่นด่าสาปแช่ง
เสิ่นิทอดน่องไปยังรถของตัวเอง เขาสวมแว่นตากรอบพลาสติกดำ ก่อนจะติดเครื่องยนต์และขับรถออกไปจากลานจอดอันแสนโกลาหล
รถดับเพลิงขับผ่านเขาไป ผลงานในวันนี้น่าจะเรียกทิปหนักๆ จากฟางซื่อเฉวียนได้เลย
ขับไปได้ไม่ถึง 2 กิโลเมตร Alto และ Jeep ก็ตีเคียงคู่กัน เสียงรถชนกันอย่างรุนแรงนั้น ฟางหยวนเองก็ได้ยิน และเมื่อเห็นเสิ่นิเปียกปอน หญิงสาวก็เกิดเป็ห่วงขึ้นมา
แต่เ้าครูบ๊องคนนั้นกลับยิ้มแฉ่งและบอกว่าไม่เป็ไร แค่มนุษย์ป้าขับรถชนกัน 3 คันรวด รถจึงยางะเิ สัญญาณเตือนภัยก็เลยทำงาน เขาเลยพลอยเปียกไปด้วย โชคดีที่ตนเองไม่ได้เป็อะไร
เสิ่นิบอกไว้แล้วว่าจะเลี้ยงข้าว แต่เขากลับพารถจี๊ปขับตรงไปยังแผงขายอาหารทะเลข้างทาง และเมื่อเห็นพ่อค้าผู้ชำนาญจับปลาด้วยมือเปล่า ก่อนจะขอดเกล็ดปลาต่อหน้าต่อตาลูกค้า เซี่ยวอี๋และฟางหยวนก็พากันขมวดคิ้ว
ฟางหยวนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เซี่ยวอี๋สงสัยว่าเขียงที่พ่อค้าใช้ขอดเกล็ดปลานั้นน่าจะมีเสมหะของเขาเปื้อนอยู่...
“ถ้ากินไอ้นี่ หนูต้องตายแน่ๆ” ฟางหยวนยืนยัน
“ครูคงนอนตายข้างๆ เธอ” เซี่ยวอี๋ไม่แม้แต่จะเปิดประตูรถ
“คุณผู้หญิงทั้งสอง ผมเป็ชาวนาผู้ยากไร้ มีเงินแค่เพียงเศษเสี้ยว เลี้ยงได้เพียงเท่านี้แหละ” เสิ่นิพูดตามความเป็จริง แม้แต่เงินค่าอาหารมื้อนี้ เสิ่นิก็ยังฉกมันมาจากชายมือสังหารในร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเลย น่าจะได้มาสัก 300 หยวน เสิ่นิถือว่าคู่กรณีชดใช้ให้เป็ค่าทำขวัญ
“หนูเป็คนเลี้ยงก็ได้นะ หนูจะพาพวกครูไปทานอาหารที่พอทานได้หน่อย” ฟางหยวนกล่าวพลางถอนหายใจ
“ครูเห็นด้วย ถ้านายกล้าคัดค้าน ฉันจะฆ่านายซะ” เซี่ยวอี๋หันกลับไปจ้องเสิ่นิด้วยความโมโห
และด้วยประการนี้ รถทั้งสองคันจึงขับเลียบชายหาดไป กระทั่งถึงสโมสรส่วนตัวแห่งหนึ่งบนเขาวั่งไห่ จะว่าไปแล้วที่นี่มันก็เป็ห้องอาหารซึ่งดูคล้ายกับคฤหาสน์หลังหนึ่งมากกว่า
ถึงแม้จะไม่ได้หรูหราเท่าคฤหาสน์ที่อีชางซูพาเสิ่นิกับเซี่ยวอี๋ไป แต่เบื้องหน้าของพวกเขาก็คืออาคารกระจกวั่งไห่สูง 5 ชั้น มีรถหรูจอดอยู่เป็กองทัพ ซ้ำยังมีพนักงานต้อนรับหน้าอกคัพ B ซึ่งสวมชุดกี่เพ้าคอยอวดเรียวขายาว ที่ชวนให้คนมองกันตาละห้อย
สโมสรวั่งไห่ไม่ใช่คลับในสังกัดของฟางซื่อเฉวียน และนี่ก็เป็เหตุผลที่ทำให้ฟางหยวนอยากจะเป็สมาชิกของที่นี่
“ที่นี่...น่าจะแพงมากใช่ไหม?” เซี่ยวอี๋แลมองพนักงานที่นำรถจี๊ปผุพังของเธอเข้าไปจอดในซองระหว่าง ลัมโบร์กินีและเฟอร์รารี่
“ไม่เท่าไร หมื่นสองหมื่นก็น่าจะทานกันอิ่มแล้วล่ะมั้ง? แต่ที่นี่เปิดให้บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ค่าสมาชิกรายปีก็ตกอยู่ประมาณ 5 แสนหยวน” ฟางหยวนกล่าวหน้าตาเฉย ราวกับว่าในโลกของเธอ เงินมีเพียงแค่หลัก “หมื่น” ขึ้นไปเท่านั้น
“ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ไปกิน กิน กินกันเถอะ!” เสิ่นิหัวเราะพลางลากเซี่ยวอี๋เดินตรงเข้าไปยังห้องโถง ในขณะเดียวกัน พนักงานต้อนรับก็เข้าไปช่วยพนักงานจอดรถหาว่าเบรกมือของรถ Alto นั้นมันอยู่ตรงไหนกันแน่...
“สวัสดีครับคุณหนูฟาง ไม่ทราบว่าอยากนั่งที่ประจำของคุณหนูหรือเปล่าครับ?” สุภาพบุรุษผมบลอนด์ที่สวมชุดทักซิโดออกมากล่าวต้อนรับเธอด้วยตัวเอง
“ค่ะ หนูพาเพื่อนมาด้วย ช่วยเอาเมนูมาให้พวกเขาสั่งอาหารด้วยนะคะ จริงสิ บอกให้พนักงานช่วยเตรียมน้ำสำหรับอาบและเสื้อผ้าสะอาดๆ ไว้ให้สักชุดนะ เขาเปียกไปหมดทั้งตัวแล้ว” ฟางหยวนออกคำสั่งอย่างชำนาญ
“พวกเขามีห้องอาบน้ำด้วยเหรอ?” เซี่ยวอี๋อุทาน ห้องอาหารระดับไฮ-เอนด์นี่ไม่ธรรมดาเลย
โต๊ะตัวกลมซึ่งหันหน้าออกไปทางทะเลอันไร้ขอบเขตคือที่ประจำของฟางหยวน ภายในสโมสรแห่งนี้มีแต่โต๊ะตัวกลมซึ่งหันหน้าออกไปทางวิวด้านนอก ภายใต้กระจกโค้งนูนที่ออกแบบในสไตล์ฝรั่งเศส แลดูเหมือนกับห้องส่วนตัว แต่กลับสามารถมองเห็นวิวทะเลได้เกือบ 360 องศา
ด้วยวัสดุที่ตกแต่งในแนวคลาสสิก คลอกับเสียงเปียโนซึ่งบรรเลงสด พรมหนานุ่มจนแทบจะแทรกเข้าไปในฝ่าเท้า แล้วไหนจะยังโซฟาหนังอันนุ่มสบายนี่อีก แบบนี้สิถึงเรียกว่าห้องอาหารฝรั่งที่แท้จริง
แม้กระทั่งเวลาสั่งอาหาร บริกรก็ไม่อนุญาตให้ลูกค้าััเมนู บริกรหน้าหล่อของที่นี่จะคอยถือเมนูและพลิกหน้าเมนูให้คุณดูทีละหน้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ภาพอาหารอันสวยงามล้วนถูกถ่ายโดยช่างภาพมืออาชีพ ภาพที่ออกมาจึงงดงามราวกับผลงานศิลปะ
เสิ่นิกลับมา พอดีกับ่เวลาเสิร์ฟไวน์องุ่นก่อนมื้ออาหาร พร้อมด้วยขนมปังที่เพิ่งจะอบสดใหม่ เสื้อผ้าที่พนักงานเตรียมให้เขานั้นเป็ชุดสูทอามานี่ สวมขึ้นมาแล้วช่างดูมีสง่าราศี ดูไม่ขัดกับความเป็เขาแม้แต่น้อย หรือว่าเสิ่นิจะเป็ชายผู้มีหลายบุคลิก?
เสิ่นินั่งลงข้างๆ เซี่ยวอี๋ เขายกไวน์แดงขึ้นจิบ หางตาขยับเล็กน้อย “พวกเธอแน่ใจหรือว่านี่เป็ไวน์ก่อนมื้ออาหาร? Romani Conti ปี 2003...ราคาตอนนี้น่าจะอยู่ที่ขวดละประมาณแสนห้าแล้ว ใช่ไหม?”
เซี่ยวอี๋แทบจะสำลักในขณะที่ดื่มไวน์แก้วที่สองอยู่
“ครูชอบศึกษาเื่ไวน์แดงเหรอ?” ฟางหยวนถามด้วยความสงสัย
“ครูเคยไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสน่ะ ตอนที่อยู่ที่นั่นมีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานที่โรงงานกลั่นเหล้าองุ่น ก็เลยพอรู้เื่อยู่บ้าง” เสิ่นิอมยิ้มในขณะที่โกหก ความจริงแล้ว เพื่อที่จะลอบสังหารเป้าหมาย ครั้งหนึ่งเขาเคยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในโรงกลั่นเหล้าองุ่นอันเลื่องชื่ออยู่ครึ่งปี กระทั่งเป้าหมายมารับไวน์แดงที่เขาสะสมไว้ นัดเดียว ปิดภารกิจ
“เรียนต่อที่ฝรั่งเศส...หนูก็เคยคิดเหมือนกันนะ แต่ที่นั่นสบายไปหน่อย ไม่เหมาะกับหนู หนูก็เลยเลือกสหราชอาณาจักรแทน” ฟางหยวนเอนหลังพิงเก้าอี้ ในมือถือไวน์แดง เธอเบนศีรษะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“จริงสิ ครูเห็นในข้อมูลของเธอว่าเธออยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย Oxford ยังมีเวลาอีกสิบกว่าวัน ่นี้เธอไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเหรอ?” เซี่ยวอี๋กล่าวด้วยความเป็ห่วง
“ข้อสอบพวกนั้นก็แค่สอบแบบขอไปที ตู้ ATM เป็สปอนเซอร์ทุนให้มูลนิธิที่นั่นั้แ่หนูอายุได้ 10 ขวบแล้ว ถ้าหนูเข้าเรียนที่นั่นไม่ได้ พวกเขาก็คงจะต้องคายเงินพวกนั้นมา คนพวกนั้นอยู่เป็หรอกน่า ตีให้ตายก็ไม่มีทางคืนเงินให้หรอก”
“เรามาตั้งใจทานอาหารกันดีกว่าไหม? อาหารมาแล้ว!” เสิ่นิตาลุกวาวเมื่อเห็นพนักงานเสิร์ฟยกกุ้งัแอฟริกันน้ำหนักตัว 2 กิโลกรัมมาเสิร์ฟ พวกเขาวางมันลงตรงหน้าเสิ่นิ นี่เป็ออเดอร์ของเขาคนเดียว
“อย่างที่ครูบอกไว้ไม่มีผิด เขายิ้มหน้าบานเหมือนกับดอกไม้เลย ว่าแต่ว่าเขาจะทานหมดเหรอคะ?” ฟางหยวนกล่าวด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้มาอีกสองตัว หมอนี่ก็ซัดเรียบ” เซี่ยวอี๋กล่าวพลางหัวเราะเหอะๆ
อาหารมื้อนั้นมูลค่า 3 หมื่นหยวน (ไม่รวมค่าไวน์แดงซึ่งฟางหยวนฝากไว้เป็สมบัติส่วนตัว) เสิ่นิกินจนสุขใจจนแทบจะอยากนอนตาย ณ ที่ตรงนั้น ทุกคนกลับมาถึงบ้าน สินค้าที่ซื้อมาจาก IKEA ก็ทยอยมาส่งทีละชิ้นๆ ทั้งสามคนง่วนอยู่กับการเสกบ้านหลังใหม่ให้กับฟางหยวนตลอดบ่าย
เด็กสาวจ้องมองไปยังเซี่ยวอี๋และเสิ่นิซึ่งกำลังเอะอะกันอยู่ จู่ๆ ฟางหยวนก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าสองวันมานี้เธอพูดมากกว่าที่เธอเคยพูดมาทั้งเดือนอีก นี่คงเป็ความรู้สึกของการมีเพื่อนใช่ไหม? ไม่ใช่เพราะเงิน แต่อยู่ด้วยกันเพราะชอบที่จะใช้เวลาร่วมกันเพียงเท่านั้น ฟางหยวนเผลออมยิ้มโดยที่ไม่รู้ตัว
เข้าสู่วันที่ 4 ของการรักษาความปลอดภัย ในที่สุดฟางหยวนก็เริ่มเรียนรู้ที่จะไม่เข้าเรียนสาย และยังจอดรถในที่จอดรถ เื่นี้ทำให้เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพากันร้องไห้งอแงเหมือนกับเด็กๆ “โบนัส” ของพวกเขาปลิวไปแล้ว
ฟางหยวนถึงขนาดรู้จักเอ่ยขอบคุณ และไม่ได้ใช้เงินในการแก้ปัญหาทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นยางลบตกแล้วเพื่อนช่วยเก็บให้ เธอก็ไม่ได้ตอบแทนเขาคนนั้นด้วยเงินห้าพันหยวนอีกแล้ว แต่กลับพยักหน้าให้และกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” แทน
เมื่อฟางหยวนไปปรากฏตัวที่ชมรมมวยไทย เพื่อนๆ นักเรียนต่างก็พากันแตกตื่นและใ เธอพยายามเริ่มเข้าหาผู้คน ไม่ทำตัวขวางโลกอีกต่อไปแล้ว บางทีบุคลิกที่หยิ่งยโสอาจจะไม่ได้เปลี่ยนได้ในคราวเดียว แต่เธอก็เริ่มต้นด้วยการสอนพื้นฐานการเคลื่อนไหวแบบมวยไทยให้กับเพื่อนๆ ร่วมชั้น
“บอกมาซะดีๆ คุณเป็บอดี้การ์ดหรือนักจิตวิทยากันแน่? ทำไมนายจ้างที่ได้รับความคุ้มครองจากคุณซึ่งเป็คนที่มีจิตใจบิดเบี้ยวถึงได้รับการรักษาไปด้วย?” เซี่ยวอี๋และเสิ่นินั่งอยู่บนดาดฟ้าของตึกที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชมรมมวยไทย
“บอดี้การ์ดที่ดีควรจะศึกษาด้านจิตวิทยาให้คำปรึกษาควบคู่ไปด้วย แม้ว่าเราจะทำธุรกิจกันแค่ครั้งเดียว แต่นายจ้างผู้รอดชีวิตก็จะสามารถแนะนำเพื่อนฝูงรอบข้างให้กับเราได้ การที่ช่วยให้พวกเขามีสุขภาพจิตที่แข็งแรง สามารถคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูงมากมาย นั่นก็หมายความว่าธุรกิจของเราจะยิ่งรุ่งเรือง” เสิ่นิเอนกายลงบนดาดฟ้า พลางทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าสีแดงอมส้ม ณ ขณะนี้เป็เวลาเลิกเรียนแล้ว มีแต่เด็กกิจกรรมในชมรมต่างๆ เท่านั้นที่ยังอยู่ในโรงเรียน
“แค่คุณบอกว่าชอบเธอเฉยๆ แค่นี้เธอก็น่าจะมีความสุขขึ้นแล้วล่ะมั้ง” เซี่ยวอี๋กล่าวพร้อมถอนหายใจ
เวลาหนึ่งทุ่มตรง ในที่สุดฟางหยวนก็ผละตัวออกมาจากเพื่อนร่วมชั้นซึ่งเฝ้าแต่ถามเธออย่างไม่หยุดไม่หย่อนได้ หญิงสาวเปิดไฟหน้ารถและขี่ EBR ของเธอกลับบ้าน
ภารกิจในกะดึกนั้น เสิ่นิรับ่ต่อเพียงคนเดียว เซี่ยวอี๋ถูกสั่งให้กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนแล้ว
ถนนภายใต้แสงไฟสีส้มช่างดูกว้างขวาง ฟางหยวนเผลอบิดคันเร่งโดยที่ไม่ทันได้ระวัง Alto คันน้อยของเสิ่นิตามติดไปด้วยความเหนื่อยยาก เขาโดนทิ้งท้ายไปถึงร้อยเมตรเต็มๆ
และในขณะนั้นเอง รถฮอนด้า SUV 3 คันก็พุ่งผ่านเสิ่นิไปด้วยความเร็ว มันไล่ตามมอเตอร์ไซค์ซึ่งทะยานอยู่ข้างหน้า
“เกลียดนัก ไอ้พวกอันธพาลสั่งสอนแล้วไม่จำ” สีหน้าของเสิ่นิเปลี่ยนเป็ดุดันขึ้นมาทันที