ตลอดค่ำคืนที่เงียบสงบ เช้าวันต่อมา หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันแล้วจางจ้าวฉือกับจางจ้าวจื่อก็พาสวี่ตี้และสวี่จือไปที่ตลาดแลกเปลี่ยน หากอยากจะแลกเปลี่ยนของสิ่งใดก็สามารถทำได้ที่นั่น มีทางเข้าออกโดยเฉพาะ ซึ่งทางเข้าออกนี้มีคนของราชสำนักเฝ้าดูความเรียบร้อยเอาไว้อยู่ตลอด
เมื่อเข้าตลาดแลกเปลี่ยนจะต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียม นี่ถือว่าเป็รายรับหลักของการคลังเขตเหอซีเลยก็ว่าได้ แต่หลายปีมานี้มักจะพบความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ คนที่มาตลาดแลกเปลี่ยนน้อยลงเรื่อยๆ เขตเหอซีก็ยิ่งยากจนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ประชาชนที่นี่แข็งแกร่งและหยาบกระด้าง ถึงแม้จะอยากเพิ่มภาษีสักหน่อย เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเหล่าประชาชนจะยอมรับมาตรการนี้หรือไม่ หากทำให้โกรธแล้วล่ะก็ เื่ที่ผู้คนหยิบมีดขึ้นมาไล่แทงกันก็เป็เื่ที่สามารถเกิดขึ้นบ่อยมากจริงๆ
ตอนนี้ก็เป็เวลายามซื่อ [1] แล้ว แต่ที่นี่ก็มิค่อยมีคนเท่าใดนัก แม้แต่ผู้ที่นั่งตรวจสอบเก็บเงินค่าธรรมเนียมตรงทางเข้าออกก็ทำท่าทางเกียจคร้าน
จางจ้าวจื่อลูบคาง ขณะยืนอยู่ด้านในตลาดแลกเปลี่ยน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
สวี่ตี้จูงมือสวี่จือ มองท่านลุงสามของตนเองแล้วมองไปยังมือที่ยกขึ้นมาวางเอาไว้ตรงหน้าผาก มองเลยไปยังมารดาที่มองไปยังที่ไกลออกไปก็พลันถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า“ท่านลุงสาม ท่านแม่ขอรับ พวกท่านดูที่นี่แล้วพอจะมองอะไรออกหรือไม่ขอรับ”
จางจ้าวจื่อถอนหายใจ “มองไม่ออกจริงๆ สถานที่ดีๆ เช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีโอกาสดีๆ ช่างสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ เสียจริง ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดกันอย่างไร”
จางจ้าวฉือตอบ “คิดอย่างไรหรือ ตอนที่ามาถึง คงมิได้คิดอะไรทั้งนั้น คงคิดแค่เพียงว่าจะไล่คนที่มารุกรานพวกเราออกไปอย่างไรดี อย่างเดียวกระมัง”
จางจ้าวจื่อกล่าวตอบ “ความจริงแล้วทำตลาดแลกเปลี่ยนเช่นนี้ดีอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถควบคุมาได้”
สวี่ตี้ฟังแล้วดวงตาก็วาววับ “ท่านลุงสาม คำกล่าวของท่านนี่แปลกใหม่เสียจริงนะขอรับ ท่านพูดให้ข้าฟังหน่อยว่าจะควบคุมาได้อย่างไรหรือขอรับ”
จางจ้าวจื่อครุ่นคิดก่อนจะตอบหลานชาย “คนจากนอกด่านน่ะ มาแลกของก็เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้มิใช่หรือ ในเมื่อเป็เช่นนั้น พวกเราก็แลกเปลี่ยนกับเขา ยามที่แลกเปลี่ยนนานวันเข้า ย่อมต้องมีของบางอย่างที่จำเป็จะต้องแลกจากทางฝั่งพวกเรา เช่นนั้นจะทำาหรือไม่นั้น ก็เป็สิ่งที่พวกเราสามารถพูดหรือกำหนดได้”
พื้นฐานเศรษฐกิจเป็ตัวกำหนดอาคารบ้านเรือน ยิ่งเป็ปัจจัยหลักในการเกิดา
จางจ้าวจื่อกล่าวต่อไปอีกว่า “หลักๆ ที่พวกเขา้าคือมาแลกเกลือ แลกใบชา แล้วก็ของใช้ประจำวันจำนวนมากที่นี่ พวกเราแลกเปลี่ยนกับเขา ใช้หนังสัตว์ของพวกเขา ใช้สัตว์ของพวกเขา ที่ดีที่สุดคือใช้ม้าของพวกเขา เอาของแลกกลับมา พวกเราก็ไปแลกผ้าไหมกับทางตอนใต้ต่อ ใบชา ม้าก็เลี้ยงเอาไว้ที่นี่ ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา รอทหารของพวกเราที่นี่แข็งแกร่งแล้ว แม้พวกเขาอยากที่จะเข้ามา เช่นนี้ก็มิได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้วว่าอยากหรือไม่อยากร่วมมือ แต่เป็พวกเราต่างหากที่อยากหรือไม่อยากให้ความร่วมมือต่างหาก”
สวี่ตี้เพียงใช้ดวงตาระยิบระยับมองไปทางท่านลุงสามของตนเอง จนทำให้จางจ้าวจื่อที่มองอยู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านลุงสามขอรับ ตอนที่ท่านกลับไปข้าสามารถติดตามท่านไปได้หรือไม่ ข้าอยากจะเดินทางไปดูโลกภายนอกว่าเป็อย่างไรกับท่านขอรับ”
จางจ้าวฉือได้ยินคำพูดของสวี่ตี้ ก็คิดถึงประโยคที่โด่งดังประโยคนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “โลกใหญ่ขนาดนี้ ข้าอยากจะออกไปดู” ใครจะไม่อยากออกไปดูโลกภายนอกกัน เดิมทีเพราะว่าไม่มีเวลา แต่ตอนนี้กลับมีเวลาแล้ว แต่สังคมในตอนนี้ การเดินทางโดยพื้นฐานนั้นต้องพึ่งการเดินเท้า การสื่อสารส่วนมากพึ่งพาการะโ ความปลอดภัยพึ่งพาสัตว์ เช่น สุนัข บวกกับความวุ่นวายในสังคม มีหรือจะกล้าให้เด็กคนหนึ่งออกไปไกลหูไกลตา
จางจ้าวฉือเอ่ยขึ้น “เ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง อีกอย่างเ้าออกเดินทางไปจะทำอันใดได้ เ้าสามารถช่วยพวกเขาหากมีเื่หรือว่าเ้าสามารถขนส่งของได้หรือ? การต่อสู้เ้าก็ไม่ได้เื่ จะขนย้ายของร่างกายเล็กๆ ของเ้าก็ทำอันใดมิได้”
สวี่ตี้ตอบกลับอย่างไม่ยินยอม “ข้าตามไปเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ไปแล้วก็เรียนรู้จากท่านลุงสามมิได้หรือขอรับ? ข้าเห็นความสามารถของท่านลุงสามดีมากเลยนะขอรับ”
จางจ้าวฉือหัวเราะเสียงเย็น “ท่านลุงสามของเ้าเป็คนเก่งมาั้แ่ไหนแต่ไร อายุห้าหนาวก็เริ่มฝึกวิชาการต่อสู้จากหม่าปู้ และติดตามไปเรียนรู้กับท่านอาจารย์ที่เก่งกาจ เ้าอายุสิบหนาวแล้วยังสามารถเรียนรู้อันใดได้อีก?”
สวี่ตี้ฟังจบก็หัวเราะแล้วส่ายหน้า “ท่านแม่ขอรับ ขอแค่มีใจอยากจะเรียน จะตอนไหนก็ย่อมไม่ถือว่าสายเกินไป ดูจากมันสมองของข้า ขอเพียงแค่ข้าอยากจะเรียน ท่านดูว่ามีตอนใดที่ข้าเรียนไม่ดีบ้างหรือขอรับ?”
จางจ้าวฉือได้ยินคำพูดของสวี่ตี้ ก็มิได้โต้กลับอันใด นางที่เป็มารดาเลี้ยงดูสวี่ตี้มายี่สิบกว่าปี ลูกชายของตนเองเป็อย่างไรนางย่อมรู้ดี ั้แ่เด็กสวี่ตี้คือแบบอย่างของลูกคนอื่น เด็กคนอื่นๆ เข้าเรียน สวี่ตี้เองก็เข้าเรียน เด็กคนอื่นๆ เลิกเรียนกลับมาทำการบ้าน สวี่ตี้ไม่ทำการบ้าน เด็กคนอื่นครอบครัวให้เรียนเสริมในด้านต่างๆ สวี่ตี้ไม่ลงเรียน ผลสรุปตอนสอบสวี่ตี้นำคนพวกนี้ไปไกล เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสอบเกาข่าวที่ยากแสนยาก ตอนนั้นสวี่ตี้ก็เป็จอหงวนของสายวิทย์-คณิตในเมืองของพวกเขา ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หลังจากเรียนปริญญาโทและเอกติดต่อกันแล้ว ก็ไปเป็ดอกเตอร์อยู่ต่างประเทศ ต่อมาก็กลับมาที่บ้านเกิด เป็วิทยากรให้กับโรงเรียนอันดับหนึ่งและอันดับสอง อายุยังไม่ถึงสามสิบปี ก็สร้างห้องทดลองมาตรฐานระดับอินเตอร์เนชันแนลขึ้นมาหนึ่งแห่งได้แล้ว
เห็นจางจ้าวฉือไม่ได้พูดอันใดแล้ว สวี่ตี้จึงเอ่ยด้วยเสียงแ่เบา ว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าลืมนะขอรับ ปิดเทอมฤดูร้อนฤดูหนาวของทุกปีข้าจะต้องไปทำอะไร ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะอายุยังน้อย แต่ว่ามันสมองของข้ายังคงอยู่นะขอรับ”
สวี่จือไม่เข้าใจว่าท่านแม่กับท่านพี่พูดกระซิบกระซาบอันใดกัน คิดไปแล้วก็ล้วนเป็คำพูดที่ตัวเองฟังไม่เข้าใจ ในเมื่อฟังไม่เข้าใจ สวี่จือเองก็ไม่ฝืนให้ตัวเองทำความเข้าใจ มองตลาดแลกเปลี่ยนที่ปูพื้นหญ้าเต็มไปหมด เห็นใต้ฝ่าเท้าไม่ไกลมีดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆ ขึ้นอยู่ก็ก้มตัวลงไปเด็ดขึ้นมาหลายดอก
สวี่ตี้รู้ว่าตนเองสามารถพูดจาโน้มน้าวมารดาได้แล้ว กลับเรือนมาตอนกลางคืนค่อยไปพูดกับท่านพ่อผู้ยิ่งใหญ่ต่อ หลายวันผ่านไปตอนที่ท่านลุงสามจางจ้าวจื่อจะออกเดินทาง เขาจะต้องขอติดตามไปด้วยให้ได้ หากเขาไม่ได้ไปดูโลกภายนอกด้วยตาตนเอง ในใจสวี่ตี้รู้สึกหวั่นไม่น้อย เขาเป็คนที่คอยอ่านข่าวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกทุกวันอยู่เสมอ ตอนนี้มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชายแดนเล็กๆ นี้ สวี่ตี้มักจะรู้สึกในใจไม่มั่นคงสักเท่าไหร่
จางจ้าวฉือเห็นสวี่จือเด็ดดอกไม้ รู้สึกว่า์ยังใจดีกับตนเองพอสมควร ตนเองควบคุมดูแลลูกชายมาทั้งชีวิต ช่างเหนื่อยเหลือเกิน ที่สำคัญก็คือควบคุมไม่ได้ จึงส่งลูกสาวตัวขาวๆ นุ่มๆ น่ารักมาให้นาง
นางเข้าไปจูงมือสวี่จือ “จือเอ๋อร์ ลูกเด็ดดอกไม้อะไรหรือ?”
สวี่จือส่งดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆ หลายดอกที่เด็ดขึ้นมาให้จางจ้าวฉือ “ท่านแม่เ้าคะ ท่านดูดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆ นี่สิ รอพวกเรากลับไปแล้วหาแจกันมาเสียบดอกไม้ใส่กันเถิดเ้าค่ะ แล้ววางเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียงของท่านแม่ เช่นนี้ดีหรือไม่เ้าคะ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็จุมพิตเข้าที่แก้มของสวี่จือหนึ่งที “ก็มีเพียงจือเอ๋อร์ของพวกเรานี่แหละที่รักแม่ รู้จักหาดอกไม้มาเสียบแจกันให้แม่ด้วย”
สวี่ตี้ได้ยินคำพูดของจางจ้าวฉือ มีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของมารดาตนเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้จะมีร่างกายเป็เด็กสิบขวบ แต่ภายในกลับเป็คนอายุยี่สิบกว่าแล้ว อีกทั้งยังเป็คนที่เดินทางไปมารอบโลกแล้วด้วย ให้สวี่ตี้มาอยู่ในสถานที่เล็กๆ เช่นนี้ เขาอยู่ไม่ได้จริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีคนที่สามารถพาตนเองไปด้วยได้ แต่ว่าตอนนี้โอกาสใหญ่มาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดจะไม่คว้าเอาไว้แล้วไปด้วยกันเล่า?
เมื่อกลับมาถึงเรือน สวี่ตี้ก็พูดเื่ที่คุยกันเมื่อตอนบ่ายให้สวี่เหราฟังในห้องตำรา ซึ่งตอนบ่ายสวี่เหราไปหยาเหมินสายเล็กน้อย เมื่อถึงตอนรับประทานอาหารเย็น สวี่เหรากับจางจ้าวฉือจึงได้ฝากฝังสวี่ตี้ไว้กับจางจ้าวจื่อด้วยความจริงจัง ตอนที่จางจ้าวจื่อกลับไปให้พาสวี่ตี้ไปด้วย พวกเขายินยอมให้จางจ้าวจื่อพาสวี่ตี้ออกไปดูว่าโลกภายนอกนั้นว่าเป็อย่างไร
จางจ้าวฉือรับปากแล้วว่าจะไปสอนแพทย์ทหารของทหารป้องกันชายแดน สุดท้ายก็กำหนดตกลงกันว่าจะสอนห้าวันครั้งหนึ่ง เพื่อการสอนเช่นนี้ จางจ้าวฉือได้นำวิชาทั้งหมดที่ตนเองมีออกมาแล้วตั้งใจเตรียมการสอน
ตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์ในการรักษาที่ทันสมัย หลังจากได้รับาเ็จากาก็จะห่อแผลแบบง่ายๆ จากนั้นก็จะส่งกลับไปที่ฝ่ายหลัง มีแพทย์สนามคอยจัดการาแ จะจัดการปากแผลอย่างไร เพื่อให้คนที่ได้รับาเ็พวกนั้นสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ นี่คือสิ่งที่แพทย์ทหารพึงกระทำ
ตัวจางจ้าวฉือเป็หมอศัลยกรรมที่เก่งกาจคนหนึ่ง บวกกับร่างเดิมมีพื้นฐานของแพทย์แผนจีน จางจ้าวฉืออธิบายโครงสร้างร่างกายหลักๆ ไป ให้พวกเขาเข้าใจถึงตำแหน่งอวัยวะภายในร่างกาย ทั้งยังแนะนำจุดที่สำคัญของร่างกาย อีกทั้งยังให้ความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีน สอนกันหลายครั้งเข้า ก็ทำให้เหล่าแพทย์ทหารที่มีความรู้พื้นฐาน ถือว่าได้เปิดประตูบานใหญ่
จางจ้าวฉือเตรียมตัวสอนมาอย่างยากลำบาก ทั้งเตรียมการสอนไปด้วยทั้งเลี้ยงลูกสาวไปด้วย นางถึงขั้นเอาบทเรียนของตนเองมาเย็บเป็เล่ม พลางคิดว่าเมื่อไหร่กลับไปค่อยเย็บเป็เล่มดีๆ จากนั้นก็คัดลอกไว้หลายๆ เล่มเพื่อตีพิมพ์ เพียงเท่านี้ก็สามารถนำมาเป็หนังสือเรียนวิชาศัลยแพทย์ได้แล้ว ถึงตอนนั้นจริงๆ บนหนังสือคงจะมีชื่อของตนเองเขียนเอาไว้ จางจ้าวฉือรู้สึกว่าพอคิดไปแล้วผลลัพธ์ในอนาคตช่างงดงามมากจริงๆ
สวี่เหราหรือ หลังจากฟังคำแนะนำของจางจ้าวจื่อ ก็ไปปรึกษากับจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อถึงเื่การเปิดตลาดแลกเปลี่ยนอีกครั้ง ทั้งยังพาพี่เขยของตนเองไปด้วย
สวี่เหรามาถึงเมืองเหอซี หลังจากนั่งทำงานได้ไม่กี่วัน ในที่สุดก็ยึดตามหลักความเข้าใจของตนเอง มาทำความเข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่ของเขต จากนั้นก็เริ่มคิดวิเคราะห์
สวี่เหรารู้สึกว่าหากไม่ได้อยู่ในจุดนั้นก็จะไม่สามารถทำความเข้าใจในจุดนั้นๆ ได้ ถึงแม้ตัวเขาจะเป็ขุนนางของเขตเหอซี ต่อไปจะต้องทำให้ประชาชนในเขตของตนเองหางานที่ดีทำให้ได้ มีชีวิตความเป็อยู่ก็จะดียิ่งขึ้น ตัวเขาที่เคยเป็อาจารย์ในห้องเรียน ก็เคยใกล้ชิดกับเหล่าข้าราชการที่ดูแลเขตอยู่เช่นกัน
เขาจึงรู้ว่าการเป็ผู้นำนั้นไม่ง่ายเลย แต่ตอนนี้คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้เข้าใจเื่นี้ให้ชัดเจนก่อน จากนั้นก็นำพาประชาชนให้มีชีวิตที่ดีดีกว่า
ถึงแม้เขตเหอซีจะเป็เขตเมือง อีกทั้งอุปกรณ์ของสำนักงานเองก็เหมือนกับเขตอื่นๆ แต่ว่าก็มีจุดที่ต่างจากเขตอื่นๆ อยู่เช่นกัน เมืองที่เป็เมืองชายแดนแห่งหนึ่ง หลายเื่ล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของแม่ทัพที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่แถบนี้ ในการตัดสินใจ เขาที่เป็ผู้พิพากษาประจำท้องถิ่นก็จะต้องเชื่อฟังด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเป็ผู้นำของที่นี่จึงไม่ได้เป็กันง่ายดาย ถ้าหากคำสั่งของราชสำนักกับแม่ทัพขัดแย้งกัน เช่นนั้นก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของแม่ทัพ มีเื่พวกนี้มามัดแขนตนเอาไว้ อยากจะทำเื่ดีๆ กว่าหน้าที่ของผู้พิพากษาท้องถิ่นคนอื่นๆ ก็ย่อมยากมาก ดังนั้นผู้พิพากษาท้องถิ่นก่อนหน้านี้ต่างไม่มีผลงานใดๆ หาความดีความชอบมิได้เลย
ดังนั้นหัวหน้าทำอย่างไร ลูกน้องก็มักจะทำตามอย่างนั้น เช่นนั้นลูกน้องก็ต้องวิเคราะห์ความคิดของเ้านาย หากไม่มีใจคิดที่จะก้าวหน้าตาม สำนักงานท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่ไม่มีใจที่จะก้าวหน้า จะสามารถนำพาคนทั้งเขตให้มีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีได้อย่างไร?
นี่คือความคิดหลังจากที่สวี่เหราพาคนในหยาเหมินเดินดูรอบๆ เขตเล็กๆ ในตัวเมือง
ต่อมาจะพัฒนาอย่างไร? ในใจสวี่เหราพอจะมีแผนเอาไว้แล้ว แต่ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่นั้น สวี่เหราไม่กล้ารับประกัน เพราะว่าสวี่เหราไม่มีกำลังคนอยู่ในมือนั่นเอง
กล่าวว่าสวี่เหราไม่มีกำลังคนอยู่ในมือ มิใช่ว่าเขาเป็หัวหน้าที่ไม่มีลูกน้อง แต่ภายในมือของเขาไม่มีคนที่พอจะเชื่อใจได้ ผู้ใดที่สามารถฝากฝังงานให้ไปทำอย่างวางใจได้ คนในสำนักงานเขตมีเยอะมาก แต่สวี่เหราไม่รู้ว่าคนไหนมีค่าพอให้เชื่อถือ สำหรับเขาที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานใหม่ ถึงแม้จะมีคนมาแสดงความซื่อสัตย์กับตนเองแล้ว แต่คำพูดสวยหรูจะสามารถเชื่อได้หรือไม่ ในใจของสวี่เหราย่อมรู้ดีแก่ใจ ผู้ใดจะสามารถรับรู้ได้ว่าต่อไปจะมีใครเอามีดมาแทงข้างหลังตนเองหรือไม่?
เขตเหอซีเป็ตำแหน่งที่สำคัญมาก ไม่ใช่แค่สถานที่าทางการทหารเท่านั้น ยังเป็สถานที่าทางการเมืองอีกด้วย ตอนนี้สวี่เหราไม่เพียงแค่กังวลเื่การรุกรานของคนต่างชนเผ่าจะมาทำโจมตีสถานที่เล็กๆ นี้ แต่ยังต้องป้องกันคนจากเมืองหลวงที่อยู่ห่างไกลเป็หมื่นลี้จะยื่นมือเข้ามาทำอันใดหรือไม่ด้วย คนเราในตอนนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองแล้ว บางครั้งในสายตาของพวกเขา ชีวิตคนก็เหมือนต้นหญ้าต้นเล็กๆ ตอนนี้ตนเองอยู่ห่างจากฟ้าห่างจากฮ่องเต้ อยากจะเป็ผู้พิพากษาท้องถิ่นธรรมดาๆ นั้นย่อมไม่มีปัญหา ปัญหาก็คือสวี่เหราไม่ได้คิดเช่นนี้ เขาอยากจะทำความดีความชอบ ขอแค่ตนเองทำผลงานออกมา ถึงจะเข้าตาของคนพวกนี้ได้ เมื่อนั้นจึงจะได้มีความสามารถในการตรวจสอบภายในจวนว่าผู้ใดกันแน่ที่จะทำร้ายครอบครัวของพวกเขา
สวี่เหรารู้สึกว่าความกดดันของตัวเองตอนนี้เยอะมาก โชคดีที่การมาของจางจ้าวจื่อทำให้เขาเห็นความหวัง หลังจากพาจางจ้าวจื่อไปที่จวนแม่ทัพ หลังพูดคุยง่ายๆ กับซื่อจื่อแล้วก็จางจ้าวจื่อแล้ว สวี่เหราก็รู้สึกว่าตนเองมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว สรุปแล้วซื่อจื่อนั้นสนับสนุนตนเอง อีกทั้งจางจ้าวจื่อยังมีความคิดอยากจะใช้ตลาดแลกเปลี่ยนมาควบคุมชาวโยวมู่เหมินที่อยู่นอกด่านนั้นด้วย ซื่อจื่อเองก็เห็นดีเห็นงามเช่นกัน เรือนเล็กๆ ใหญ่ๆ บนทุ่งหญ้า ปกติแล้วจะดูแลตัวเองแบบตัวใครตัวมัน ถ้าหากทางด้านเหอซีใช้ตลาดแลกเปลี่ยนให้พวกเขาไม่กล้ามีการกระทำอุกอาจอันใด เช่นนั้นเขาจะต้องพยายามซื้อเวลาให้กับตนเอง สวี่เหราคิดมาแล้ว จะต้องหาเงินมาให้ได้มากๆ ซ่อมแซมกำแพงเมืองให้ดี ทำมาตรการพื้นฐานในเมืองให้ดี ที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องผลักดันการศึกษาให้ไกลออกไป ไม่เพียงแค่เด็กเล็ก ผู้ชายก็ต้องรู้ตัวหนังสือง่ายๆ ด้วยเช่นกัน
บุรุษนั้นต่างมีความทะเยอทะยาน สวี่เหราเองก็ไม่ต่างกัน เดิมทีเป็เพียงอาจารย์คนหนึ่ง นอกจากทำงานสอนหนังสือของตนเอง ทำการค้นคว้าวิจัยของตนเองแล้ว ความคิดอื่นๆ ก็ไม่มี แต่ว่าตอนนี้โอกาสแสดงความสามารถของตนเองมาถึงแล้ว เหตุใดจะไม่ลองดูสักหน่อยเล่า? แม้ตรงหน้าจะมีหลุมบ่อมากมายที่ไม่อาจรู้ได้ อีกทั้งก็รู้ว่าภายหลังจะเจอกับความลำบากมากมาย แถมยังรู้ว่ามีความกดดันมากมายรออยู่ ก็ไม่สามารถเอาชนะการตัดสินใจที่อยากจะใช้ความพยายามของตนเองทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
สวี่เหรารู้สึกว่าหัวใจของตนเองเปี่ยมไปด้วยความร้อนแรง ถึงแม้ทุกวันจะออกไปทำงานแต่เช้าตรู่กลับค่ำมืด ร่างกายผ่ายผอมลงไปมากเพราะว่ากินไม่ดีพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเป็อย่างมาก
จางจ้าวจื่อไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน หลังจากสวี่เหราพาไปตรวจสอบสถานที่จริงแล้ว เขาก็พาสวี่เหราไปจวนแม่ทัพอีกหลายครั้ง หลังจากรายงานลับๆ กับซื่อจื่อแล้ว ก็พาสวี่ตี้และผู้ติดตามของตนเองรีบเดินทางกลับไปยังทางใต้
ทุกคนต่างยุ่งมากทว่าก็เต็มไปด้วยสีสัน ต่อมาสวี่จือที่ตื่นขึ้นมาในทุกๆ วันจึงพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ผู้เดียว พี่ชายไปทางใต้กับท่านลุงสาม ท่านพ่อก็ยุ่งอยู่กับเื่ที่สำนักงานทุกวัน ท่านแม่หรือก็หมกตัวเขียนหนังสืออยู่ พูดตามความจริงแล้ว สวี่จือก็ไม่รู้ว่าท่านแม่กำลังเขียนอันใดอยู่ เพราะว่าชาติก่อนสวี่จือไม่ได้รับการสั่งสอนให้เรียนรู้ตัวหนังสือ เห็นท่านแม่ไม่เพียงจะเข้าใจวิชาแพทย์เท่านั้น ยังสามารถเขียนตัวอักษรสวยๆ ได้อีกด้วย สวี่จือก็รู้สึกว่าตนเองจะเอาแต่กิน นอน แล้วก็เล่นต่อไปไม่ได้แล้ว นางจะต้องตั้งใจเรียนรู้ตัวหนังสือ จะต้องเป็คนที่เก่งกาจเหมือนกับท่านแม่ให้จงได้
เชิงอรรถ
[1] ยามซื่อ (巳 sì) คือ 09.00 – 10.59 น.