ทุกปีจะมีาไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่หลายครั้ง ดังนั้นไม่ว่าจะทางด่านเยี่ยนเหมินจนถึงทางเขตเหอซี ไกลออกไปยังมีช่องว่างระหว่างูเาอยู่หลายเส้น บรรดาเมืองที่อยู่ริมชายแดนก็ล้วนเริ่มที่จะเตรียมตัวกักตุนอาหารเพื่อให้ผ่านฤดูหนาวไปได้ด้วยดีแล้ว
จางจ้าวฉือมองเรือนขุนนางขนาดใหญ่ก่อนจะเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าหากถึงตอนนั้นจริงๆ ที่นี่ก็จะเป็เป้าหมายการโจมตีของคนพวกนั้น แม่นมลู่ ท่านคิดว่าพวกเราจำเป็ที่จะต้องสร้างเรือนเอาไว้ด้านนอกอีกสักหลังหรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่เอ่ยตอบ “เื่นี้ไม่จำเป็ เมืองขนาดใหญ่เช่นนี้ หากจะโจมตีด่านเยี่ยนเหมินจริงๆ เช่นนั้นผู้ที่มาคงไม่ใช่ศัตรูเล็กๆ ธรรมดาแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแม้จะซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนประชาชนก็ย่อมไม่ปลอดภัยเป็แน่ คาดว่าจะต้องให้พวกเราอพยพไปก่อนล่วงหน้าแล้ว”
จางจ้าวฉือพยักหน้ารับ แม่นมลู่จึงพูดต่อ “อย่างน้อยพวกเราก็สามารถทำห้องใต้ดินเอาไว้สักสองห้อง ไม่เพียงแต่จะซ่อนของสำคัญหรืออาหาร ยังซ่อนพวกผักได้อีกด้วย”
จางจ้าวฉือหัวเราะพร้อมเอ่ย “ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผลจริงๆ เ้าค่ะ ในเรือนมีผู้าุโก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า หากข้าไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยตนเองก็คงมิรู้ว่ามีเื่เช่นนี้อยู่ด้วย”
ในชาติก่อน นางงานยุ่งมาก ส่วนสวี่เหราหรือ ไม่เพียงแค่มีเวลาทำงานที่แน่นอน ยังมีวันหยุดฤดูร้อนฤดูหนาวไว้พักผ่อน เื่ซื้อวัตถุดิบทำอาหารภายในบ้าน ปกติแล้วจึงเป็หน้าที่ของสวี่เหรา อย่ามองว่าจางจ้าวฉือแต่งงานมาสามสิบปีแล้ว หากให้นางไปซื้อผักที่ตลาดนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องซื้ออย่างไร
จางจ้าวฉือกล่าว “แม่นมลู่เ้าคะ ในเมื่อคิดว่าจะทำแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็รีบทำมันเถิดเ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเื่พวกนี้นัก ท่านเองก็ลำบากแล้ว พวกเรามาช่วยกันเป็อย่างไรเ้าคะ?”
แม่นมลู่ชอบความมีไหวพริบของจางจ้าวฉือมาก แต่พอเห็นนางคิดแต่จะยุ่งอยู่กับวิชาแพทย์อย่างเดียว สิ่งอื่นใดก็มิอยากข้องเกี่ยว ในใจก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ถูกผู้คนให้เกียรตินั่นก็อีกเื่ แต่ว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นนี้กันนะ
สรุป วันที่สองก็ยังไม่ได้เริ่มทำเื่นี้กัน เหตุเพราะมีคนผู้หนึ่งมาเยือนยังเรือนของครอบครัวสกุลสวี่
คนที่มาเป็ชายวัยสี่สิบกว่าปี อาจจะเพราะว่าการเดินทางลำบาก ดูจากสภาพของเขาแล้วดูไม่ค่อยดีเอามากๆ แต่โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่เลว ถึงจะเป็เช่นนี้ ก็ยังทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็คนที่สง่างามผู้หนึ่ง
จางจ้าวฉือเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า เมื่อเห็นคนที่มา หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดก็ใไปครู่หนึ่ง ก่อนจะร้องเรียก “พี่สาม ท่านพี่สาม เป็ท่านจริงๆ หรือเ้าคะ?”
คนที่มายิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ฉือเอ๋อร์ เป็ข้าจริงๆ”
ขอบตาของจางจ้าวฉือแดงก่ำ ก่อนจะเข้าไปจับมือคนที่มาเยือน “พี่สาม หลายปีมานี้ ท่านไปอยู่ที่ใดกัน ข้าอยากจะไปหาพวกท่านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปหาได้ที่ใด”
คนที่มาคือพี่ชายคนที่สามของครอบครัวจางจ้าวฉือ นามว่าจางจ้าวจื่อ เขาจูงมือจางจ้าวฉือมานั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงด้านหน้า พร้อมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เ้าเป็แม่ลูกสองแล้ว เหตุใดถึงได้เสียน้ำตาง่ายดายขนาดนี้กันเล่า”
จางจ้าวฉือเช็ดน้ำตา “ท่านพ่อกับท่านแม่ยังสบายดีหรือไม่เ้าคะ? พี่สาม พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเรายังสบายดีใช่หรือไม่ แล้วก็พี่รองกับน้องชายด้วย ตอนนั้นหลังจากพวกท่านให้ข้าแต่งงานออกเรือนไป พวกท่านก็ออกเดินทางกันเลย ไปที่ใดกันแน่เ้าคะ?”
จางจ้าวจื่อพูดยิ้มๆ “เ้าดูเ้าสิ เหตุใดยังทำนิสัยเช่นนี้อยู่ ให้ข้าดื่มน้ำก่อนเถิด ตั้งสมาธิ แล้วจะค่อยๆ เล่าให้เ้าฟังนะ”
จางจ้าวฉือรีบดันแก้วชาที่วางบนโต๊ะไปทางเขา มองจางจ้าวจื่อดื่มน้ำชาเข้าไปแล้ว ก็เร่งให้เขาพูดโดยเร็ว
จางจ้าวจื่อทำอันใดมิได้ จึงทำได้แค่วางแก้วชาลง แล้วเล่าออกมา “ทุกคนต่างสบายดีกันมาก ท่านพ่อท่านแม่เองก็สบายดีเช่นกัน หลังจากเ้าออกเรือนไป พวกเราก็เดินทางออกจากเมืองหลวงทันที โดยการนั่งเรือไปยังทะเล จากนั้นก็นั่งเรือจากริมทะเลไปยังเกาะร้างแห่งหนึ่ง”
จางจ้าวฉือเอ่ยถาม “ข้าก็รู้สึกว่าพวกท่านคงจะไปทางนั้น มีแค่ข้าที่เป็ฮูหยินอยู่ในเรือน อยากจะไปเยี่ยม ข้าก็ไปไม่ได้ สิบปีมานี้ข้ารอจนใจเ็ปไปหมดแล้วเ้าค่ะ”
จางจ้าวจื่อหัวเราะพลางเอ่ย “ครอบครัวของพวกเราเองก็ทำอันใดมิได้นี่นะ โชคดีที่์ยังเหลือทางให้มีชีวิตรอดอยู่ ตอนนั้นที่พี่ใหญ่ออกเรือไปทะเลก็ผ่านทางนั้น หลังจากครอบครัวเกิดเื่พวกเราก็คิดหาสถานที่มากมาย รู้สึกว่าที่นั่นค่อนข้างเหมาะสมให้ครอบครัวพวกเราไปอาศัยอยู่ จึงพาคนไปที่นั่นกัน”
จางจ้าวฉือเอ่ยถาม “ร่างกายท่านพ่อท่านแม่เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”
จางจ้าวจื่อตอบน้องสาว “อากาศของที่นั่นมีสี่ฤดู ในหนึ่งปีค่อนข้างจะร้อนชื้น ความจริงแล้วหากพูดตามตรง ทางนั้นถือว่าใช้ได้ เ้าเองก็รู้ ถึงแม้ท่านพ่อจะตรวจร่างกายไม่ค่อยเก่ง แต่สำหรับการบำรุงร่างกายนั้นท่านเก่งพอตัว หลายปีมานี้ก็ทำโอสถบำรุงร่างกายให้คนในเรือน ตอนนี้ทั้งครอบครัวก็พอจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่นั่นแล้ว ร่างกายเองก็แข็งแรงดี”
จางจ้าวฉือพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้วเ้าค่ะ พี่สาม เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้ล่ะเ้าคะ?”
จางจ้าวจื่อตอบ “ความจริงแล้วครอบครัวพวกเราได้จัดคนเอาไว้คอยดูแลปกป้องเ้าที่เมืองหลวง เป้าหมายของจวนโหวค่อนข้างใหญ่ และข้าก็ไม่กล้าไปหาเ้าที่จวน ต่อมามีจดหมายส่งมาบอกว่าครอบครัวของเ้าย้ายมาที่นี่ ข้าก็เลยรีบมาหาพวกเ้าอย่างไรล่ะ”
จางจ้าวฉือรู้ว่าจากเกาะทางใต้มาถึงที่นี่มีระยะทางมากกว่าหมื่นลี้ ออกจากเรือนตอนนี้ ไม่นั่งเรือก็นั่งรถม้า หากยังไม่พอก็ยังสามารถขี่ม้าได้ ทว่าการจะเดินทางตามระยะทางนี้ คงจะลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว
จางจ้าวฉือมองจางจ้าวจื่อด้วยความปวดใจ ซึ่งคนถูกมองก็ได้แต่ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตลอดทางมานี้ข้าก็ไม่ได้ลำบากอะไร เรือออกทะเลของครอบครัวเราแล่นอยู่ตลอดทั้งปี ตอนนั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ออกเดินทางอยู่ด้านนอกเช่นกัน พวกเราสามคนรวมทั้งน้องเล็ก บรรดาญาติๆ ต่างก็รู้กันดี ต่อมาพี่ใหญ่กับพี่รองงานยุ่งมาก ข้าก็ช่วยส่งสินค้าจากท่าเรือทางใต้ไปยังทางเหนือ ครั้งนี้เองบังเอิญตอนที่กำลังเดินทางก็ได้รับจดหมายมา ข้าจึงรีบเดินทางจากทางนั้นมาที่นี่อย่างไรเล่า”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เอาล่ะ พี่สาม พวกเราจะยังไม่พูดเื่นี้กันตอนนี้ ท่านไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถิด ข้าให้คนไปเรียกน้องเขยของท่านกลับมาแล้ว คืนนี้พวกเราค่อยรวมตัวกันดีหรือไม่”
จางจ้าวจื่อหัวเราะก่อนจะกล่าวหยอกเย้า “ปริมาณการดื่มสุราของน้องเขยพัฒนาขึ้นหรือไม่ใน่หลายปีมานี้?”
จางจ้าวฉือตอบ “เขาก็เป็คนเช่นนั้น ท่านยังจะให้เขาไปพัฒนาอันใดอีกหรือ? ตอนนี้ท่านพ่อยังดื่มสองอึกทุกมื้ออาหารอยู่หรือไม่เ้าคะ?”
จางจ้าวจื่อตอบ “ดื่มสิ ตัวท่านแช่เหล้าโอสถไปแล้ว บ่ายเย็นดื่มสองมื้อ ใช่แล้ว ตอนที่ท่านพ่อให้ข้ามาส่งจดหมาย ยังให้คนนำสุราติดมาด้วยอีกหลายไห ข้าเอาไปฝากไว้ที่โรงเตี๊ยม รอเ้าส่งคนไปพูดกับผู้ติดตามของข้าที่โรงเตี๊ยม ให้พวกเขานำสัมภาระมาให้ข้า”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ข้าให้คนไปทำความสะอาดเรือนหน้าให้ท่านแล้ว ท่านกับพวกผู้ติดตามพักในนั้นเถิดนะเ้าคะ”
จางจ้าวจื่อตอบกลับ “ได้ มาเรือนของเ้า ข้าก็จะฟังคำของเ้า”
เรือนด้านทางทิศตะวันออกเป็ห้องตำราของสวี่เหรา เรือนหลักทำเป็เรือนรับแขก ห้องนอนเรือนหลักทางตะวันออกเป็ห้องนอนแขก ซึ่งด้านในห้องล้วนเป็แท่นอุ่น ซึ่งเ้าสิ่งนี้จางจ้าวฉือเคยเห็นมาก่อนตอนที่ไปท่องเที่ยวเชิงเกษตร ตอนหน้าหนาวด้านใต้แท่นจะมีรูให้โยนฟืนเข้าไปสองท่อน ตอนกลางคืนด้านใต้เตียงก็จะอุ่นพอให้นอนหลับสบาย
ห้องพักทางตะวันตกเป็ห้องพักแขกเช่นกัน ด้านในเป็ตั่งขนาดใหญ่ สามารถนอนได้หลายคน
ตอนนี้เป็เวลาที่พืชผักกำลังเติบโตเป็จำนวนมาก บนถนนย่านการค้ามีขายอยู่เกลื่อนกลาด จางจ้าวฉือสั่งให้ป้าจ้าวไปซื้อผักซื้อเนื้อจากที่นั่นมา แล้วก็สั่งให้เด็กเรียนหนังสือของสวี่เหราไปรับคนมาจากโรงเตี๊ยม รอจนกระทั่งสวี่เหรากลับมา จางจ้าวจื่อก็ถูกจางจ้าวฉือพาไปห้องหลักของเรือนหลักแล้ว สวี่ตี้กับสวี่จือนั่งอยู่ด้านข้าง จางจ้าวจื่อจึงได้เล่าเื่ออกทะเลให้กับหลานทั้งสองคนฟัง
คนที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปี พบกันคราแรกยังมีความรู้สึกแปลกหน้าอยู่เล็กน้อย ทว่าหลังจากนั้นก็ค่อยๆ หาความรู้สึกคุ้นเคยที่มีแต่เดิมกลับคืนมาได้
สวี่เหราคออ่อนมากจริงๆ หลังจากดื่มไปสองจอก ก็ไม่ยอมดื่มอีกต่อไป จางจ้าวจื่อจึงเล่าเื่ที่ผ่านมาในหลายปีนี้ให้ฟังและจิบเหล้าในจอกเหล้าไปพลาง
หลังจากสกุลจางไปมีเื่กับคนมา หัวหน้าตระกูลของสกุลจางก็ตายจาก ไป ความจริงแล้วบิดามารดาของจางจ้าวฉือได้เริ่มหาทางออกให้กับครอบครัวตัวเองมานานมากแล้ว เขารู้ดีว่าในตอนนี้เบื้องหน้าของเมืองหลวงนั้นสุขสงบ แต่ความจริงภายในกลับมีคลื่นซัด และเพราะว่าไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป ถึงได้มีความคิดที่จะออกเดินทางไกล
บุตรชายนั้นยังสามารถพาไปด้วยได้ แต่บุตรสาวเพียงแค่พริบตาก็อายุถึงเกณฑ์ที่จะต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว หากยังตามไปด้วย ไปยังสถานที่ห่างไกลยากจน จะหาสามีได้อย่างไร?
พอดีกับตอนนั้นพ่อจางได้ช่วยหย่งหนิงโหวเย่เอาไว้ ทั้งสองครอบครัวในตอนนั้นพูดแกมหยอกล้อว่าจะให้บุตรธิดามาแต่งงานกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีของมายืนยัน และไม่เคยมีการสู่ขอ เื่มันก็รีบร้อนมาก พ่อจางจึงให้คนไปพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งหลังจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลสวี่ไปเจอกับพ่อจางใน่ไปไหว้พระขอพรที่วัด กลับมาก็เริ่มจัดงานแต่งงานให้สวี่เหรากับจางจ้าวฉือทันที
เมื่อจัดการเื่แต่งงานของบุตรสาวเรียบร้อยแล้ว โดยอาศัยบุญคุณที่เ้าบ้านสกุลจางสร้างเอาไว้ให้บุตรสาวแต่งงานเข้าไปยังครอบครัวของสามีเรียบร้อยแล้ว สกุลจางจึงพูดกับคนภายนอกว่าจะกลับไปบ้านเก่าเพื่อไว้ทุกข์ให้กับเ้าบ้านสกุลจาง กิจการในเมืองหลวงยังไม่ทันได้จัดการให้เรียบร้อยก็ออกเดินทางไปเสียแล้ว
บ้านเก่าของสกุลจางอยู่ทางใต้ หลังจากกลับไปถึงบ้านเก่าก็จัดงานศพให้กับเ้าบ้านสกุลจาง ซึ่งบ้านสกุลจางนั้นไม่ได้จัดเตรียมสัมภาระก็ออกเดินทางในคืนนั้นเลย
หลายวันที่เดินทางอยู่ในทะเล ในที่สุดก็ถึงเกาะกลางทะเลที่บุตรชายคนโตของสกุลจางเห็นว่าดี
จากการบอกเล่าของจางจ้าวจื่อ ครอบครัวสวี่สามคนรู้สึกว่าเกาะกลางทะเลนั่นก็คงจะเป็เกาะไห่หนานของยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแค่หนึ่งปีมีสี่ฤดู ส่วนใหญ่เหมือนจะเป็ฤดูใบไม้ผลิ ประเด็นคือจางจ้าวจื่อพูดว่าที่นั่นคือเทียนหยาไห่เจี่ยว [1] เช่นนั้นก็คือซานย่า [2] มิใช่หรือ?
จางจ้าวจื่อเป็คนเก่งกาจในเื่การแสดงออกทางอารมณ์เป็อย่างมาก หลายเื่เมื่อเขาเป็ผู้บรรยาย ก็ทำให้คนฟังเหมือนกับเข้าไปเผชิญด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่สวี่จือที่ฟังจนลืมกินข้าว แม้แต่สวี่ตี้ที่เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เป็คนที่เห็นอะไรมามากก็ฟังอย่างสนอกสนใจเช่นกัน
สวี่ตี้ถอนหายใจ และพูดออกมาตามความคิดว่า “ท่านลุงสามขอรับ เมื่อไหร่ข้าจะสามารถออกไปดูด้วยตาตนเองกับท่านได้ขอรับ”
จางจ้าวจื่อยิ้มแล้วเอ่ยตอบหลานชายว่า “อายุเ้ายังน้อย ตอนนี้เป็เวลาเรียนหนังสือ เรียนมากๆ เรียนให้ดี โตแล้วข้าจะพาเ้าไปเปิดโลกกว้าง”
สวี่ตี้พยักหน้าแข็งขัน ก่อนที่จางจ้าวฉือจะเอ่ยขึ้น “พี่สาม ตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว พวกเราจะไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีกแล้วหรือเ้าคะ?”
จางจ้าวจื่อยิ้มพลางกล่าวตอบ “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่พี่รองเคยปรึกษากันเื่นี้แล้ว พวกเขารู้สึกว่าไม่มีความจำเป็ที่จะต้องกลับไป เมืองหลวงมีพวกเ้าอยู่ พวกเราก็อยู่ที่นั่นดีกว่า หากต่อไปเมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเ้าอยากหลีกหนีก็นั่งเรือมาหาพวกเรา ก็ถือว่าหาทางถอยให้กับพวกเ้าไปในตัว”
จางจ้าวฉือเอ่ย “จะอย่างไรข้าก็ไม่ได้เจอกับพวกท่านมานานหลายปีแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็อดที่จะสะอื้นออกมามิได้
จางจ้าวจื่อกล่าว “ข้าก็มาหาเ้าแล้วมิใช่หรือ? หากข้าจัดการเื่ราวทางนี้เสร็จแล้ว พวกท่านพ่อท่านแม่ก็จะมาเยี่ยมเ้า”
หีบสัมภาระเดินทางของจางจ้าวจื่อถูกนำมาวางไว้ที่เรือนหน้า หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็พาครอบครัวสวี่ไปดูของขวัญที่ตนเองนำมาให้ ทั้งของกิน เครื่องดื่ม ของเล่น ที่มากที่สุดคือผ้า
จางจ้าวจื่อเอ่ย “พอดีเลย ตอนที่ข้าอยู่อวี๋หางก็ได้ซื้อผ้ามานิดหน่อย คิดได้ว่าเ้าอยู่ที่นี่ ทางนี้ของก็ไม่เยอะ จึงนำมาให้พวกเ้าเอาไว้ทำชุด”
สวี่เหราเอ่ยถาม “พี่สามขอรับ ตลาดแลกเปลี่ยนบนถนนท่านไปดูมาแล้วใช่หรือไม่?”
จางจ้าวจื่อตอบ “ข้ารู้จักตลาดแลกเปลี่ยน แต่ว่าไม่เคยไปดู พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
สวี่เหรากล่าว “ท่านว่าข้าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถพัฒนาการค้าขึ้นมาได้ขอรับ? ตอนนี้นอกด่านมีของมากมายที่เอามาแลกเปลี่ยนในตลาดแห่งนี้ ข้ากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ตลาดแลกเปลี่ยนยิ่งใหญ่ขึ้น หากทำได้ดี ก็ทำให้ประชาชนของเหอซีได้รับผลประโยชน์จากตลาดแลกเปลี่ยนในการหาเงินมาได้มากขึ้น ในเมื่อมีเงินถึงจะมีชีวิตที่ดีขอรับ”
จางจ้าวจื่อตอบ “เ้ามีความคิดที่ดีมาก รอพรุ่งนี้หลังจากข้าไปดูแล้วพวกเราค่อยมาสรุปผลกัน ใช่แล้ว เรือที่ออกทะเลของพวกเรายังเอาเมล็ดพันธุ์กลับมาด้วย มีบางอย่างสามารถปลูกที่นั่นได้ บางอันไม่ได้ รอข้าให้พวกเขาเอามาให้พวกเ้าลองปลูกดู หากมีเมล็ดที่ปลูกออกมาได้ดี ก็สามารถมีของกินของขายเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง นับเป็เื่ที่ดีใช่หรือไม่?”
ช่างเป็การที่กำลังสัปหงกแล้วมีคนส่งหมอนมาให้เสียจริง สวี่เหรารีบขอบคุณ แม้แต่สวี่ตี้เองก็สนใจมากว่าท่านลุงสามจะเอาเมล็ดพันธุ์อะไรมาให้กัน
ทางเขตเมืองเหอซีเป็ด่านชายแดนของต้าเหลียง ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับชาวโยวมู่เหมินทางด้านตะวันตกจึงมีพ่อค้าจากทางตะวันตกเดินทางข้ามมา บางครั้งบนถนนก็ยังสามารถเจอคนเปอร์เซีย คนชนเผ่าอื่น ที่เดินทางมาจากเส้นทางสายไหมได้
ในตอนแรกสวี่เหราคิดอยากจะเชื่อมสัมพันธ์กับคนเช่นนี้สักคนสองคน จากนั้นก็เชิญชวนให้พวกเขาเอาเมล็ดพืชข้ามฝั่งมาด้วย แต่หลายวันมานี้ สวี่เหรายังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้ กระทั่งจางจ้าวจื่อเดินทางมา อีกทั้งเรือออกทะเลของสกุลจางก็ยังสามารถเอาเมล็ดพันธุ์จากต่างแดนกลับมาได้ เื่นี้จึงเป็จุดที่สวี่เหราดีใจมาก
เชิงอรรถ
[1] คือแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในมณฑลไหหลำทางภาคใต้ของประเทศจีน ห่างจากเมืองซานย่าไปทางตะวันตก 24 ก.ม.
[2] ซานย่า (三亚市 Sānyà shì) เป็เมืองทางตอนใต้สุดของมณฑลไหหลำ เป็เมืองท่องเที่ยวเนื่องจากอยู่ติดทะเล เป็หนึ่งในนครระดับจังหวัดทั้งสี่แห่งในมณฑลไหหลำ