บทที่ 45 ลู่อวี่ปรุงยาอายุวัฒนะ
เมื่อเห็นลู่อวี่แสดงฝีมือด้วยตาตัวเองในเวลานี้ ก็ทำให้รู้สึกว่าง่ายดายยิ่งนัก แต่มันก็เป็เพียงความรู้สึก แต่หากให้เขาลงมือทำเอง หรือหากอยากได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันก็คงทำได้ไม่เหมือนเท่าไรนัก เพราะมันไม่ใช่แค่การสกัดน้ำออกมาเท่านั้น หาก้าเพียงความบริสุทธิ์ ก็นับว่ายากแล้ว มิเช่นนั้นในโลกบำเพ็ญเพียรของเทียนตูที่คงอยู่มาอย่างยาวนานจนนับไม่ถ้วน คงมีคนที่ศึกษาวิธีการที่ดีกว่านี้ไว้ก่อนแล้ว
ในเวลานี้ดูเหมือนว่าหากไม่เข้าใจช่องทางพลังปราณที่อยู่ภายในร่างกาย แม้ว่าจะเลียนแบบได้อย่างผิวเผิน แต่ในความเป็จริงยังไกลจากของจริงมาก บางทีคนปรุงโอสถมากมายที่สูญสลายไปแล้วก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หัวใจของมู่ซิงเหอก็เต้นแรง จู่ๆ ก็มีข่าวลือหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัว ดูเหมือนว่าจะเป็ที่ไหนสักแห่ง นอกเทียนตูเหมือนจะมีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้อยู่ เป็ปรมาจารย์ผู้มีพลังยุทธ์ในขั้นหวนสู่สัจธรรม และประสบความสำเร็จถึงจุดสุดยอดในช่องทางการปรุงโอสถ แต่จู่ๆ ก็ได้หายตัวไปเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือว่าอาจารย์ที่ว่าของลู่อวี่จะเป็ปรมาจารย์ผู้นี้?หากเป็เื่จริงต้องเป็เื่ใหญ่มากแน่ๆ แต่เื่นี้มันพิสูจน์กันไม่ได้ และยิ่งไม่มีทางไปตามหาความจริงได้ด้วย แต่หากดูตามระดับความสามารถของลู่อวี่ในตอนนี้ ก็มีเพียงปรมาจารย์ผู้นั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็ผู้ที่มีความสามารถขั้นสูง
มู่ซิงเหอ รู้สึกตื่นเต้นจนใจเต้นรัว โชคดีที่ตัวเองรู้สึกผิดและเดินทางมาที่ตระกูลลู่ จนได้ผูกมิตรกับพวกเขาไว้ มิฉะนั้น คงพลาดโอกาสทำความรู้จักกับปรมาจารย์ปรุงโอสถที่ไม่มีใครเทียบได้ในภายภาคหน้า? น่าเสียดายที่หลานสาวยังเด็กอยู่ ในแง่ของคุณสมบัติและความสามารถคงยังไม่ถูกตาต้องใจคนตระกูลลู่แน่!
ลู่ไท่ชังเองก็สังเกตเห็นวิธีพิเศษของลู่อวี่เช่นเดียวกัน เมื่อนึกถึงปรมาจารย์ผู้ลึกลับผู้นั้นของลู่อวี่ ก็เต็มไปด้วยความชื่นชม แต่ตัวเขาเองก็มีความรู้กว้างไกล และพอจะเข้าใจเกี่ยวกับปรมาจารย์ผู้โด่งดังที่อยู่ในเทียนตูมาพันปี แต่ไม่เคยรู้จักยอดฝีมือผู้นี้เลย ดูเหมือนว่าเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่ คิดได้ว่าตนเองเผลอดูถูกผู้บำเพ็ญเพียรในโลกนี้ไปเสียแล้ว
อย่าว่าแต่จอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าทั้งสองที่ใ หนึ่งก้านธูปต่อมา ภายใต้การชี้แนะของลู่อวี่ ลู่หงิและลู่เหว่ยเซิ่ง ก็จัดการวัตถุดิบที่เหลือและจัดเรียงตามลำดับอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย ถึงได้ร่ายคาถาเปิดเตาหลอมยาที่อยู่ไม่ไกล
หลังจากสะบัดแขนเสื้อ วัตถุดิบยาต่างๆ ที่จัดเตรียมไว้ก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ และในจังหวะที่แขนเสื้อขยับขึ้นมาอย่างฉับพลันก็ทยอยเรียงตัวเข้าไปในเตาหลอมยาตามลำดับ จนกระทั่งวัตถุดิบสุดท้ายเข้าไปแล้ว เกิดเสียง “ปัง” ดังขึ้น เตาหลอมยาก็ปิดฝาลงอีกครั้ง
ลู่อวี่นั่งขัดสมาธิบนฟูกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเตาหลอมยา พูดขึ้นว่า “ท่านผู้เฒ่าห้า ท่านลุงลู่เหว่ยเซิ่ง พวกท่านมีหน้าที่ปล่อยพลังปราณลงไปในเตาหลอมยา นอกจากนั้นไม่ต้องทำอะไร ข้าจะเปลี่ยนแปลงและนำทางทุกอย่างเอง!” ทันทีที่พูดจบ ไฟดินใต้เตาหลอมยาก็ลุกโชนขึ้นมาโดยพลัน
ลู่หงิ และลู่เหว่ยเซิ่งรีบทำตามคำพูดของลู่อวี่ทันที จากนั้นแต่ละคนก็ปลุกระดมลมปราณและปล่อยกระแสพลังปราณที่มองไม่เห็นในอากาศและปล่อยเข้าไปในเตาหลอมยา จากนั้นทำเพียงควบคุมพลังให้คงอยู่ในสภาพมั่นคง
ลู่อวี่ไม่ได้้าพลังปราณจากลู่หงิและลู่เหว่ยเซิ่งมาช่วยสนับสนุน แต่เขาแค่รู้สึกจริงๆ ว่าสองคนนี้มีความคืบหน้าช้าเกินไป ซึ่งหากเป็แบบนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อแผนการบำเพ็ญเพียรของเขา ดังนั้นจึงพยายามคิดค้นหาวิธีที่จะช่วยให้พวกเขายกระดับความเข้าใจและประสบการณ์การปรุงยาให้ และแน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้วิธีนี้ได้ มีเพียงปรมาจารย์ด้านการปรุงยาที่แท้จริงอย่างลู่อวี่เท่านั้นที่เชี่ยวชาญ
พลังงานความร้อนมหาศาลปกคลุมไปทั่วทั้งห้องปรุงโอสถทันที และแน่นอนว่าความร้อนนี้ไม่ได้น่ากังวลสำหรับทุกคนในนั้นแม้แต่น้อย แต่เมื่อถูกห่อด้วยความร้อนและถูกย่างอยู่ตรงกลางก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
ลู่ไท่ชังรีบโบกมือขึ้นส่งโล่พลังปราณออกมา ปกป้องทุกคนจากด้านใน
ดวงตาของมู่ซิงเหอเปลี่ยนไปในเวลานี้ ลู่อวี่ผู้นี้ เหตุใดถึงใช้ไฟดินที่รุนแรงเช่นนี้ั้แ่เริ่มต้นปรุงยาอายุวัฒนะ เท่าที่เขารู้มา อุณหภูมิของเตาหลอมยาจำเป็ต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้นไม่ใช่หรือ? เป็เช่นนี้จะสร้างความเสียหายให้กับวัตถุดิบยาในเตาหลอมหรือไม่? แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนปรุงโอสถ แต่ก็เคยพบกระบวนการปรุงยาของคนปรุงโอสถมาแล้วไม่น้อย ดังนั้นเมื่อเห็นลู่อวี่เพิ่มพลังของไฟดินอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ จึงรู้สึกเป็กังวลไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้เขาใยิ่งกว่านั้นคือ ไม่คิดว่าลู่อวี่จะกล้าให้ผู้อื่นปล่อยพลังปราณเข้ามา หรือเพราะเขาไม่เคยคิดที่จะปรุงยาอายุวัฒนะในเตาหลอมนี้ด้วยซ้ำ? หรือว่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป?
เหลือบมองสหายเก่าแวบหนึ่ง และเห็นสายตานิ่งสนิทของเขา ก็อดพูดออกมาไม่ได้ว่า “สหายลู่ ลู่อวี่ใช้ไฟดินที่รุนแรงเช่นนี้ปรุงยาอายุวัฒนะั้แ่แรกเริ่ม เกรงว่าจะไม่เหมาะสม การปรุงยาแล้วใจร้อน้าเห็นผลทันทีเช่นนี้ ตัวข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาเป็ผู้ใดกันแน่ แต่ลู่อวี่ยังเด็ก ประสบการณ์ยังน้อยนิด หากจะมีนิสัยหุนหันพลันแล่นไปเสียบ้าง ย่อมเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!”
ดวงตาของลู่ไท่ชังกะพริบถี่ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางลูบเคราแล้วพูดว่า “เดิมทีตั้งใจว่าจะให้โอกาสเขาได้ฝึกฝนทักษะ แต่ในเมื่อเขาบอกว่ามั่นใจว่าจะทำสำเร็จ ผู้เฒ่าสูงสุดเช่นข้าจำต้องสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่อยู่แล้ว สิ่งนี้เป็เพียงยาอายุวัฒนะเม็ดเล็กๆ เท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะล้ำค่า แต่เมื่อเทียบกับมรดกของตระกูลลู่เราแล้ว จะนับว่าเป็สิ่งใดได้เล่า”
มู่ซิงเหอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างยอมรับ สหายเก่าพยายามอย่างหนักจนแทบสิ้นชีพเพื่อตระกูลของเขาจริงๆ แม้แต่ยาวิเศษเพิ่มพลังยุทธ์ของเขายังเต็มใจนำออกมาให้คนรุ่นหลังได้ฝึกฝนฝีมือ ก็ไม่รู้ว่ามันคือความกล้าหาญหรือโง่เขลากันแน่ แต่ตัวเองกลับไม่รู้จะเอ่ยปากห้ามปรามอย่างไรดี
แต่ลู่หงิและลู่เหว่ยเซิ่งที่ปล่อยพลังเข้าไปในเตาหลอมยากลับมีความรู้สึกแตกต่างออกไปในเวลานี้ แม้ว่าพวกเขาจะปล่อยการควบคุมพลังปราณของตัวเองไปหมดแล้ว แต่ทุกรายละเอียดที่ลู่อวี่คอยควบคุมพลังปราณของพวกเขากลับยังฝังลึกอยู่ในหัว
แม้ว่าลู่หงิจะเป็คนปรุงโอสถขั้นหกแล้ว และแม้แต่ลู่เหว่ยเซิ่งก็เป็คนปรุงโอสถขั้นเจ็ดไปแล้ว แต่เริ่มแรกที่เห็นลู่อวี่ใช้ไฟดินที่รุนแรงเช่นนี้มาปรุงยาก็ใเช่นเดียวกัน สายตาสองคู่นั้นจับจ้องไปทางเตาหลอมเขม็ง เพราะกลัวว่าหากลู่อวี่ไม่ทันระวัง จะทำยาอายุวัฒนะเสียหาย หรืออาจทำให้เตาหลอมยาะเิได้
แต่ในขณะที่ลู่อวี่ปลุกระดมพลังปราณทั้งหมด ในทุกๆ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง อาการตื่นเต้นที่มีของพวกเขาก็ค่อยๆ กลับมาปกติ เพราะหากยิ่งตื่นเต้นและตื่นตระหนก จะยิ่งไม่สามารถควบคุมพลังได้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมี “วิชาทดแทนสิบสอง” ที่ลู่อวี่มอบให้พวกเขาก่อนหน้านี้ ทว่าพวกเขายังไม่มีเวลาทำความเข้าใจและฝึกฝนมัน แต่หลังจากได้รับมา ทั้งสองก็รีบจดจำไว้ในหัว ในเวลานี้ จึงนำมาใช้ร่วมกับการควบคุมเปลวไฟของลู่อวี่ รวมกับความทรงจำในหัว มันทำให้พวกเขามีความเข้าใจ “วิชาทดแทนสิบสอง” อย่างก้าวะโ
เชื่อว่าหลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ ระดับความสามารถเล็กเท่าใบหน้ารูปไข่ของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะยิ่งชื่นชมและเคารพในความสามารถปรุงยาของลู่อวี่มากยิ่งขึ้น
สามวันต่อมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาก็ลอยโชยออกมา และทุกคนที่อยู่ในห้องปรุงโอสถก็ตื่นเต้นกันไม่น้อย พวกเขารู้ว่ายาอายุวัฒนะใกล้จะปรุงเสร็จแล้ว
แม้ว่าลู่ไท่ชังจะมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ และต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับมู่ซิงเหอก็ตาม บอกแล้วว่าครั้งนี้ขอเพียงให้คนรุ่นหลังได้ฝึกฝน จะสำเร็จหรือไม่นั้นไม่ใช่เื่สำคัญ แต่เมื่อใกล้จะสำเร็จก็ระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว แม้ว่าใบหน้าจะยังไม่แสดงอาการใดๆ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมลมหายใจที่สั่นไหวได้ ทำให้โล่พลังปราณที่ปกคลุมทุกคนอยู่เริ่มสั่นคลอน
มู่ซิงเหอเองก็กังวลและตื่นเต้นมากเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าภายในเวลาเพียงสามวัน ยาอายุวัฒนะนี้ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเื่ของจำนวน แค่ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีใครเทียบได้แล้ว แต่เขากล้ายันยืนเลยว่า คนปรุงโอสถเพียงคนเดียวที่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะขั้นห้าเตาหนึ่งได้ภายในสามวัน เห็นทีจะมีแต่ลู่อวี่ นายน้อยผู้แปลกประหลาดที่สุดผู้นี้
เดิมทีเขายังคิดว่าการปรุงยาอายุวัฒนะขั้นห้า หากด้วยพลังยุทธ์ของลู่อวี่อย่างไรก็ต้องใช้เวลาสองหรือสามเดือน เพราะที่เขารู้จักและรู้มาทั้งหมด แม้แต่คนปรุงโอสถที่เห็นด้วยตาตัวเอง การปรุงยาอายุวัฒนะขั้นห้า อย่างน้อยก็ใช้เวลาสั้นสุดก็ประมาณหนึ่งเดือน นี่เป็ยาอายุวัฒนะที่ตัวเองชำนาญที่สุดถึงจะทำได้ความเร็วขนาดนี้ แต่หากเป็ยาอายุวัฒนะชนิดที่ไม่เคยปรุงมาก่อน คงใช้เวลาอย่างน้อยหลายเดือน ครึ่งปีหรือมากถึงสองสามปีก็นับว่าเป็เื่ปกติ แต่เหตุใดเมื่อกฎเกณฑ์นี้มาอยู่กับลู่อวี่แล้วถึงใช้ไม่ได้?
มู่ซิงเหอทั้งรู้สึกตื่นเต้นทั้งงงงวย และใมากกว่าเดิม แต่เมื่อนึกถึงนายน้อยตระกูลลู่ที่มีพลังยุทธ์อยู่ใน่ปลายของขั้นพลังจิต ก็ไม่เพียงแต่ใเท่านั้น แต่คิดว่าเขาต้องเป็ปีศาจแน่นอน! เพราะในขณะที่คนปรุงโอสถคนอื่นๆ ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะปรุงยาอายุวัฒนะออกมาได้สักหนึ่งเตาหลอม แต่ตระกูลลู่สามารถปรุงยาได้ถึงสิบเตาหลอม แตกต่างกันถึงสิบส่วน ซึ่งไม่ใช่เพียงเื่ของยาอายุวัฒนะที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นก็ััได้ถึงโล่พลังลมปราณด้านนอกที่สั่นไหวผิดปกติ เมื่อชำเลืองมอง ก็เห็นว่าลู่ไท่ชังยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ถึงกับส่ายหน้าด้วยความจำใจ พร้อมกันนั้นจึงปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อตั้งโล่ให้มั่น และรับ่ต่อโล่พลังปราณปกป้องทุกคน
พลางเอ่ยพึมพำเบาๆ ว่า “สหายลู่ ดูเหมือนว่าเ้าก็ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งได้ แต่ตระกูลลู่ของเ้ามีคนปรุงโอสถปีศาจถือกำเนิดขึ้นมาคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่ว่าการปรุงยาครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ในภายภาคหน้าตระกูลลู่ย่อมกลายเป็ผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียรของเทียนตู อาจเหนือกว่าตำหนักมหาเทพ และอาจควบคุมทั้งโลกบำเพ็ญเพียรของเทียนตูในภายภาคหน้าก็เป็ได้!”
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว มู่ซิงเหอก็ไม่คิดอะไรอีก ทำเพียงมองดูอยู่เงียบๆ เท่านั้น
แต่ในเวลานี้ ลู่อวี่ยังคงนั่งสมาธิอยู่บนพื้นอย่างสงบ ดวงตาของเขาปิดลงเล็กน้อย พลางร่ายเวทออกมาเป็ครั้งคราว สำหรับเขา แม้ว่าระดับพลังยุทธ์จะไม่ดีขึ้นมากใน่เวลานี้ และแม้ว่าจะก้าวหน้าเพียงน้อยนิดแต่ก็สามารถทำให้เขาสบายมากขึ้นเวลาปรุงยา โดยเฉพาะวิธีการแบบดั้งเดิม ธรรมดาและเรียบง่ายที่สุด มันไม่มีปัญหาใดๆ เลยสำหรับเขา
แต่เมื่อถึงเวลานี้ ลู่หงิและลู่เหว่ยเซิ่งก็ไม่จำเป็อีกต่อไปแล้ว เมื่อเข้าสู่ระยะการกลั่นตัวมีเพียงคนปรุงโอสถเท่านั้นที่ต้องคอยควบคุมเวลาการกลั่นตัวของยาอายุวัฒนะด้วยตัวเอง และจำเป็ต้องใช้พลังลมปราณเพียงเล็กน้อยในการรักษาอุณหภูมิของเตาหลอมยา
ดังนั้นลู่อวี่จึงกล่าวออกมาว่า “ท่านผู้เฒ่าห้า ท่านลุงลู่เหว่ยเซิ่ง พวกท่านสามารถถอนพลังปราณออกไปได้แล้ว ่กลั่นตัวยาและการเก็บยาที่เหลือ สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้สึกของแต่ละคน ยิ่งปรุงยาอายุวัฒนะจำนวนมากเท่าไร ในภายภาคหน้า ความสามารถในการควบคุมยาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น คนปรุงโอสถของตระกูลลู่ไม่ต้องไปเลียนแบบคนนอกเ่าั้ ทุกครั้งที่ก้าวมาถึงระดับหนึ่ง จนสามารถปรุงยาอายุวัฒนะได้หนึ่งหรือสองชนิด ก็อยากจะปรุงยาอายุวัฒนะที่มีระดับสูงขึ้นอีก พวกท่านต้องนำความสามารถที่มีมาปรุงยาอายุวัฒนะที่ไม่ผ่านการกลั่นมาก่อนให้ชำนาญ ถึงจะลองและเรียนรู้ยาอายุวัฒนะขั้นที่สูงกว่าได้”
ลู่หงิและลู่เหว่ยเซิ่ง ถอดพลังปราณของพวกเองออกมา ในขณะเดียวกันก็จำคำพูดของลู่อวี่ได้ขึ้นใจ แม้ว่าลู่อวี่จะเป็รุ่นลูกรุ่นหลานแล้ว แต่ในโลกบำเพ็ญเพียรของเทียนตู ไม่แบ่งแยกความาุโ ผู้ใดเก่งก็จะได้รับการเคารพ แม้แต่ในหมู่สำนักเ่าั้ ระดับและสถานะก็ขึ้นอยู่กับพลังยุทธ์ บางทีอาจจะเข้าสู่ประตูแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ร้อยกว่าปี แต่คุณสมบัติที่ดี การฝึกฝนก็เร็ว บางทีอาจถูกคนที่เข้าสู่ประตูแห่งการบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าหลายร้อยปีเรียกขานว่า “ท่านอาจารย์ลุง” หรือ “ท่านอาจารย์อา” ด้วยความเคารพเมื่อพบหน้า ดังนั้นเมื่อได้ยินแนะนำของลู่อวี่ ทั้งสองคนก็ไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด ทำเพียงพยักหน้ารับฟัง
อีกหนึ่งก้านธูปต่อมา กลิ่นหอมในห้องปรุงโอสถก็เปลี่ยนจากกลิ่นจางๆ เป็รุนแรงขึ้น ทันใดนั้นลู่อวี่ก็ลืมตาขึ้นและตวัดมือร่ายคาถาไปเขย่าเตาหลอมยาที่อยู่ไม่ไกลในพริบตา