อวิ๋นซีและจวินเหยียนทำได้เพียงมองหวานหว่านจากไปพร้อมกับหมัวมัว ก่อนที่จวินเหยียนจะจับมือนางแน่นแล้วพูดเสียงเบา“อย่ากลัวไปเลย หวานหว่านเป็เด็กฉลาด นางย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร”
บุตรสาวของเขาเป็แม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ยิ่งกว่านั้นนางยังรู้วิชาพิษที่น่าประหลาดใจ ดังนั้น แค่เื่ปกป้องตนเองไม่นับเป็ปัญหา
อวิ๋นซีพยักหน้า “ร่างกายหวานหว่านนั้น ร้อยพิษไม่กล้ำกลาย ต่อให้พระมารดาท่านคิดจะทำอันใดกับนางก็ไม่อาจทำอันใดได้”แท้จริงแล้วนางควรต้องมั่นใจในตัวบุตรสาว หากคิดเช่นนี้ บางทีในใจก็คงคลายกังวลลงได้และรู้สึกดีขึ้นมาก...
................................................................................................
หวานหว่านตามหมัวมัวไปถึงตำหนักเฟิ่งอี้ และได้เห็นฮองเฮาที่นั่งสูงส่งอยู่้าสตรีผู้นั้นคือเสด็จย่าของนาง
เด็กน้อยก้าวไปด้านหน้า คุกเข่า พร้อมโขกศีรษะด้วยท่วงท่าที่ถูกต้องตามระเบียบจารีตรวมถึงมารยาทใดที่สตรีควรมี หวานหว่านก็ไม่มีขาดตกบกพร่องไปแม้แต่จุดเดียว ด้วยเื่นี้ทำให้เซียงเอ๋อร์ที่ติดตามปกป้องอยู่เื้ัยังถึงกับอดถอนใจโล่งอกออกมาไม่ได้ ถึงกระนั้นฮองเฮาท่านนี้พวกนางล้วนไม่รู้ว่าเป็คนเช่นไร ทว่าในสายตาของนาง สตรีสูงศักดิ์ท่านนี้ย่อมมิใช่มารดาผู้มีเมตตาอย่างแน่นอน
ฮองเฮามองไปยังหวานหว่าน เป็นานถึงพูดขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
หวานหว่านยืนขึ้นเบื้องพระพักตร์ฮองเฮาด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม ปล่อยให้คนได้พิจารณาตนไปและเป็นาน นางถึงได้ยิ้มแล้วถามขึ้น “เสด็จย่า ทอดพระเนตรชัดแล้วหรือยังเพคะ?หวานหว่านหน้าตาคล้ายพระบิดายามเยาว์วัยมากเลยใช่หรือไม่เพคะ? ”
ฮองเฮาอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่า เ้าเด็กนี่จะพูดกับตนเช่นนี้สีหน้าของนางอ่อนลงสองสามส่วน จากนั้นก็กวักมือไปที่เด็กน้อยแล้วพูดว่า “มานี่ ให้เปิ่นกงได้ดูเ้าใกล้ๆหน่อย”
ทันทีที่มีรับสั่ง หวานหว่านก็ยิ้มรับแล้วเดินเข้าไปหา ฮองเฮาพิจารณานาง ตัวนางเองก็พิจารณาฮองเฮาเช่นกัน“เสด็จย่าทรงอ่อนเยาว์และงดงามเฉกเช่นเดียวกับมารดาของหวานหว่านไม่มีผิดเพี้ยนเลยเพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินแล้วก็หัวเราะฮ่าฮ่า “เ้าเด็กคนนี้ ฉลาดพูดไม่น้อย”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็จับมือหวานหว่านไว้ ตั้งใจมองซ้ายมองขวาจากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “เ้าเหมือนบิดาเ้ายามเยาว์วัยอยู่นิดหน่อย” ด้วยเื่นี้นางไม่ได้โกหก เ้าเด็กน้อยนี่กับจวินเหยียนตอนเด็กเรียกได้ว่าเหมือนมากทีเดียว
เมื่อหวนนึกถึงยามลูกชายเยาว์วัย ฮองเฮาก็ทอดถอนใจออกมาเสียงหนึ่ง เด็กคนนั้นั้แ่เด็กก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับตนมาก เื่บางเื่ถึงแม้ตัวนางผู้เป็มารดาจะเข้าใจทว่าในฐานะฮองเฮา แม่ของแผ่นดินแห่งหนานเย่า สิ่งที่นางควรต้องทำมิใช่เพียงเพื่อเด็กคนหนึ่ง
“ปกติแล้ว บิดาเ้ายามอยู่จวน ทำอันใดบ้าง? ” ฮองเฮาถาม สำหรับหวานหว่าน นางรู้ั้แ่แรกแล้วว่า คนเกิดจากมารดาผู้เป็สตรีด้านนอกของจวินเหยียนซึ่งเรียกได้ว่า สถานะมารดาของเด็กนี่ไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็มิใช่อวิ๋นซีหมอหญิงชั้นต่ำเป็ผู้ให้กำเนิดดังนั้น ในใจนางจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจมากมายนักถึงขนาดที่อาจเรียกได้ว่า ยังมีความรู้สึกดีดีต่อหวานหว่านอยู่สองสามส่วนอย่างไรเสีย เด็กคนนี้ก็ถือเป็เืเนื้อเชื้อไขของจวินเหยียน
เมื่อหวานหว่านได้ยินก็ขบคิดเพียงครู่แล้วตอบ “บิดาของหม่อมฉันบอกว่าคนด้านนอกวุ่นวายเกินไป เขาไม่อยากรับรองคนพวกนั้น จึงได้ปิดประตูไม่รับแขก และใช้ชีวิตอยู่กับมารดาสิ่งนี้เรียกว่าคนสองคนไม่สนใจเื่ราวภายนอก ใช้ชีวิตอย่างเสรีแสนสบายสำหรับพวกเรา เพียงแค่นี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วเพคะ”
ทันทีที่ฮองเฮาได้ยินคำตอบตรงไปตรงมานั้น มือที่จับหวานหว่านอยู่ก็ออกแรงเพิ่มมากขึ้นนางบีบจนมือของเด็กน้อยขึ้นสีแดงเรื่อ ทว่า หวานหว่านไม่เพียงไม่แสดงอาการ นางอดทนแล้วกล่าวต่อเสียงเบาๆที่ข้างหูของฮองเฮา “อีกทั้ง บิดาหม่อมฉันยังบอกอีกว่า นอกจากมารดาของหม่อมฉันแล้วสตรีอื่นล้วนไม่สำคัญ”
สตรีอื่นหรือ?
เมื่อฮองเฮาได้ยินจนถึงประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที และไม่แม้แต่จะคิดก็สะบัดมือหวานหว่านออกไปหวานหว่านตัวน้อยที่ถูกแรงผลักของผู้ใหญ่ ทำให้ร่างทั้งร่างถึงกับกระเด็นออกมา ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
และในตอนนี้เอง จู่ๆ นางก็ลุกขึ้น รีบร้อนเดินออกไปด้านนอก “เสด็จย่า อย่าตีข้าหวานหว่านกลัว อย่าตีหวานหว่าน”
ไม่ว่าจะเป็ใครก็ล้วนคิดไม่ถึงว่า จู่ๆ นางจะเป็เช่นนี้ แม้แต่สาวใช้อย่างเซียงเอ๋อร์ก็ถูกนางทำให้ใจนอึ้งไปเช่นกันเดี๋ยวนะ นี่เื่อันใดกัน? เหตุใดหวานหว่านถึงได้พูดคำเช่นนี้?สาวใช้ไม่รีรอรีบออกติดตามทันที หวานหว่านถือเป็นายหญิงน้อยเป็ชีวิตของท่านอ๋องและพระชายา หากว่าเกิดเื่ใดขึ้น ต่อให้เซียงเอ๋อร์จะมีสิบชีวิตก็ยังชดใช้ให้ไม่พอ
หวานหว่านดูเหมือนคนที่หวาดกลัวจนวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทางแต่หากเป็คนที่คุ้นเคยกับนางดีก็ย่อมต้องรู้ว่า ทุกเื่ที่นางทำล้วนมีเป้าหมาย หวานหว่านยังคงมุ่งหน้าต่อไปพลางะโลั่น“เสด็จย่า อย่าตีหวานหว่าน”
ภาพฉากนี้ตกเป็เป้าสายตาของคนในวังมากมาย ทั้งยังมีบางคนที่ตาแหลมจนสามารถมองเห็นกระทั่งรอยเืสองสามรอยที่ข้อมือนางชัดเจนว่านี่คือรอยที่ถูกกรีดจากเล็บ และในวังหลวงแห่งนี้คนที่ชอบสวมเล็บปลอมก็มีแต่ฮองเฮาเท่านั้น
นอกจากรอยแผลที่มีปรากฏให้เห็น เส้นทางที่เด็กน้อยวิ่งจากมาก็เป็เส้นทางที่มุ่งตรงมาจากตำหนักเฟิ่งอี้อีกทั้ง ปากยังกู่ร้องว่า ‘เสด็จย่า’ ไม่ว่าใครก็ตามที่ฉลาดหน่อยเพียงชั่วครู่ก็น่าจะพอเข้าใจได้แล้ว มิคาดฮองเฮาจะสามารถลงมือรุนแรงเพียงนี้กับหลานสาวที่เพิ่งจะกลับมาอยู่ข้างกายตนทว่า มิใช่ว่าฮองเฮาดีต่อโอรสธิดาขององค์ชายห้ามากหรอกหรือ? ไม่ว่าจะเป็ของอร่อยอันใดก็ล้วนนึกถึงจวิ้นจู่น้อยและซื่อจื่อน้อยในจวนองค์ชายห้า
ตอนนี้เมื่อพิศแล้ว หลานแท้ๆ ยังมิอาจสู้หลานสาวหลานชายในนามได้
สิ่งที่เกิดขึ้นพาลพาให้คนไม่น้อยรู้สึกว่า หวานหว่านน่าสงสารยิ่ง
ขณะเดียวกันพระสนมที่เห็นหวานหว่านวิ่งหนีออกมากับตาตนต่างก็พากันกระซิบกระซาบ
“พวกเ้าไม่รู้หรือไร วันนั้นที่หนิงชินอ๋องเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงก็ได้พาพระชายาและจวิ้นจู่น้อยไปถวายบังคมฮองเฮาที่ตำหนักแต่พระนางกลับให้หมัวมัวออกมาแจ้งว่า ทรงประชวรอยู่ ไม่ให้เข้าพบ...เ้าว่า จริงหรือไม่ที่สิบปีมานี้ไม่ได้เจอพระโอรส ฮองเฮาผู้นี้ก็หาได้ระลึกถึงเลยสักครา”
“ก็นั่นนะสิ หากเป็ข้าที่ไม่ได้เจอธิดาตนสักสิบปี ตัวข้าต้องอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ถึงอย่างไรก็เป็เด็กที่ตั้งท้องมานับสิบเดือน ทั้งยังคลอดออกมาด้วยตัวเอง ไม่อาจไม่รักใคร่ได้หรอก”
“แต่ว่า ฮองเฮาดีต่อคนฝั่งองค์ชายห้าเป็อย่างมาก ข้าได้ยินมาว่า ทุกครั้งไม่ว่าพระนางจะมีของดีอันใดก็ล้วนให้คนส่งไปยังจวนองค์ชายเสมอทั้งยังชมชอบให้ชายาองค์ชายพาคนมาที่วังบ่อยๆ ข้าเคยเห็นฮองเฮาทรงอุ้มจวิ้นจู่น้อยทั้งยังทรงแย้มพระสรวลอย่างเบิกบานพระทัยยิ่ง”
“เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว โอวหมัวมัวข้างกายฮองเฮามาแล้ว”
หวานหว่านหันมองเซียงเอ๋อร์ โอวหมัวมัว และคนของตำหนักเฟิ่งอี้กลุ่มหนึ่งที่กำลังไล่ตามตนมาเื้ันางจึงวิ่งไปพลางร้องไห้ไปพลาง ขณะที่คนเ่าั้ ทั้งที่เห็นอยู่กับตาว่าไล่ตามจนจะถึงตัวหวานหว่านแล้วทว่าเพียงไม่นานกลับถูกทิ้งห่างอีกครั้ง
ขณะเดียวกันฮ่องเต้ที่กำลังเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรก็เหลือบเห็นอวี้เฟยยืนถือของกินรอตนอยู่ด้านนอกเขายิ้มพร้อมก้าวเข้าไปใกล้ แต่เมื่อกำลังคิดจะพูดอันใด ขันทีที่รีบร้อนเดินมากลับเอ่ยขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนขันทีรีบพูด “ทูลฝ่าา วันนี้ฮองเฮาเรียกจวิ้นจู่น้อยให้เข้าเฝ้า ทว่าเมื่อครู่นี้กระหม่อมเห็นจวิ้นจู่น้อยวิ่งร้องไห้ออกมาจากตำหนักเฟิ่งอี้มิหนำซ้ำคนยังร้องะโว่า เสด็จย่า อย่าตีข้า หวานหว่านกลัว”
เมื่ออวี้เฟยได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนทันที “เกิดเื่อันใดขึ้นฮองเฮาจะตีหวานหว่านทำไมกัน? ”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ ยังมีคนในวังเห็นอีกด้วยว่า บนข้อมือของจวิ้นจู่น้อยมีร่องรอยถูกกรีด”ขันทีทูลไปตามจริง
ฮ่องเต้เมื่อได้ทราบความก็ไม่พูดอะไร และทำเพียงเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักเฟิ่งอี้เื่เก่าก่อนที่ฮองเฮาไม่พอใจจวินเหยียนถือเป็เื่ที่หลายปีก่อนตัวเขาเองก็ได้เห็นมากับตาได้ยินมากับหูกระทั่งเื่ที่ครอบครัวของลูกกลับมาจากหานโจว และเป็นางที่ไม่แม้แต่จะให้คนเข้าพบเื่เหล่านี้เขาเองก็รู้
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ฮองเฮาจะรังเกียจลูกชายแท้ๆ ของตนได้ถึงขั้นนี้?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็ยิ่งเร็วขึ้น ขณะนั้นอวี้เฟยเองก็ยกถ้วยน้ำแกงที่ถืออยู่ในมือให้นางกำนัลก่อนจะเร่งเดินตามฮ่องเต้ไป คิ้วนางขมวดน้อยๆ ด้วยไม่รู้ว่า หนิงชินอ๋องคิดอันใดอยู่เหตุใดจึงยอมให้หวานหว่านเข้าวังมาโดยลำพัง
ฮ่องเต้และอวี้เฟยเร่งร้อนเดินไปตามทางจนกระทั่งถึงสวนดอกไม้ที่อยู่ระหว่างตำหนักทรงพระอักษรและตำหนักเฟิ่งอี้ก่อนจะบังเอิญได้เห็นหวานหว่านที่กำลังถูกคนมากมายวิ่งไล่ตาม ทว่า ในตอนที่หวานหว่านกำลังวิ่งอยู่นั้นโชคไม่ดีที่ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับซื่อจื่อน้อยขององค์ชายห้าที่วันนี้เข้าวังมาเที่ยวเล่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้