ไท่จื่อน้อยพยายามต่อสู้อีกเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ! เสด็จแม่ ท่านจะต้องสู้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนกำหมัด “วางใจเถิด เสด็จแม่จะต่อสู้เพื่อเกียรติและชื่อเสียงของแผ่นดิน!”
ทันทีที่พูดจบ เหนือศีรษะพลันมีนกกระจอกเทศสองตัวบินมาชนกันแล้วร่วงลงมาจากบนฟ้าพร้อมๆ กัน เป้าหมายก็คือบริเวณเหนือศีรษะของเฟิ่งเฉี่ยน
“พ่าง! พ่าง!”
ตุบ! ตุบ!
นกกระจอกเทศตกลงมา ศีรษะของนางเต็มไปด้วยขนนก!
ไท่จื่อน้อยและคนที่ติดตามมาด้านหลังล้วนตกตะลึง
“เสด็จ เสด็จแม่...”
ส่วนเฟิ่งเฉี่ยนนั้นมีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ บนหน้าผากของนางมีตัวอักษรคำว่า ซวย ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง!
เื่ที่เป็ไปได้น้อยเช่นนี้ยังมาเกิดขึ้นกับนาง เฟิ่งเฉี่ยนเชื่อในอานุภาพของเทพแห่งความโชคร้ายแล้ว
นางโน้มกายลงเพื่อหยิบซากนกกระจอกเทศสองตัวนั้นอย่างใจเย็นแล้วกล่าวว่า “นำพวกมันไปมอบให้กับห้องเครื่อง ให้พวกเขาปรุงด้วยพริกเกลือ รอข้ากลับมากินตอนค่ำ!”
ทุกคนต่างวิ่งวุ่น
นอกประตูวัง มีบุรุษในชุดยาวสีเขียว เขาจูงม้ารออยู่ด้วยบุคลิกสง่างามราวต้นไผ่ กลายเป็ทัศนียภาพที่ชวนมองภาพหนึ่ง
เฟิ่งเฉี่ยนจำเขาได้ปราดเดียว นางร้องะโเรียกเขา “พี่ใหญ่มู่!”
มู่ชิงเซียวหันกลับมามอง ดวงตาใสสะอาดของเขาสว่างไสวเมื่อเขายิ้มอบอุ่น “เฉียนเฉี่ยน เื่แมวเทพตัวปลอม หลิ่วต้าซือได้พูดกับข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเื่จะยุ่งยากซับซ้อนปานนี้”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวใจกระตุกเล็กน้อย นางถามหยั่งเชิง “หลิ่วต้าซือยังได้พูดเื่อื่นอีกหรือไม่”
มู่ชิงเซียวใคร่ครวญ “เขายังบอกอีกว่า วันนี้เ้าจะประลองกับซือคงเซิ่งเจี๋ย”
เฟิ่งเฉี่ยนถามหยั่งเชิงอีก “ยังมีเื่อื่นอีกหรือไม่”
ที่นาง้ารู้คือหลิ่วต้าซือได้บอกฐานะฮองเฮาของนางกับเขาหรือไม่
มู่ชิงเซียวครุ่นคิดจริงจังอีกครั้งแล้วส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว...หรือยังมีเื่อื่นอีก”
เฟิ่งเฉี่ยนลังเลใจเล็กน้อย ในที่สุดก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด ไม่สำคัญ”
ใช่แล้ว ไม่สำคัญ!
ไมตรีระหว่างนางและพี่ใหญ่มู่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับฐานะ ดังนั้น นางคิดว่าไม่สำคัญ
ระหว่างที่คนทั้งสองสนทนานั้น พลันได้ยินเสียงม้าร้องคำรามดังขึ้น ม้าของมู่ชิงเซียวไม่รู้เป็อะไรขึ้นมา พลันได้รับความตื่นตระหนกใ มันเงยหน้าขึ้นฟ้า ข้าหน้าทั้งสองชูขึ้นสูง แล้วพุ่งเข้าหาเฟิ่งเฉี่ยน!
ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ยังไม่ทันรอให้เฟิ่งเฉี่ยนได้สติ มู่ชิงเซียวพลันโถมกายเข้าหานาง--
“เฉียนเฉี่ยน ระวัง!”
ฝ่ามือใหญ่โตข้างหนึ่งโอบเอวคอดของนางแล้วผลักเบาๆ พลังลมปราณจากฝ่ามือนั้นผลักนางออกไปอีกข้างหนึ่ง ม้าเตลิดวิ่งสวนร่างของนางไป ทว่าแผ่นหลังของมู่ชิงเซียวกลับถูกเกือกม้าเตะเข้าอย่างจัง เขาถูกแรงกระแทกนั้นกระชากร่างจนล้มลงบนพื้น
เฟิ่งเฉี่ยนสะดุดออกไปสองก้าวแล้วยืนมั่นคง นางหันกลับไปมองด้วยความใ “พี่ใหญ่มู่ พี่ใหญ่มู่ ท่านไม่เป็ไรกระมัง”
นางวิ่งเข้าไปตรวจดูาแของมู่ชิงเซียว
“ข้าไม่เป็ไร” มู่ชิงเซียวส่ายหน้าและยืนขึ้นด้วยการประคับประคองของนาง เขาหันไปมองม้าของตนเองด้วยความประหลาดใจ “น่าแปลก ม้าของข้ามีนิสัยอ่อนโยนตลอดมา เหตุใดวันนี้จึงใกะทันหันได้”
เฟิ่งเฉี่ยนถอนใจ “จะต้องเป็เพราะข้าเป็สาเหตุแน่ๆ!”
นางแบมือพูดว่า “พี่ใหญ่มู่ วันนี้ข้ามียันต์เทพเ้าแห่งความโชคร้ายติดตัว ซวยซ้ำซวยซ้อน ทางที่ดีที่สุดท่านอยู่ให้ห่างข้า หาไม่แล้วข้าจะทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย”
“ถึงกับมีเื่เช่นนี้” มู่ชิงเซียวกลับมีสีหน้าจริงจัง เขามองนางแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้ายิ่งไปจากเ้าไม่ได้ อย่างน้อยๆ ข้าควรช่วยรับเคราะห์แทนเ้า!”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน บนโลกนี้ยังมีคนโง่เขลาเช่นนี้อีกหรือ
มู่ชิงเซียวยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเขาสว่างไสวเจิดจ้า “ข้าเคยพูดไว้ ข้าจะปกป้องเ้าเอง! ตอนนี้เ้าพบเื่ยุ่งยาก ข้าจะทอดทิ้งเ้าไม่ดูไม่แลได้อย่างไร”
หัวใจของเฟิ่งเฉี่ยนพลันอุ่นซ่าน ถูกความจริงใจของเขาทำให้ตื้นตันใจ
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเฟิ่งเฉี่ยน เขาจูงม้ากลับมาหยุดเบื้องหน้านาง เขายื่นมือให้นางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ไป ขึ้นม้า! ข้าจะพาเ้าไปชุมนุมเดินหมาก!”
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกแสบจมูก นางสูดจมูกแล้วยิ้มอย่างเบิกบานใจพร้อมกับวางมือของตนลงบนฝ่ามือของเขา
สองคน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลังบนหลังม้าตัวเดียวกัน พุ่งทะยานไปบนถนนกระเบื้องสีเขียวคราม
ยามลมพัด สายลมยามรุ่งอรุณให้ความรู้สึกหนาวเย็นทว่าเฟิ่งเฉี่ยนกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้เมื่อพบความยากลำบากมักจะเอาตัวรอดตัวใครตัวมัน มีคนเพียงส่วนน้อยที่โง่เขลา ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตรายกลับเลือกที่จะอยู่ข้างกายเพื่อเผชิญความยากลำบากด้วยกัน คนโง่เขลาเช่นนี้ นางจะต้องถนุถนอมเอาไว้ให้ดี!
“พี่ใหญ่มู่ ข้าจะต้องช่วยท่านหาสตรีที่ที่ดีสุดในใต้หล้า ให้แต่งเป็ภรรยาท่าน!”
มู่ชิงเซียวตะลึงเล็กน้อย เขาหลุบตาลงมองสตรีที่อยู่ด้านหน้า ในแววตานั้นละมุนละไมประดุจสายน้ำที่ไหลเอื่อย ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากแววตานั้นไม่อาจบรรยายเป็คำพูดได้
เขาแอบพูดกับตัวเองในใจเงียบๆ : สตรีที่ดีที่สุดในใต้หล้า ข้าหาพบแล้ว นางอยู่ที่นี่...
แต่น่าเสียดาย เฟิ่งเฉี่ยนไม่มีทางมองเห็นความรักอันลึกซึ้งในแววตาของเขาตลอดกาล!
หอสุราแห่งหนึ่งบนถนนเฉี่ยนหลง ณ หน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสอง หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีนั่งอยู่ที่นั่น คิ้วกระบี่ของบุรุษงดงามองอาจ ข้างเอวมีกระบี่ประจำกาย สตรีนั้นมีใบหน้าคิ้วคางงดงาม นางสวมผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า พวกเขาก็คือหลานเยว่หรูและพี่ชายของนาง หลินไห่เฟิง
“น้องสาว ใบหน้าของเ้ายังไม่หายดีอีกหรือ” หลินไห่เฟิงถามด้วยความเอาใจใส่
หลานเยว่หรูจัดผ้าโปร่งบนใบหน้า “หลังจากใช้ขี้ผึ้งหิมะแล้วดีขึ้นมาก แต่เพื่อไม่ให้ผู้คนพบเห็น ยังต้องปกปิดใบหน้าจะเป็การดีกว่า!”
หลินไห่เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา “ขี้ผึ้งหิมะเป็สมุนไพรเทพชั้นยอดที่ทำให้ผิวพรรณงดงาม ทุกๆ หยวนมีมูลค่านับพันตำลึงทอง มีเพียงครอบครัวพ่อค้าวาณิชย์ที่มั่งมีเช่นสกุลหลานเท่านั้นที่จะมีเงินซื้อได้!”
ดวงตาเ็าของหลานเยว่หรูปรากฏให้เห็นความภาคภูมิใจ “ขี้ผึ้งหิมะเป็สิ่งของบรรณาการของฮ่องเต้ มีเพียงเหนียงเหนียงและองค์หญิงในวังหลวงจึงจะมีสิทธิ์ใช้ คนธรรมดาทั่วไปแม้จะมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะหาซื้อได้ ยังดีที่บิดาของข้าเดินทางไปทำการค้าในเมืองหลวงเป็เวลาติดต่อกันหลายปี ได้สานสัมพันธ์อันดีกับเชื้อพระวงศ์ของที่นั่น จึงมีลู่ทางหาขี้ผึ้งหิมะมาได้ขวดหนึ่ง”
นางมักจะมีความสุขจากสิ่งของที่ใช้เงินทองหาซื้อมา ดังนั้นนางจึงรับไม่ได้เมื่อมีคนมาจี้ใจดำถึงเื่นี้
ดวงตาของนางพลันหม่นวูบลง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ทว่าความเ็ปที่ถูกทำลายโฉมนั้นสลักลึกไปถึงกระดูกและหัวใจ! แค้นนี้ ข้าจะต้องชำระ!”
สีหน้าของหลินไห่เฟิงเคร่งขรึมลงเช่นกัน ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง เขากำหมัดแน่น “เฟิงเฉี่ยนผู้นี้ ช่างเป็มหันตภัยร้าย! ทำให้ข้าต้องสูญเสียตำแหน่งขุนนางไปไม่ว่า ยังเกือบจะทำให้น้องสาวต้องเสียโฉม หากให้ข้าพบนางอีก นางต้องเจอดีแน่นอน!”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าของน้องสาวเปลี่ยนไป สายตาดูเหมือนถูกสิ่งใดดึงดูดเอาไว้ ชั่วขณะนั้นเขาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “น้องสาว เ้าดูอะไรอยู่”
ปลายจมูกของหลานเยว่หรูสั่นเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปด้านล่างและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เฟิง เฉี่ยน!”
หลินไห่เฟิงหันกลับมามองตามสายตาของนาง เห็นเพียงม้าตัวหนึ่งกำลังวิ่งผ่านถนนด้านล่าง เมื่อมาถึงบริเวณที่แออัดไปด้วยผู้คนจึงผ่อนจังหวะการควบม้าให้ช้าลง ทว่าที่ดึงดูดความสนใจของเขาทั้งหมดคือหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีบนหลังม้า สตรีที่อยู่ในอาภรณ์สีเขียวปลิวไสวนั้นมิใช่ใครอื่น นางก็คือเฟิงเฉี่ยนที่ทำร้ายจนเขาต้องสูญเสียตำแหน่งขุนนาง!
ดวงตาทั้งคู่ราวกับพ่นเปลวไฟออกมาได้ในชั่วพริบตา เขากำหมัดแน่น “เป็นาง!”
กลางถนน มู่ชิงเซียวจับสายบังเหียนผ่อนจังหวะให้ม้าเดินช้าลง เพื่อป้องกันมิให้ชนเข้ากับผู้คนที่สัญจรไปมา
เฟิ่งเฉี่ยนนั่งอยู่ด้านหน้าเขา มองผู้คนรอบด้าน นางััได้ถึงลางไม่ดีชนิดหนึ่ง