ไอลี่สะพายกระเป๋าสีน้ำนม ทั้งตัวของเธอสวมชุดคอลเล็คชั่นฤดูใบไม้ร่วงของ Gucci ช่างดูไม่เข้ากันกับฝุ่นควันที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศที่นี่เอาเสียเลย
เธอยืนอยู่หน้าประตูมาสักพักแล้วฉินเป่าเจียทำงานเป็ดีไซเนอร์ของฝูหม่านโหลวเื่ช่วยแนะนำงานให้กับแฟนเก่าของหลี่อันผิงจะไม่ขอพูดถึง แต่ดันมาแนะนำให้กับคู่แข่งตลอดกาลของฝูหม่านโหลวอย่างหลิ่วชื่อนี่มันเหมือนกับตบหน้าเธอกลางสาธารณชนชัดๆ!
หากเธอยอมเื่พวกนี้ได้ก็อย่าเรียกเธอด้วยสกุลไออีกเลย!
เมื่อเห็นไอลี่กับหลี่อันผิงเดินเข้ามาเป่าเจียก็ไม่ได้ดูมีท่าทีสับสนใดๆ เพียงแต่กังวลเื่หลินลั่วหรานอยู่เท่านั้น
หลินลั่วหรานเองแค่ได้ยินเสียงก็รู้ได้แล้วว่าเป็เสียงแฟนสาวคนใหม่ของหลี่อันผิง และก็เดาได้ว่าหลี่อันผิงเองก็คงจะมาด้วยโลกกลมจนเลี่ยงไม่ได้เสียจริง เมื่อเธอเห็นความกังวลที่ฉายชัดในแววตาของเป่าเจียเธอจึงส่งยิ้มให้เพื่อนรักของตัวเอง เป็การบอกโดยนัยว่าเธอสามารถรับมือกับมันได้
หลิ่วเจิงดันแว่นบนสันจมูกของตัวเองก่อนจะเป็ผู้เริ่มบทสนทนา “คุณไอพูดมาแบบนี้ผมฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลยนะครับ ทำธุรกิจก็ต้องมีการแข่งขันนั่นก็จริงแต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็ศัตรูกันไม่ใช่เหรอครับ?”
ไม่มีรอยยิ้มใดๆ บนใบหน้าของเธอไอลี่ก้าวขาที่สวมรองเท้าส้นสูงของเธออย่างฉับไวโดยไม่สนหลิ่วเจิงและตรงไปหาเป่าเจีย ก่อนจะพูดจาถากถางออกมา “ฉินเป่าเจียอยากจะอธิบายอะไรสักหน่อยไหม?”
หลี่อันผิงเองก็เปิดปากออกมา “เป่าเจีย ที่ฉันเข้าไปทำงานในฝูหม่านโหลวได้ก็ต้องขอบคุณการแนะนำของเธอพวกเราไม่ควรที่จะทำแบบนี้เพียงเพราะเื่ส่วนตัวนะ...เมื่อก่อนพ่อกับแม่ของหลินลั่วหรานเองก็ดีกับฉันมากฉันช่วยแนะนำงานให้เธอก็ได้นะ”
เป่าเจียโบกมือปัดอย่างไม่สนใจ “หลี่อันผิงเกาะคนอื่นกินแบบนี้ ระวังจะเข้าสังคมกับใครไม่ได้เอานะการแนะนำนายให้กับฝูหม่านโหลว เป็เื่ที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของฉันเลย!”
หลี่อันผิงหน้าเสียไปก่อนจะหันไปเห็นคนที่เอาแต่ยืนหันหลังให้ เพียงมองจากข้างหลังเขาก็ดูออกแล้วว่านั่นคือหลินลั่วหราน จึงพูดออกมาด้วยความโมโห “หลินลั่วหรานเธอจะหันหลังให้พวกเราแบบนี้ตลอดเหรอ? นี่เธอมีมารยาทบ้างหรือเปล่า?”
ผู้ชายที่ไม่มีความสุภาพบุรุษแบบนี้แม้แต่หลิ่วเจิงที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ยังต้องขมวดคิ้ว
เป่าเจียที่ใกล้จะะเิความโมโหเต็มทีโดนหลินลั่วหรานจับมือเอาไว้เสียก่อน เธอยิ้มก่อนจะพูดออกมา “คุณหลิ่วต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ต้องมาเจอเื่น่าขันแบบนี้”
เป็เพราะเธอกินผลไม้ประหลาดนั่นเข้าไปไม่เพียงแต่ร่างกายที่รู้สึกโล่งสบายแต่เธอยังคงมักจะรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งอยู่เสมอ ในหัวของเธอสงบนิ่งแม้จะมีปัญหามากมายผ่านเข้ามาให้คิด หากไม่ได้กินผลไม้นั่นเข้าไป แล้วต้องมาพบกับหลี่อันผิงในสถานการณ์แบบนี้เธอคงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
แต่ตอนนี้หลินลั่วหรานที่หันตัวมาเผชิญหน้ากับหลี่อันผิงกลับไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา
หลี่อันผิงอึ้งไปชั่วครู่ คนตรงหน้าของเขาดูเหมือนหลินลั่วหรานในวัยสิบเจ็ดไม่มีผิดเพี้ยนความสดใสจากดวงตากลมโตทำให้หัวใจเต้นรัวโดยไม่มีสาเหตุมันดูประกายแวววาวราวกับดวงดาวในท้องจักรวาล
อยากจะเอื้อมมือไปััดวงดาว...ตอนนั้นพวกเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าของโรงเรียนหลี่อันผิงลูบไล้ไปตามเปลือกตาของเธอ ก่อนจะบอกว่าเขาอยากจะััดวงดาวดวงนี้
หลี่อันผิงนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าในตอนนี้หลินลั่วหรานพูดอะไรกลับมา
แต่ในเวลานี้หลินลั่วหรานนั้นดูสดใสยิ่งกว่าสมัยก่อนเสียอีก...เขาจำมันได้ชัดเจนลักษณะผอมซีดของเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็จำมันได้ชัดเช่นกัน ปีนี้เธอก็อายุตั้งยี่สิบเจ็ดแล้วทำไมอยู่ๆ ก็ดูเด็กลงได้ขนาดนี้?
“หลี่อันผิง เจอแฟนเก่าเข้าหน่อยถึงกับเดินไม่ตรงทางเลยเหรอ?”
ในระหว่างที่หลี่อันผิงกำลังสติหลุดอยู่นั้นเสียงของไอลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็เรียกสติของเขาขึ้นมาได้
ใช่แล้ว สวยขึ้นแล้วจะยังไงกัน? บนโลกนี้มีผู้หญิงสวยๆอยู่ถมไป แต่ทั้งสวยทั้งรวย ตระกูลดีแบบไอลี่ ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ เสียหน่อย! หลี่อันผิงปลอบใจตัวเองก่อนจะพยายามไม่สนใจความประหลาดหลังจากได้พบกับหลินลั่วหรานอีกครั้งและนึกถึงความประหม่าเวลานึกถึงไอลี่ที่ยังเป็ “สาวสวย” อยู่
“เป่าเจียเื่งานก็คุยกันเรียบร้อยแล้ว พวกเรากลับกันก่อนดีไหม?” หลินลั่วหรานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
แม้จะชัดเจนอยู่ว่าเธอเห็นพวกเขาแล้วแต่ก็ยังทำเป็ไม่เห็น หลินลั่วหรานในตอนนี้ช่างดูน่ารังเกียจเสียจริง! หลี่อันผิงได้แต่หงุดหงิดอยู่ภายในใจจะพูดอะไรก็เกรงใจความรู้สึกขอไอลี่
เป่าเจียอยากจะรีบๆไปให้พ้นหน้าชายหญิงคู่นี้ใจจะขาดจึงตอบกลับคำแนะนำของหลินลั่วหรานด้วยความรื่นรมย์
“คุณหลิ่ว ไว้คุยกันนะ!” เธอพูดพร้อมกับลากหลินลั่วหรานให้ตามออกมา
เมื่อถูกเมินโดยสิ้นเชิงแบบนี้ ทำเอาไอลี่โมโหจนแทบจะะเิท่าทางใจดีที่คอยแสร้งทำจึงถูกฉีกออกจนไม่เหลือซาก เธอพูดออกมาเสียงดังแสบหู “ฉินเป่าเจียอย่าให้มันมากนักนะ ยังอยากจะมีงานทำอยู่ไหม?!”
หลินลั่วหรานลังเลขึ้นมา ที่ไอลี่พูดมาก็ถูกยังไงเป่าเจียก็ยังต้องทำงานที่ฝูหม่านโหลว หากเป็แบบนี้ต่อไปเธอจะไม่ต้องลำบากเหรอ? ความร่ำรวยของฝูหม่านโลวแน่นอนว่าจะสามารถทำลายใครก็ได้ทั้งนั้น
เป่าเจียบีบมือของเธอ ก่อนหมุนตัวกลับมาหันไปมองทางไอลี่แล้วยกยิ้มขึ้น “ผู้จัดการไอคะ ฉันส่งหนังสือลาออกไปตั้งนานแล้วนะคะไม่ทราบว่าคุณไม่เห็นเหรอคะ?”
หลังจากพูดเสร็จเธอไม่ให้เวลาไอลี่กับหลี่อันผิงตอบกลับอะไรทั้งนั้นเธอแสดงท่าทางที่ทำให้ไอลี่โมโหอย่างสุดขีดขึ้นมาได้ในทันที “เกือบลืมไปเลยผู้จัดการไอคงกำลังยุ่งอยู่กับการพลอดรักกับเ้าไก่อ่อนในกำมือสินะจะไปมีเวลาดูหนังสือลาออกของฉันได้ยังไงกัน ว้า!”
สีหน้าของไอลี่เปลี่ยนเป็นิ่งเฉยในพริบตามือของเธอกำสายกระเป๋าสะพายเอาไว้แน่นจนนิ้วมือเปลี่ยนเป็สีซีด
ใบหน้าของหลี่อันผิงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ในขณะเดียวกันภายใต้แว่นตากรอบทองของหลิ่วเจิงนั้นกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ทั้งสองคนเดินออกมาจากโกดัง อยู่ๆหลินลั่วหรานก็รู้สึกขึ้นมาว่า พอไม่มีหลี่อันผิงในชีวิต อะไรๆ ในชีวิตก็ดีขึ้นผู้ชายแบบนี้คงต้องโทษตัวเองที่โดนหลอกมาได้ตั้งนานเดิมทีผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรดีอยู่แล้วแท้ๆมองออกั้แ่ตอนนี้ก็นับว่าเป็โชคดีแล้ว
เป่าเจียถอนหายใจออกมาก่อนที่ใบหน้าจะประดับไปด้วยรอยยิ้มเธอชี้ไปที่กลุ่มคนที่กำลังแข่งราคากันเสียงดัง และพูดขึ้น “ต่อไปงานของเธอก็คือขายอัญมณีเราลองไปดูเขาประมูลกัน ให้เธอได้เรียนรู้เอาไว้ก็ดีนะ”
ความจริงหลินลั่วหรานรู้สึกประหลาดใจมากแต่เมื่อได้ฟังดูคำพูดของเป่าเจียเองก็มีเหตุผล ถ้าเธอจะต้องไปขายอัญมณีจริงๆหากไม่มีความรู้เกี่ยวกับหยกที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้คงจะไม่ได้
“แปดแสน ก้อนนี้ฉันเอาแล้ว!”
เพียงแค่เดินเข้ามาใกล้เธอก็ได้พบกับผู้ชายร่างอวบคนหนึ่งกำลังขานราคา ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจสร้อยทองเส้นเกือบเท่านิ้วก้อยของผู้หญิงประกายกระทบแสงอยู่บนคอของเขาทำเอาคนมองตาพร่ามัว
ได้ยินก็เคยได้ยินมาแต่เมื่อเห็นว่ามีคนยอมจ่ายเงินกว่าแปดแสนเพื่อก้อนหินที่ไม่รู้ว่าจะมีหยกอยู่ด้านในหรือไม่แบบนี้ก็ทำให้หลินลั่วหรานรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้างของเธอชีวิตของชาวบ้านคนหนึ่งกับเื่แบบนี้ ช่างห่างไกลกันเสียจริง!
“เสี่ยซุยแค่แปดแสนยังจะกล้าพูดโอ่ ฉันให้เก้าแสน!” บุคคลที่เปิดปากแย่งชิงกันกับบุรุษตัวอ้วนสวมสร้อยทองเส้นโตก็คือหญิงวัยสี่สิบต้นๆ รูปร่างอวบอ้วน ผิวคล้ำ แต่กลับให้ราคากว่าเก้าแสน
เสี่ยซุยโมโหจนไขมันบนใบหน้าสั่นะเืเห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธ ทุกๆ คนต่างพากันแข็งทื่อ โดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ก่อนจะข่มฟันพูดออกมา “เก้าแสนห้า!”
ผู้คนโดยรอบต่างพากันยิ้มออกมาแต่ไม่เปิดปากพูดอะไร รอให้ทั้งสองแข่งราคากันต่อไป
สุดท้ายหญิงอวบผิวคล้ำ ไม่แม้แต่จะกะพริบตาก็เอ่ยราคาสูงอย่าง “หนึ่งล้าน” ออกมาและมันทำให้แม้แต่หัวหน้าขายหินแร่ที่ยืนอยู่ข้างรถบรรทุกยังต้องเผยรอยยิ้มออกมา
ในที่สุดหลินลั่วหรานก็เริ่มมองออกก่อนจะหันไปเห็นว่าเป่าเจียเองก็พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ จึงค่อยๆ เอ่ยถาม “สองคนนี้เป็ใครเหรอ?”
เป่าเจียส่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะกดเสียงลงต่ำ “เป็สามี-ภรรยากันทั้งสองครอบครัวทำธุรกิจหยกเหมือนกันทางฝั่งคุณนายซุยก็เหลือลูกสาวสืบทอดเพียงคนเดียว ทุกครั้งที่สองสามีภรรยามาที่นี่เวลาโต้เถียงกันดูเหมือนงิ้วเลย ใครๆในวงการนี้ต่างก็รู้กันทั่ว...ถ้าหินก้อนไหนที่เสี่ยซุยอยากได้คุณนายจะต้องมาแย่งทุกครั้ง”
หลินลั่วหรานยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ในโลกใบใหญ่นี้ ยังมีเื่แปลกๆ อีกมากสินะ
เมื่อมองไปยังคู่สามี-ภรรยาที่ยังคงแข่งราคากันอยู่ความคิดบางอย่างก็เข้ามาในหัว ในนิยายมักว่ากันว่าหยกมีพลังวิเศษถ้าตัวเราสามารถมองเห็นพลังของพืชต่างๆ ได้ แล้วถ้าเป็หยกล่ะ?
หัวใจของเธอเต้นระรัวเมื่อความคิดนี้โลดแล่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
หลินลั่วหรานค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะตั้งใจมองจดจ่อไปยังก้อนหินแร่ที่สองสามีภรรยากำลังแย่งชิงกันอยู่ในทันที...