“ไปสิ! ไปสิ!” โหยวอวี่เวยะโขึ้นมาเป็คนแรก
หุบเขา? เป็หุบเขาที่สกุลหูสร้างคฤหาสน์ขึ้นหรือ? หลิวผิงเคยรายงานในจดหมาย บอกว่าสกุลหูอยากยืมชื่อเสียงของฝูอันถังไปใช้สร้างบ้านพัก [1] ขึ้น หลิวผิงเลยรับปากอนุญาตไป
“อื้ม อยู่ตรงไหนล่ะ?”
กู้ฉีค่อนข้างสนใจ เขาอยากทราบเจตนาที่สกุลหูสร้างบ้านพักขึ้นอย่างมาก
“ตรงท้ายหมู่บ้านที่อยู่ฝั่งใต้ ได้สร้างถนนขึ้นมาหนึ่งเส้น ครึ่งชั่วยามรถม้าก็ไปถึงได้แล้ว แต่ตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อไปถึงแล้วก็ทำได้เพียงเยี่ยมชมเท่านั้น ตอนนี้ที่นั่นแม้แต่โต๊ะหรือเก้าอี้ก็ไม่มีเลยสักชิ้นนะ” เจินจูยิ้มแล้วชี้ไปที่ไกลออกไป นางเองก็ไม่ได้ไปนานแล้วเช่นกัน ถือโอกาสที่อากาศดีและก่อนเข้าสู่หน้าหนาวควรไปตรวจดูสักรอบ
“ไม่เป็ไร น้องสาวเจินจู พาข้าไปดูสักหน่อย ข้าอยากไป” บนใบหน้าโหยวอวี่เวยปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้น นางออกจากบ้านมาครั้งนี้เจินจูพานางขึ้นูเาจับปลา เก็บดอกไม้ชมทิวทัศน์ ได้เรียนรู้อะไรที่นางไม่เคยััมากมาย นางชื่นชอบที่จะมาเล่นสนุกกับเจินจูมากจากใจจริง
เจินจูชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง นี่เป็คุณหนูที่ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกล ไม่เคยพบหมู่บ้านท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติป่าเขา ไปที่ใดก็เหมือนได้ไปท่องเที่ยวหุงหาอาหารกลางแจ้ง รู้สึกตื่นเต้นจนเหลือคณนาจริงๆ
กู้ฉีคิดเล็กน้อยและพยักหน้าตอบรับไปด้วย
ในเมื่อสองคนล้วนเห็นด้วยก็ต้องเตรียมตัวสักหน่อยแล้วกัน
ผิงอันหยุดวันทำความสะอาดโรงเรียนย่อมติดตามไปด้วยอย่างแน่นอน
เมื่อเฉินเผิงเฟยเข้าไปในูเา เจินจูจึงให้ผิงอันไปตามอาชิงมาช่วยขับเกวียน
ผ่านไปหนึ่งเค่อ รถม้าสองเกวียนเคลื่อนไปยังูเาด้านหลังจากบ้านสกุลหูช้าๆ
ถนนอิฐสีฟ้าสร้างจากทางเข้าหมู่บ้านมุ่งตรงไปถึงท้ายหมู่บ้าน ผิวถนนราบเรียบเสมอกัน ได้รับการสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียงจากชาวบ้าน สกุลหูสร้างเื่ที่ดีให้แก่หมู่บ้านจริงๆ
ถนนอิฐสีฟ้ากว้างขวางสร้างยาวไปตามทางเดินกลางูเา รถม้าสองเกวียนไล่เรียงกันไปเรื่อยๆ ตามอำเภอใจ
ถนนแผ่นอิฐสีฟ้าอันกว้างใหญ่แสนประณีต ทำให้ชาวบ้านที่พากันมาชมอยู่ตลอดอดทึ่งไม่หยุด สกุลหูกระทำการยิ่งใหญ่จริงๆ ถนนแผ่อิฐสีฟ้าหนึ่งเส้นยาวไกลเพียงนี้ ต้องจ่ายเงินไปมากมายเท่าไรกันจึงจะสร้างออกมาเสร็จเรียบร้อยได้
กู้ฉีนั่งอยู่ในรถม้า รถม้าวิ่งเรียบนิ่งไม่โคลงเคลงแม้แต่น้อย หน้าต่างเกวียนเปิดออกกว้าง ลมช่วยพัดพากลิ่นอายของป่าลึกโชยเข้ามาภายในรถม้า
ผิงอันและอาชิงนั่งอยู่ขอบหน้าเกวียน กำลังพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่อาชิง อีกเดี๋ยวให้ข้าลองขับรถม้าเถอะนะ”
“ไม่ได้ เ้าเพิ่งเรียนรู้การขี่ม้าได้ หากอยากเรียนรู้การขับเกวียนยังเร็วเกินไป” อาชิงส่ายหน้า “พี่เจินจูกล่าวแล้ว ให้ข้าขับรถม้าอย่างระมัดระวังหน่อย หากทำให้คุณชายกู้ตื่นใคงไม่ดีแน่”
“ก็ได้ เช่นนั้นกลับไปท่านให้ข้าขี่ม้าจุยเฟิงหน่อยเถอะนะ” ผิงอันยิ้มให้อาชิงอย่างเอาใจ
“อื้มๆ กลับไปยังพอมีเวลา เ้าก็ขี่เล่นในลานบ้านแล้วกัน” อาชิงรับปากอย่างใจกว้าง
จุยเฟิงกับช่านเตี้ยนเป็ม้าป่าสองตัวที่ฟางเสิงฝึกไว้ แม้ไม่นับว่าเป็ม้าดียอดเยี่ยม แต่สำหรับอาชิงและผิงอันนับเป็ม้าที่ดียิ่งแล้ว
พวกเขานำทางอยู่ด้านหน้า โหยวซานขับรถม้าตามอยู่ด้านหลัง ด้านข้างถนนสองฝั่งตัดแต่งพื้นที่ว่างออกไปประมาณสิบหลา ดินและหินจำนวนมากเรียงซ้อนกันเป็แนวราบเรียบ คิดไปแล้วคงเป็การเว้นระยะออกไปเพื่อป้องกันต้นไม้ต้นหญ้าเจริญงอกงามขึ้นรก และเป็ที่หลบซ่อนของงูพิษและสัตว์ดุร้าย
โหยวซานมองด้วยความแปลกใหม่อย่างมาก เ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยของหมู่บ้านชนบทเล็กๆ จ่ายเงินได้ค่อนข้างใจกว้างนัก ในป่าเขาที่ห่างไกลความเจริญเพียงนี้ยังสร้างเส้นทางถนนในูเาขึ้นมาอย่างพิถีพิถันอีก
โหยวอวี่เวยเป็ผู้ที่เบิกบานมากที่สุดภายในรถ ถามนั่นนี่ไม่หยุดตลอดเส้นทาง
“น้องสาวเจินจู ถนนอิฐสีฟ้านี้เป็บ้านเ้าสร้างขึ้นหรือ?”
“น้องสาวเจินจู ในหุบเขามีสัตว์ป่าไหม?”
“น้องสาวเจินจู พอคฤหาสน์ที่พักสร้างเสร็จ ครอบครัวเ้าจะไปอยู่ที่นั่นหรือไม่?”
“น้องสาวเจินจู เหตุใดครอบครัวพวกเ้าถึงอยากสร้างที่พักอีกแห่งในหุบเขาล่ะ ไม่กลัวความห่างไกลและเปลี่ยวไปหน่อยหรือ?”
“น้องสาวเจินจู…”
หนังตาของเมอเมอหวังที่หลุบลงกระตุกเล็กน้อย คุณหนูของพวกนาง… บางครั้ง… ก็มีคำพูดมากมายจริงๆ
แต่เจินจูกลับไม่ได้รู้สึกแย่ เพียงยิ้มและตอบทีละคำถาม
อาจเป็เพราะดูแลซิ่วจูจนชิน สำหรับท่าทางที่เหมือนเด็กน้อยของโหยวอวี่เวยเช่นนี้ นางยังพอมีความอดทนอยู่บ้าง
รถม้าหยุดอยู่หน้ากำแพงลานที่สูงตระหง่าน กู้ฉีกับโหยวอวี่เวยต่างตะลึงงันเล็กน้อย นี่เป็กำแพงลานของคฤหาสน์ที่พัก เหตุใดเหมือนกันกับกำแพงเมืองก็ไม่ปานได้
แค่คฤหาสน์ที่พักแห่งหนึ่งแต่สร้างได้เหมือนกับกำแพงเมือง เอาจริงเอาจังเกินไปแล้วกระมัง?
โหยวซานมองประตูไม้สนแดงที่หนาและหนักบานนั้น จุ๊ๆ ไม่แย่ไปกว่าประตูเมืองไท่ผิงสองบานนั้นเลย
หลิ่วฉางผิงกำลังนำชาวบ้านสิบกว่าคนมาปูพื้นถนนอยู่ด้านใน พอเห็นแขกมาจึงรีบเปิดประตูลานต้อนรับพวกเขาเข้าไปทันที
สิ่งปลูกสร้างสีเทายังไม่ทันได้ทาสี ขับให้กระเบื้องสีดำเหลือบน้ำเงินเข้มโดดเด่นขึ้นมา ทั้งคฤหาสน์ราวกับเป็ภาพวาดสีดำขาวเทาที่วาดด้วยน้ำหมึกมีเสน่ห์เฉพาะตัว
“น้องสาวเจินจู คฤหาสน์ที่พักครอบครัวเ้าใหญ่ยิ่งนัก” เมอเมอหวังจับแขนของโหยวอวี่เวยเพื่อพยุงลงจากรถม้า
จื่อยู่ไม่ได้ตามมาด้วย โหยวอวี่เวยให้นางรออยู่บ้านสกุลหู
“ฮ่าๆ ไม่เท่าไรหรอก ปีหน้าพอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ตรงที่ว่างตรงนั้นจะปลูกไม้ผลหรือไม้ประดับที่เหมาะสมลงไปจะได้ไม่ดูกว้างโล่งเกินไปนัก” นางชี้ไปบริเวณที่ว่างผืนใหญ่ด้านหลัง
“ดีเลยๆ ปลูกซีฝูไห่ถัง [2] หรือหงสวีจูซาเหมย [3] สิ ข้าจะส่งกิ่งมาให้เ้าจากเมืองหลวง ในสวนบ้านข้าก็มีปลูกอยู่ด้วย” โหยวอวี่เวยจับมือของเจินจูไว้อย่างฮึกเหิม ราวกับนางเป็เ้าของคฤหาสน์ที่พักแห่งนี้
เจินจูยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร นี่ต้องหารือกับผู้าุโหลิงก่อนถึงจะสามารถตัดสินใจได้... เจินจูดึงนางเข้าไปยังด้านในช้าๆ
“ท่านพี่ ข้ากับพี่อาชิงจะไปหุบเขาด้านนั้น จับกวางกลับไปสักตัวได้หรือไม่?” ผิงอันดวงตาเป็ประกาย หุบเขาด้านนั้นล้วนเป็พื้นที่ของสัตว์ชนิดกินพืชทั้งสิ้น
เจินจูชะงักไปเล็กน้อย ความสามารถของอาชิงกับผิงอันไม่เลว ไปจับกวางหรือแพะสักตัวยังพอได้ แต่สัตว์ดุร้ายกับงูพิษก็เยอะเช่นกัน
“พี่เจินจู ท่านให้พวกข้าไปเถอะ ท่านอาจารย์ข้าบอกแล้วว่าต้องเอากวางป่ากลับไปให้เขาหนึ่งตัว นี่เป็ภารกิจต้องทำให้สำเร็จให้ได้” อาชิงหันไปยิ้มให้นางอย่างเอาใจ
“…” ฟางเสิงผู้นั้น คิดอยากจะทานกระมัง
“ได้ แต่พวกเ้าห้ามไปไกลเกินนะ ทางนั้นมีเสือกับเสือดาวต้องระมัดระวังตัวด้วย” เจินจูมองกลุ่มเขาที่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่ายามนี้เสี่ยวจินอยู่แห่งใด หากมีมันดูแลนางก็พอจะวางใจได้บ้าง
กู้ฉีและโหยวอวี่เวยที่อยู่ด้านข้างฟังจนขมวดคิ้วขึ้น อาชิงกับผิงอันท่าทางอายุสิบเอ็ดและสิบสองปีเท่านั้น เด็กสองคนจะวิ่งไปถึงที่อันตรายเพียงนั้นแต่เจินจูกลับยอมตกปากรับคำไป
ขณะที่กู้ฉีกำลังคิดจะห้ามปราม โหยวอวี่เวยก็แย่งกล่าวออกมาก่อน “น้องสาวเจินจู ในเมื่อด้านนั้นอันตรายมากให้องครักษ์ไปกับพวกเขาเถอะ เขาร้ายกาจอย่างมากเลยนะ เสือได้เห็นต่างก็ต้องหวาดกลัวกันทั้งสิ้น”
พรืด... เสือได้เห็นต่างก็ต้องหวาดกลัวกันทั้งสิ้น? เจินจูเกือบหลุดหัวเราะออกไป
โหยวซานหางตากระตุก คำกล่าวชมคนของคุณหนูตนช่างโดดเด่นจริงๆ
ก็ดีในเมื่อมีผู้ที่มีฝีมือสูงอยู่ด้วยก็ไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่าได้
โหยวซานตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่หนึ่งรอบ ไม่พบว่าในคฤหาสน์ที่พักมีอันตรายแฝงอยู่ จึงตามเด็กทั้งสองคนไปหุบเขาอีกด้านหนึ่ง
เมื่อเปิดประตูด้านข้างออก ทั้งสามคนก็เรียงกันออกไป พุ่มไม้เตี้ยและหญ้ารกข้างกำแพงล้วนถูกพวกหลิ่วฉางผิงขุดถางทำความสะอาดออกไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ภายในระยะห่างออกไปเกือบหนึ่งร้อยสิบหลาต่างก็ไม่มีอะไรปกคลุม เมื่อมองไปก็เห็นพื้นที่โล่งกว้างที่ไกลออกไปได้ชัดเจน
โหยวซานออกจากประตูมาก็ถูกหุบเขาผืนใหญ่ที่มีดอกไม้ต้นไม้งอกงามดึงดูดสายตาให้หยุดลง พื้นที่ลุ่มต่ำไกลออกไปเห็นกระแสน้ำไหลซู่ซ่ามีชีวิตชีวา เห็นฝูงกวาง ฝูงแกะ ฝูงวัวและสัตว์อื่นๆ กำลังแทะเล็มหญ้าบนพื้นที่ห่างกันเป็ระเบียบ
แน่นอนว่าสายตาของเขาก็ไม่พลาดสัตว์ดุร้ายแต่ละชนิดที่อยู่บริเวณโดยรอบและแฝงตัวอยู่เช่นกัน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเขาไปจับกวางป่าหรือแพะป่าคนเดียว เขาคงไม่จำเป็ต้องกังวลใจ แต่นี่เขายังต้องดูแลเด็กชายที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสองคนอีกนี่สิ
อาชิงกับผิงอันล้วนใบหน้าตื่นเต้น อาชิงวนเวียนอยู่ในหุบเขากับอาจารย์ฟางมาหนึ่งเดือน ทำให้คุ้นเคยกับสัตว์เหล่านี้มาก
ผิงอันเคยติดตามอาจารย์ฟางอยู่สองครั้ง เรียกได้ว่าไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเขาเท่าไร
เมื่อครู่เจินจูยังกระซิบอยู่ข้างหูของเขา ให้เขาดูบริเวณโดยรอบว่าเสี่ยวจินอยู่หรือไม่ เสี่ยวจินเป็ผู้ในหุบเขาแห่งนี้ เสือและเสือดาวต่างก็ไม่กล้าหาเื่มันทั้งสิ้น
“องครักษ์โหยวขอรับ ข้ากับผิงอันคุยกันแล้วว่าจะจับกวางป่าหนึ่งตัวด้านนี้ก่อน อีกสักพักค่อยไปจับแพะป่าฝั่งนั้น ส่วนฝูงวัวฝูงนั้นรูปร่างใหญ่เกินไป ดักไม่ง่ายนัก วันนี้เวลาไม่มากพอไม่จับวัวป่าแล้วกัน” อาชิงผูกเงื่อนดักกวางกับแพะด้วยเชือกเส้นใหญ่จาก่เอว นี่เป็วิธีที่อาจารย์สอนเขา ขอแค่คล้องดักคอของกวางหรือแพะด้วยทักษะแม่นยำ พวกมันก็วิ่งหนีไม่ได้แล้ว
โหยวซานมองไปยังสถานที่ที่อาชิงชี้ บริเวณนั้นไม่มีสัตว์ป่าลักษณะดุร้ายดักซุ่มอยู่ เขาจึงพยักหน้าตอบรับ
อาชิงกับผิงอันวิ่งไปยังทิศทางที่เลือกอย่างตื่นเต้นและรวดเร็วทันที
เด็กสองคนนี้ฝีมือไม่เลวเลยนี่ โหยวซานมองด้วยความลังเลเล็กน้อย เมื่อถูกทิ้งระยะไกลออกไปเขาจึงตามไปอย่างกระตือรือร้น
อาชิงกับผิงอันคุ้นเคยอย่างมาก หลบอยู่ด้านหลังพุ่มไม้เตี้ยแห่งหนึ่งด้วยการกระทำที่ระมัดระวังและเบาหวิว เมื่อเลือกกวางตัวผู้ที่ดูแล้วตัวใหญ่หนึ่งตัวได้ อาชิงเริ่มทำท่าเล็งบ่วงเชือก
ครั้นเห็นแววตาของเขาราวกับสายฟ้า บนมือขยับขึ้นอย่างว่องไวและเฉียบคม บ่วงเชือกลอยออกไป ชั่วพริบตาเดียวคล้องเข้าตรงคอของกวางตัวผู้ได้อย่างแม่นยำ
กวางตัวผู้ตื่นใอย่างมาก เริ่มขยับเท้าคิดจะวิ่งหนี อาชิงและผิงอันออกแรงดึงเชือกเส้นใหญ่ไว้แน่น แต่กวางตัวผู้ก็ดิ้นรนไม่หยุด สองฝ่ายยื้อยุดกันไปมาพักหนึ่ง สุดท้ายกวางตัวผู้ก็หมดลมหายใจและล้มลงไป อาชิงกับผิงอันจึงเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์
ฝูงกวางที่เหลือตื่นใทันที พร้อมใจกันวิ่งเตลิดออกไปไกล
อาชิงใช้เชือกเส้นใหญ่มัดกวางตัวผู้ไว้ และพวกเขาสองคนก็เริ่มออกเดินไปทางฝูงแพะอีกด้านหนึ่ง
ทำตามวิธีเช่นเดิม ไม่นานแพะป่าหนึ่งตัวก็จับได้สำเร็จ
โหยวซานตามอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากพวกเขาอย่างเงียบเชียบ มองสองคนที่ร่วมมือกันจับเหยื่อได้ เขายืนกอดอกมองอย่างสงบเงียบ เด็กชายที่้าเป็อิสระและพึ่งพาตนเองได้จำเป็ต้องขัดเกลาและฝึกให้มาก
ตอนที่เขาโตเท่าเด็กสองคนนี้ ได้ประสบกับความทุกข์ทรมานลำบากยากแค้นมามากมายกว่าพวกเขานัก
ทันใดนั้น สายตาอันเฉียบคมดั่งใบมีดของเขาก็สังเกตเห็นหมาไนสิบกว่าตัวค่อยๆ ย่างเข้าไปล้อมเด็กชายไว้อย่างว่องไว
เมื่อสักครู่โหยวซานก็สังเกตเห็นฝูงหมาไน แต่ตอนนั้นพวกมันห่างออกไปไกลมาก เขาเลยไม่ได้ให้ความสนใจพวกมัน
เขากวาดตามองสภาพบนพื้นดินบริเวณใกล้เคียงสองที อาจเป็เพราะเด็กสองคนจับแพะูเาได้ จึงทำให้ฝูงแพะใวิ่งเตลิดหนี ฝูงหมาไนเลยพาลโกรธและล้อมดักเด็กชายขึ้น
อาชิงกับผิงอันก็พบเข้ากับฝูงหมาไนเช่นกัน รูปร่างหมาไนเล็กแต่ลักษณะนิสัยดุร้าย การเคลื่อนไหวว่องไว กล้าหาญและเ้าเล่ห์ ฟางเสิงเคยเตือนอาชิงไว้แล้วว่าหากเห็นฝูงหมาไนให้เขาเลี่ยงไปสักหน่อย
ขณะนี้อาชิงหน้าถอดสี เริ่มลากผิงอันถอยหลังทันที คิดละทิ้งแพะูเาที่อยู่ใต้ขาไว้
ั์ตาโหยวซานปรากฏการชมเชยวาบหนึ่ง หยิบขึ้นมาและวางลงได้ [4] รู้จักประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
เขาชักดาบออกมาแล้วเดินไปด้านหน้าอย่างสงบนิ่ง ก็แค่ฝูงหมาไนสิบกว่าตัวเท่านั้นเอง
ผิงอันชำเลืองเห็นการกระทำในมือของโหยวซาน ดวงตาเป็ประกายฉับพลัน จึงชักดาบที่พกติดกายป้องกันตัวออกมาทันที กวัดแกว่งดาบในมือและตั้งท่าป้องกันการรุกรานออกไป
อาชิงชะงักงัน ทันใดนั้นก็ดึงดาบที่พกติดกายออกมา
โหยวซานเดินมาถึงด้านหน้าพวกเขาด้วยท่าทางหนักแน่นดั่งูเา ส่งผลให้บรรยากาศสงบมั่นคง
ฝูงหมาไนราวกับััได้ จึงไม่กล้าดาหน้าเข้ามา จนกระทั่งหมาในตัวหนึ่งรูปร่างค่อนข้างใหญ่ส่งเสียงขึ้น ฝูงหมาไนที่เหลือจึงเริ่มเคลื่อนไหว
หมาไนหนึ่งตัวข้างกายผิงอันะโพุ่งตรงมาทางเขา ั์ตาผิงอันแม้มีความร้อนรนเล็กน้อย แต่ดาบในมือกลับกำแน่น ขณะที่รอกวัดแกว่งดาบป้องกันตัว จู่ๆ ด้านข้างก็ปรากฏประกายวาวขึ้นหนึ่งสาย หัวของหมาไนถูกแทงทะลุหนึ่งดาบ
ดาบถูกชักออกในทันที ก่อให้เกิดกลิ่นคาวเืขึ้น
“ระวัง!” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอยู่ข้างหู
ท่วงท่าของโหยวซานฉับไวและมีพลัง ได้รับสายตาเลื่อมใสจากเด็กชายทั้งสองคน
พวกเขาหันหลังชนกันทันที เริ่มป้องกันการโจมตีของฝูงหมาไนอย่างเคร่งขรึม
เชิงอรรถ
[1] บ้านพัก หมายถึง วิลล่าบ้านพักตากอากาศ หรือบ้านในชนบทนอกเมืองเอาไว้สำหรับพักผ่อน
[2] ซีฝูไห่ถัง หรือ 西府海棠 หรือ Malus spectabilis คือ ต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ออกดอกคล้ายกับดอกซากุระ เป็ต้นไม้ชนิดหนึ่งอยู่ในสกุลแอปเปิล ในวงศ์กุหลาบ ดอกมีสีขาวหรือชมพูขึ้นอยู่กับพันธุ์ ผลมีสีเหลือง
[3] หงสวีจูซาเหมย หรือ 红须朱砂梅 คือ ต้นไม้ตระกูลดอกเหมยชนิดหนึ่ง มีลักษณะดอกบานเป็ทรงกลม มีสีแดงเข้มและอมชมพู
[4] หยิบขึ้นมาและวางลงได้ หมายถึง รู้จักปล่อยวาง กล้าตัดสินใจและลงมือทำได้อย่างเด็ดขาด รู้จักยืดหยุ่น เมื่อถึงเวลาต้องปล่อยก็รู้จักปล่อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้