เฉาลิ่วจื่อล้มลงแกล้งตายบนพื้น เซี่ยเสี่ยวหลานดูไม่ออกว่าผู้มาใหม่มีที่มาที่ไปอย่างไร
ไป๋เจินจูก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “เพื่อนฉันคนนี้บอกแล้วว่าไม่นั่งรถพวกคุณยังล้อมเธอไว้ไม่ปล่อย จะรังแกหญิงสาวอย่างเธอใช่หรือไม่? ไม่ลุกขึ้นมาสินะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปคุยกันที่สถานีตำรวจ!”
ชายที่บอกว่าเฉาลิ่วจื่อกรรโชกคนนั้นเตะเฉาลิ่วจื่อซึ่งนอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไปสถานีตำรวจยุ่งยากจะตาย ฉันตัดสินให้พวกเธอเองผู้หญิงอย่างเธอนี่โหดดีจริง... เธอต่อสู้เป็ แล้วเพื่อนที่อยู่ด้านหลังเธอสู้เป็หรือ? เพื่อนเธอคือคนต่างถิ่นสินะ สองเดือนที่ผ่านมาเดินทางมาหยางเฉิงอยู่หลายครั้งเธอสามารถปกป้องตลอดเวลาได้หรือ ต้องมี่ที่อยู่ตัวคนเดียวบ้าง ถึงเวลานั้นหากเกิดเคราะห์ร้ายเล็กน้อยขึ้นมากะทันหันเธอก็ช่วยไม่ทันหรอก ถูกไหมเล่า?”
คนคนนี้แสร้งว่าเป็ผู้ผดุงความยุติธรรม ทว่าที่แท้กำลังเข้าข้างอีกฝ่ายนั่นเอง
เขาไม่ปิดบังเจตนาของตนเท่าไรเสียด้วยเห็นได้ชัดว่าเป็พวกเดียวกับเฉาลิ่วจื่อและอีกหลายๆ คน ฉากหนึ่งแสดงหน้าแดง [1] อีกฉากหนึ่งร้องหน้าขาว แสร้งว่าห้ามปรามการวิวาทความจริงแล้ว้าให้พวกเธอนำเงินออกมา ‘ประนีประนอม’
ไป๋เจินจูโมโหจนกำหมัด
ความโกรธนั่นเกือบกลั้นไม่อยู่แล้ว!
แต่เธอได้ยินข่าวลือว่าคนที่สถานีรถไฟพวกนี้ล้วนมีการสมัครพรรคพวกหากพวกเขาตามเซี่ยเสี่ยวหลานจริงจะทำอย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานหยิบกระเป๋าให้ไป๋เจินจูแขนเสื้อหนาซุกซ่อนเครื่องช็อตไฟฟ้าในมือเธอไว้พอดี เธอส่ายหน้าให้ไป๋เจินจู ส่วนตนเองก้าวออกไปยืนข้างหน้าไม่แลเฉาลิ่วจื่อผู้แกล้งตายบนพื้นแม้แต่น้อยและไม่มองสมุนที่มารวมกลุ่มเ่าั้ด้วย สายตาของเธอจับจ้องอยู่บนหน้าของคนห้ามทัพคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว
ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี รูปร่างไม่ได้สูงมาก ใบหน้าค่อนข้างกลม ดูเป็มิตรไมตรีทีเดียวเชียว
คนลักษณะนี้สามารถเป็หัวหน้าได้ ต้องฉลาดหลักแหลมมากแน่นอน
“คุณเป็หัวหน้าสินะ ควรเรียกคุณว่าอย่างไร?”
ใบหน้านี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานงามหยดย้อยเหลือเกินชายที่ถูกเธอจ้องมองแต่หน้าไม่แดงได้ น่าจะมีเพียงอันธพาลที่มีจิตใจคดเคี้ยวที่แท้เธอทำสิ่งใดก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอมา แต่มีคนวางแผนจะทำบางอย่างกับเธอไว้นานแล้วอาจเพราะก่อนหน้านี้ยังสืบเสาะไม่ถึงเบื้องลึกของเธอจึงตัดสินใจยังไม่ลงมือ
กว่าจะพบว่าเธอมาหยางเฉิงคนเดียวอีกครั้งช่างยากเย็นมิใช่ต้องไขว่คว้าโอกาสให้มั่นหรือ?
ชายหน้ากลมหัวเราะร่วน “เป็หัวหน้าอะไรกันฉันไม่เข้าใจที่เธอพูด แต่เธออยากรู้ชื่อของฉัน สนใจฉันใช่ไหมเล่า?”
เฉาลิ่วลุกขึ้นมาจากพื้น ไล่คนที่ล้อมรอบออกไป
เซี่ยเสี่ยวหลานแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “แค่เจรจากันดีๆก็ไม่ได้หรือ? ฉันต่อสู้ไม่เป็ก็จริงแต่ฉันกล้ามาหยางเฉิงตัวคนเดียว ไม่มีทางไร้ซึ่งที่พึ่งแน่”
สตรีกระเสือกกระสนดำรงชีวิตไม่ใช่เื่ง่ายดายสตรีผู้งดงาม้าหาเงินสุจริตยิ่งยากเข็ญเข้าไปใหญ่ สำหรับการจงใจก่อปัญหาโดยเจตนาร้ายนี้เซี่ยเสี่ยวหลานได้ตระเตรียมจิตใจที่จะรับมือไว้นานแล้วเมื่อไม่ได้โผล่มาตีรันฟันแทงทันที นึกๆ ดูแล้วอีกฝ่ายคงพอสื่อสารกันได้—หากไม่สามารถเจรจา ก็ยังมีหนทางสำหรับการเจรจาไม่สำเร็จอยู่
ยอมสละเงินทองเพื่อป้องกันหายนะได้ ถ้ามากกว่านี้ไม่อาจยอมถอยให้แล้ว
ชายหน้ากลมมองเธอสักพัก “ผู้ชายที่มากับเธอคราวก่อนเหมือนจะร้ายกาจไม่เบา...ฉันก็ไม่อยากทำอะไรเธอหรอก แค่อยากผูกมิตรกับสาวสวยเท่านั้น ฉันชื่อเคออีสฺยง”
ใช้วิธีชนกระเบื้องเคลือบแตก [2] มาผูกมิตร?
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สีหน้าของไป๋เจินจูกลับเปลี่ยนแล้ว
“คุณคือเคออีสฺยง?”
นี่คือบุคคลที่มีกิตติศัพท์ว่าเป็คนที่โเี้มากคนหนึ่งทำไมถึงเปิดหน้าถ่อมาสถานีรถไฟเพื่อกรรโชกคนด้วยตนเองกัน ใครๆ ต่างก็ว่าเคออีสฺยงไม่มีจุดอ่อนใดยกเว้นมักมากในกาม... พอคิดถึงใบหน้าสวยของเซี่ยเสี่ยวหลานไป๋เจินจูก็เพิ่มระดับความระแวดระวังขึ้น
เคออีสฺยงมองไป๋เจินจูครู่หนึ่ง “เธอเคยได้ยินชื่อฉัน?”
“พี่ชายฉันคือไป๋จื้อหย่ง!”
เคออีสฺยงครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับว่าเขาไม่เต็มใจปล่อยเซี่ยเสี่ยวหลานเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นวันนี้คงทำได้เพียงปล่อยพวกเธอไป ฉันไม่ได้กลัวไป๋จื้อหย่งแค่ติดค้างน้ำใจเล็กน้อยต่อเขาเท่านั้น”
เฉาลิ่วจื่อรู้สึกไม่สบอารมณ์ “พี่ใหญ่...”
มิใช่ว่าโปรดปรานสาวสวยคนนั้นหรือ พวกเขาเตรียมการที่สถานีรถไฟตั้งนานสองนานแถมยังใช้เส้นสายเล็กน้อยด้วย ก็เพราะ้าทั้งคนทั้งเงินทำไมถึงปล่อยไปโดยง่ายดายเล่า?
“ขอบคุณ!”
ไป๋เจินจูรีบร้อนดึงเซี่ยเสี่ยวหลานและเดินจากไป
เคออีสฺยงยืนอยู่ที่เดิมพลางมองตามแผ่นหลังของเซี่ยเสี่ยวหลานช่างเป็หญิงสาวที่จิ้มลิ้มพริ้มเพราเสียจริงเขาถูกใจั้แ่ครั้งแรกที่เซี่ยเสี่ยวหลานมาหยางเฉิงแล้วย่อมสืบพบว่าน้องสาวของไป๋จื้อหย่งกำลังดูแลรับรองอีกฝ่ายอยู่
ไป๋จื้อหย่งเป็คนที่สันทัดในด้านการต่อสู้มากอีกอย่างเมื่อก่อนตระกูลไป๋เปิดสำนักฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้ผู้คนในวงการมากมายล้วนมีความสัมพันธ์กับตระกูลของเขาอยู่บ้าง เคออีสฺยงถึงยอมข่มความพลุ่งพล่านกลางใจไว้เขาไม่ได้หวาดกลัวไป๋จื้อหย่ง แขกจากไปน้ำชาก็เย็น ไป๋จื้อหย่งไม่เข้าร่วมวงการทว่าหนีไปเป็ทหารได้แต่อาศัยชื่อเสียงของสำนักตระกูลไป๋ซึ่งน้องสาวผู้อยู่ในหยางเฉิงประคับประคองไว้ไม่ไหวด้วยซ้ำศิษย์พี่น้องที่เคยสนิทสนมกับไป๋จื้อหย่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศแล้วเคออีสฺยงจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวตระกูลไป๋เลยแม้แต่น้อย
เขามองไม่ผิดจริงๆ ทั้งสวยทั้งอาจหาญหญิงสาวทั่วไปประสบสถานการณ์แบบนี้อาจใแทบสิ้นลม ทว่าเธอกลับยังเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาได้
เคออีสฺยงเผยรอยยิ้มออกมา หน้ากลมๆ ดูเหมือนยิ่งชื่นมื่นเบิกบาน เฉาลิ่วจื่อกับพรรคพวกรู้สึกสยองขวัญเสียจนลมหายใจเฮือกโตยังไม่กล้าถอนออก
แม้จากสถานีมาแล้ว แต่สีหน้าของไป๋เจินจูยังคงไม่ผ่อนคลายลง
“พี่ไป๋ เคออีสฺยงคนนี้เป็อันธพาลหรือ?”
เมื่อครู่เซี่ยเสี่ยวหลานถึงขั้นเตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้าไว้พร้อมแล้วหากเคออีสฺยงไม่ฟังการเกลี้ยกล่อม สิ่งแรกที่เธอจะทำก็คือการยื่นมือออกไปช็อตเขาซึ่งเป็หัวหน้าใหญ่ให้ล้มเสียเลยการแก้แค้นภายหลังไม่อยู่ในความคิดของเธอต้องหลบหนีจากห้วงน้ำวนมหาภัยเมื่อครู่ก่อนถึงจะถูกสตรีผู้งดงามนั้นเหมือนกับกระเบื้องเคลือบ เมื่อโดนกระแทกมีเพียงฝ่ายเธอที่เสียเปรียบ... เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากมีเื่กับใครแต่เธอก็ไม่กลัวปัญหาหมือนกัน
ในเวลากลางวันแสกๆ เคออีสฺยงรวมถึงพรรคพวกทำได้แค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมขูดรีดคนที่สถานีรถไฟขอแค่ไม่สามารถฉุดเธอต่อสาธารณชนได้ เซี่ยเสี่ยวหลานก็มีวิธีจัดการ
แน่นอนว่าเป็เพราะไป๋เจินจูมีฝีมือเหนือชั้นด้วยเซี่ยเสี่ยวหลานถึงมีความมั่นใจในการรับมือ
ความขัดแย้งยังไม่ทันจะปะทุ พอไป๋เจินจูกล่าวถึงชื่อของพี่ชายอย่างไป๋จื้อหย่งออกมาเคออีสฺยงก็ยอมปล่อยพวกเธอไปจริงๆ เซี่ยเสี่ยวหลานวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนั์ตาของเคออีสฺยงหลังจากได้ยินชื่อของไป๋จื้อหย่งก็ไม่ได้แสดงความเทิดทูนสักเท่าไรเขาไม่รู้สึกกลัว ‘ไป๋จื้อหย่ง’ อย่างอย่างแน่นอน
แล้วการปราบปรามเล่า ต้องมีความรู้สึกหวาดกลัวบ้างสินะ
ไป๋เจินจูไม่รู้ว่าควรอธิบายเื่เคออีสฺยงอย่างไร ผู้คนต่างลือเลื่องกันว่าคนคนนี้ร้ายกาจชั่วช้าร้อยเล่ห์ แต่ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
“เอาเป็ว่าไม่ใช่ย่อย วันนี้ฉันยังช่วยเธอได้ อีกหน่อยหากเธออยู่โดดเดี่ยวที่สถานีรถไฟหยางเฉิงจะทำอย่างไร?”
ไป๋เจินจูกำลังครุ่นคิดเื่นี้ เพียงไม่นานก็มีความคิดผุดขึ้นมาอย่างฉับไว “เช่นนี้เถอะ ครั้งหน้าก่อนเธอมาหยางเฉิงทุกครั้งก็ส่งโทรเลขหาฉันหากฉันไม่อยู่บ้าน ก็จะวานศิษย์พี่มารับเธอสักสองคนเธอพักในหยางเฉิงนานเท่าไรพวกเขาก็ติดตามเธอนานเท่านั้น จนกว่าจะส่งเธอขึ้นรถไฟกลับซางตูเรียบร้อย”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่านี่เป็วิธีที่โง่งมไปหน่อยทว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธทีนที
“นั่นคงจะเป็การรบกวนเวลาทำงานของพวกเขา ฉันให้ค่าตอบแทนพวกเขาดีกว่า”
ก็คิดเสียว่าจ้างคนคุ้มกันชั่วคราวสองคน เซี่ยเสี่ยวหลานปลงแล้วหาเงินทองมาได้ก็เพื่อจ่ายออกไป อันที่จริงมีคนสองคนคอยช่วยเหลือย่อมดีทีเดียวสถานที่มากมายซึ่งหญิงสาวตัวคนเดียวอย่างเธอไม่สะดวกไป มีคนติดสอยห้อยตามก็หมดห่วง
ละทิ้งเื่อันธพาลไว้ก่อนไม่รีรอให้เซี่ยเสี่ยวหลานถามไถ่ถึงเื่เขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงไป๋เจินจูเริ่มเล่าประสบการณ์ก่อนหน้านี้ด้วยตนเอง
“ตึกส่วนใหญ่ยังสร้างอยู่ ถนนหนทางถูกรื้อเสียเละเทะมีบางโรงงานกำลังรับสมัครคน บอกว่าเปิดโดยคนฮ่องกงผู้คนที่อยู่รอบเขตพิเศษทำทุกวิถีทางอยากจะเข้าไปทำงาน...เธอบอกว่าลองหาช่องทางทำกิน ฉันคิดว่าที่นั่นยังคึกคักสู้หยางเฉิงไม่ได้เลย”
สิ่งที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมี หยางเฉิงก็มีเหมือนกัน
ล้วนเป็การทำธุรกิจทั้งนั้น ทำไมต้องเปลืองแรงเข้าเขตพิเศษเล่าทำเื่ขอหนังสือข้ามแดนก็ยาก การเข้าออกเขตพิเศษไม่สะดวกอย่างยิ่ง
ทำไมต้องแห่กันไปเขตพิเศษ?
แน่นอนว่าเพื่อ่ชิงโอกาสในการเป็ผู้ริเริ่ม
จิตใจของเซี่ยเสี่ยวหลานเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความหวังแทบอยากติดปีกบินเข้าเขตพิเศษแสดงวิทยายุทธ์สักตั้งทุกหนแห่งล้วนกำลังสร้างอาคารบ้านเรือน ที่นั่นมีเงินตั้งเท่าไรให้ทำกำไรการรื้อถอนก็ได้เงิน สร้างอาคารก็ได้เงิน อย่าว่าแต่ดูแลโครงการก่อสร้าง แม้แต่การค้าขายวัสดุก่อสร้างก็ยังร่ำรวย...ต้นทุนของเธอยังถือว่าน้อยเหลือเกิน เข้าร่วมช่องทางทำเงินเหล่านี้ไม่ได้เลย
ไป๋เจินจูคิดว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงโกลาหลดูไม่ออกว่ามีโอกาสทางธุรกิจอะไร เซี่ยเสี่ยวหลานจึงยิ้มตอบ
“เพราะว่าเขตพิเศษเผิงเฉิงมีประชากรมากน่ะสิสถานที่ที่มีคนย่อมมีเงินให้ทำกำไรอย่างแน่นอน”
เชิงอรรถ
[1]หน้าแดงและหน้าขาวในที่นี้มีที่มาจากสีการแต่งหน้าในงิ้วปักกิ่ง(京剧)โดยใช้สีแบ่งแยกลักษณะนิสัยของตัวละคร สีแดงคือตัวละครที่มีเปี่ยมคุณธรรม ซื่อตรงและกล้าหาญ สีขาวคือตัวละครที่ชั่วร้าย หลอกลวง และทรยศ
[2]碰瓷 ชนกระเบื้องเคลือบแตกสมัยก่อนมีพวกอันธพาลใช้เครื่องกระเบื้องเคลือบจงใจชนคนสัญจรไปมาจนแตกและบอกว่าคนอื่นเป็ผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย เรียกร้องค่าชดใช้ จึงมีความหมายว่าจงใจสร้างสถานการณ์อุบัติเหตุขึ้นโดยให้อีกฝ่ายเป็ผู้ผิด จากนั้นเรียกค่าเสียหายจากอีกฝ่ายถือเป็รูปแบบการหลอกลวงประเภทหนึ่ง
