ไม่นานนัก ประตูห้องครัวถูกเปิดออก เทพอาหารซุนถืออาหารจานหนึ่งเดินออกมา
สีสันของอาหารนั้นมีทั้งสีเขียวและสีแดง แตงกวาและแครอทถูกหั่นเป็เส้นๆ ใช้ใบของผักกาดขาวห่อเอาไว้พันเป็ทรงกระบอก ดูแล้วเป็อาหารที่ดูเหมือนเรียบง่าย ทว่าเมื่อผ่านมือเทพอาหารเช่นเขากลับมิง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็สีสันหรือภาพลักษณ์ภายนอกล้วนหาที่ติมิได้ ไม่เสียแรงที่ออกมาจากห้องเครื่องของวังหลวง ฝีมือการปรุงอาหารจึงมิสามัญ!
เฟิ่งเฉี่ยนพิจารณาอย่างละเอียดแล้วอดที่จะเลื่อมใสในฝีมือการปรุงอาหารของเทพอาหารซุนไม่ได้ ต่อให้อยู่ยุคสมัยที่แตกต่างกัน ฝีมือการปรุงอาหารเช่นนี้ก็ไม่ธรรมดา
“ใต้เท้าซุน นี่คืออาหารอะไรหรือเ้าคะ ทำออกมาได้ประณีตเหลือเกิน!” มู่ชิงหว่านยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วยดวงตาเป็ประกาย
เทพอาหารซุนลอบตวัดสายตามองเฟิ่งเฉี่ยนปราดหนึ่ง ราวกับจงใจที่จะประชันขันแข่งกับนาง “อาหารจานนี้ของข้ามีชื่อว่า ปอเปี๊ยผักฝูหรง เป็อาหารเทพขั้นสาม! ผักที่นำมาประกอบอาหารดูไปแล้วเรียบง่าย แต่กลับมีขั้นตอนที่ละเอียดยิ่ง ความหนาบางของเส้นผักที่หั่น เวลาที่ใช้ในการลวกในน้ำสั้นหรือยาว รวมไปถึงการควบคุมไฟ ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อสีสัน กลิ่นอายเทพและรูปลักษณ์ภายนอกของอาหารเทพจานนี้ทั้งสิ้น มิใช่อาหารที่ผู้เพิ่งเริ่มศึกษาทำออกมาแบบส่งๆ”
ชัดเจนเหลือเกินว่าคำพูดประโยคสุดท้ายนั้นเขาจงใจกระแทกเฟิ่งเฉี่ยน เขากำลังใช้ความสามารถและผลงานของตนมากระทบกระเทียบนาง อย่าได้คิดว่าแค่ทำข้าวผัดไข่จานหนึ่งเป็แล้วจะเรียกตัวเองว่าเทพอาหารได้ หากจะมาเปรียบเทียบฝีมือการทำอาหารกับข้าแล้ว เ้ายังอ่อนหัดนัก!
เฟิ่งเฉี่ยนไม่กระจ่างแจ้งว่าไฉนเขาจึงจงใจและโจ่งแจ้งปานนี้ นางไม่ได้ไปยั่วโทสะเขา อีกทั้งนางเป็คนใหม่ในวงการเทพอาหารคนหนึ่ง ถึงกับต้องปฏิบัติต่อนางราวกับเป็คู่ต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศเลยหรือ
ที่นางไม่รู้ก็คือ ข้าวผัดไข่ที่นางทำออกมานั้นส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรีของเทพอาหารซุนอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่เป็เทพอาหารขั้นหนึ่งคนหนึ่งทว่ากลับปรุงอาหารเทพขั้นสองออกมาได้ นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!
ความรู้สึกโดดเด่นเหนือผู้อื่นที่มีมาโดยตลอดของเทพอาหารซุนถูกท้าทายครั้งใหญ่
“ดูหน้าตาแล้วน่ากินมากเ้าค่ะ!” มู่ชิงหว่านมองจนน้ำลายไหล
เทพอาหารซุนคลี่ยิ้มออกมา “หากคุณหนูมู่ชอบกิน ข้าจะทำให้เ้าอีกจานหนึ่ง เพียงแต่วัตถุดิบเทพที่ฝ่าาทรงประทานมานั้นมีอยู่อย่างจำกัด เพียงพอสำหรับให้มู่ไท่ฟู่ใช้เพียงคนเดียว!”
“ท่านไม่ต้องสนใจข้า! วัตถุดิบเทพที่ฝ่าาทรงประทานมาต้องเป็ของชั้นยอด ย่อมต้องเก็บเอาไว้ให้ท่านปู่ใช้!” มู่ชิงหว่านเก็บกิริยา “ยาที่บรรดาท่านหมอจัดให้ท่านปู่ข้าก่อนหน้านี้ ท่านปู่ดื่มแล้วก็อาเจียนออกมา ทำให้พวกเราร้อนใจจะแย่ จึงกราบทูลฝ่าาขอตัวใต้เท้าซุน หวังว่าจะบำรุงร่างกายท่านปู่ผ่านอาหารเทพที่ท่านปรุง ให้ท่านปู่หายดีได้ในเร็ววัน”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงเล็กๆ นางเข้าใจมาโดยตลอดว่า อาหารเทพเพิ่มพลังและพลังการสู้รบได้เท่านั้น ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่ามันยังรักษาโรคได้ด้วย
เทพอาหารซุนพูดอย่างถ่อมตน “อาหารที่ข้าทำนั้นเป็อาหารที่มีสรรพคุณฟื้นฟูบำรุงกำลัง ทว่าไท่ฟู่จะกินได้หรือไม่นั้นยังไม่รู้แน่”
“อย่ามัวพูดกันอยู่เลยเ้าค่ะ พวกเรารีบส่งอาหารจานนี้ไปให้ท่านปู่เถิด!” มู่ชิงหว่านกล่าว
มองส่งคนทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนเบ้ปากส่ายหน้า “อาหารและรูปลักษณ์ภายนอก สีสันนั้นดูแล้วไม่เลว แต่ชัดเจนเหลือเกินว่าอาหารยังสุกไม่ทั่ว อาหารเช่นนี้คนจะกินลงได้จริงๆ หรือ”
ทว่าทั้งหลายเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวกับนางทั้งสิ้น นางหันมาระมัดระวังเื่การดูแลตัวเองจะดีกว่า นางกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้งเพื่อทำข้าวผัดไข่ของนางต่อ
ขณะที่ด้านนอกห้องนอนของมู่ไท่ฟู่ในตอนนี้ คนที่ล้อมอยู่ทั้งหมดล้วนชื่นชมอาหารที่เทพอาหารซุนเป็ผู้ปรุง
“ไม่เสียแรงที่เทพอาหารซุนเป็พ่อครัวของห้องเครื่อง ฝีมือการปรุงอาหารไม่ธรรมดา”
“ใช่แล้ว ลำพังแค่เห็นสีสันก็ทำให้นิ้วคนขยับแล้ว”
“สุขภาพของไท่ฟู่อ่อนแอ กินเนื้อไม่ได้ อาหารจานนี้ของเทพอาหารซุน แม้จะเป็ผักทั้งหมดทว่าเปี่ยมไปด้วยโภชนาการทางอาหาร อีกทั้งกลิ่นอายเทพเข้มข้น ย่อมต้องช่วยให้อาการป่วยของไท่ฟู่ดีขึ้นแน่นอน!”
“เทพอาหารซุนมีใจแล้วจริงๆ”
“ได้แต่หวังว่าไท่ฟู่จะกินอาหารเทพจานนี้ได้ และหายเป็ปกติในเร็ววัน”
ได้ยินความคิดเห็นของทุกคน เทพอาหารซุนมีสีหน้าถ่อมตนทว่าในใจกลับรู้สึกลำพองใจสุดๆ
มู่ฮูหยินก้าวขึ้นมารับอาหารไปทั้งยังพูดอย่างซาบซึ้งใจ “รบกวนใต้เท้าซุนต้องลำบากแล้ว ข้าจะนำอาหารจานนี้ไปให้ท่านพ่อลิ้มลองฝีมือของใต้เท้าเดี๋ยวนี้”
มู่ฮูหยินประคองอาหารจานนั้นมาถึงข้างเตียง มู่ชิงเซียวก้าวเข้าไปประคองมู่ไท่ฟู่ขึ้นมาจากเตียงนอนพร้อมจัดรองหมอนสูงให้
“ท่านพ่อ ท่านกินสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ!”
มู่ไท่ฟู่ขยับเปลือกตายุกยิก ไม่รู้ว่าเป็เพราะง่วงงุนเกินไป หรือเป็เพราะอ่อนล้าเกินไป เขาขยับเปลือกตาอยู่หลายครั้งทว่ายังคงไม่ลืมตา เพียงแต่ขยับริมฝีปากบอกให้นางป้อนตนเองกิน
มู่ฮูหยินใช้ตะเกียบคีบปอเปี๊ยะผักฝูหรงจิ้มน้ำซอสส่งมารอข้างปากไท่ฟู่ “ท่านพ่อ ท่านอ้าปากเ้าค่ะ!”
มู่ไท่ฟู่อ้าปาก ฝืนกลืนปอเปี๊ยะผักฝูหรงลงคอไปอย่างกล้ำกลืน คนทั้งหมดที่ล้อมเตียงนอนอยู่เห็นเขาเคี้ยวช้าๆ ในใจตึงเครียดราวกับสายธนู
โดยเฉพาะเทพอาหารซุนที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าผู้ใด หากมู่ไท่ฟู่กินอาหารเทพที่เขาปรุงออกมาแล้วอาการเจ็บป่วยกระเตื้องขึ้น นั่นเขาจึงจะสร้างคุณงามความดีได้
มู่ไท่ฟู่เคี้ยวช้าๆ หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง...ดูเหมือนจะไม่มีอาการอาเจียนออกมา คนทั้งหมดพรูลมหายใจโล่งอกเบาๆ ต่างประสานสายตากันด้วยความยินดี
มู่ชิงเซียวดีใจ “ท่านปู่กินแล้ว ท่านปู่กินแล้วจริงๆ”
กระบอกตาของมู่ฮูหยินแดงก่ำ นางหันไปพูดกับเทพอาหารซุน “ใต้เท้าซุน ขอบคุณท่านเหลือเกิน”
เทพอาหารซุนพรูลมหายใจโล่งอก “มิกล้า มิกล้า”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงอาเจียน อ๊อก ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ร่างของมู่ไท่ฟู่ตะแคงไปข้างเตียง อาเจียนอาหารเทพในปากออกมาจนหมดสิ้น ไม่รู้ว่าเป็เื่บังเอิญหรือไม่ที่เขาอาเจียนลงบนรองเท้าของเทพอาหารซุนอย่างเหมาะเหม็ง
เทพอาหารซุนยืนแข็งค้างอยู่ที่นั่น ด้วยความรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออย่างที่สุด!
จากนั้นคนทั้งหมดใส่ใจเพียงมู่ไท่ฟู่ ไม่มีใครใส่ใจเขา เขาจะเช็ดก็ไม่ใช่ ไม่เช็ดก็ไม่ใช่
“ไฉนจึงเป็เยี่ยงนี้ กระทั่งอาหารเทพก็กินไม่ลง หากเป็เช่นนี้ต่อไป สุขภาพของท่านพ่อต้องแย่แน่ๆ” มู่ฮูหยินร้อนใจจนกระบอกตาแดงก่ำ
มู่ไท่ฟู่พลันหลับตาลงเอ่ยวาจาในตอนนี้เอง “พวกเ้าออกไปให้หมดเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
“เ้าค่ะท่านพ่อ” มู่ฮูหยินเช็ดน้ำตาส่งสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป
เมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก คนทั้งหมดเดินออกไปทีละคนๆ เมื่อสักครู่เกรงว่าไท่ฟู่จะต้องความเย็นจึงได้ปิดประตูหน้าต่างเอาไว้ ตอนนี้เมื่อเปิดประตูออก กลิ่นหอมอันเข้มข้นของข้าวก็ลอยเข้ามาจากด้านนอกทันที หอมแตะจมูก ทำให้คนรู้สึกสดชื่น ทั้งยังบังเกิดความอยากอาหาร คนทั้งหมดมีท่าทางสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวพร้อมเพรียงกัน
“หอมเหลือเกิน นี่ใครกำลังทำอาหารกัน”
“น้ำลายข้าแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว”
ร่างของมู่ไท่ฟู่ที่อยู่บนเตียงพลันถูกรบกวนจนลืมตาขึ้น เสียงแหบแห้งนั้นถามขึ้นว่า “นี่ใครกำลังทำอาหารอยู่”
มู่ฮูหยินตกตะลึงด้วยความดีใจ “ท่านพ่อ ท่านอยากกินหรือไม่เ้าคะ”
มู่ไท่ฟู่กลืนน้ำลายลงคอ พยักหน้าเบาๆ
มู่ฮูหยินปลาบปลื้มยินดีหันหน้ากล่าวกับมู่ชิงหว่าน “ชิงหว่าน เร็วเข้า! รีบไปห้องครัวดูว่าผู้ใดกำลังทำอาหารอยู่ ตักข้าวมาให้ท่านปู่เ้าชามหนึ่ง”
มู่ชิงหว่านกลับไม่เคลื่อนไหว ยืนแข็งค้างอยู่ที่นั่น
มู่ชิงเซียวรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของสีหน้านางจึงถามขึ้นว่า “น้องหญิงสาม อย่างไรกัน”
มู่ชิงหว่านหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้ารู้ว่าผู้ใดที่กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัวเวลานี้เ้าค่ะ...”
“เป็ใครกัน” มู่ชิงเซียวถาม
มู่ชิงหว่านพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “นาง...นางก็คือนางกำนัลที่ท่านพี่เช่อส่งมา—เฟิงเฉี่ยน!”
“อะไรนะ เป็แม่นางเฟิงหรือ” ใบหน้าของมู่ชิงเซียวปรากฏให้เห็นความยินดี
“ที่แท้เป็คนที่ฝ่าาส่งมา...” มู่ฮูหยินตะลึงงันเล็กน้อย จึงกล่าวเร่งรัด “ยังตะลึงทำอันใดอยู่อีก รีบไปห้องครัวนำของกินมา!”
“ข้าไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!” มู่ชิงเซียวก้าวออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ มู่ชิงหว่านตามติดไปเช่นกัน
คนอื่นๆ ล้วนยืนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างประตู มีเพียงเทพอาหารซุนที่ถูกทอดทิ้งอยู่ที่นั่นคนเดียว ไม่มีใครถามไถ่ บนรองเท้ายังมีคราบอาหารที่มู่ไท่ฟู่อาเจียนออกมา สีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างที่สุด