เมื่อเห็นเหยาซู่หลวนหมุนตัวเดินจากไปั์ตาใสซื่อไร้เดียงสาของเหยาโม่หว่านพลันแปรเปลี่ยนเป็เยียบเย็นปานน้ำแข็ง กระดกมุมปากน้อยๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
แต่เหยาซู่หลวนยังไม่ทันเดินพ้นไปจากตำหนักกวานจวีก็ได้ยินเสียงอันปิ่งซานร้องป่าวมาจากด้านนอก
“หวงตี้เสด็จ!”เหยาซูหลวนได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนก รีบหมุนกายกลับมายืนอยู่ข้างเหยาโม่หว่านทันทีพลางคว้ามือของนางมากุมไว้ทำทีเหมือนพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวหนักหนา โดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะยินดีหรือไม่
“โม่หว่านเอ๋ยเ้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในวัง ต่อไปถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจก็มาหาพี่รองที่ตำหนักหวาชิง (ตำหนักเรืองวิสุทธิ์)ได้ทุกเมื่อ หากมีผู้ใดกล้ามารังแกเ้า พี่รองจะช่วยจัดการให้เอง” เหยาซู่หลวนพลิกสีหน้าอย่างรวดเร็วทำทีเป็ห่วงเป็ใยเหยาโม่หว่านเสียเต็มประดา ใบหน้ายิ้มแย้มที่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจแบบนี้เองที่ทำให้ตนเองตาบอด หลงเลี้ยงหมาป่าหิวโซไว้ข้างกาย ทั้งคุ้มครองปกป้อง ให้การดูแลเอาใจใส่อย่างดีกล่าวได้ว่า ถ้าไม่ได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ก็คงไม่รู้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน
“พี่รองสำนึกผิดแล้ว?”เหยาโม่หว่านเบะปากเลิกคิ้วสูง เดิมทีเหยาซู่หลวนคิดอยากระบายโทสะ แต่เห็นเย่หงอี้เดินมาถึงประตูตำหนักแล้วจึงจำใจต้องผงกศีรษะ
“ต้องอย่างนี้สิ ค่อยสมกับเป็พี่รองผู้แสนดีของโม่หว่าน!”เหยาโม่หว่านเอื้อมสองมือมาเกาะแขนเหยาซู่หลวน ยิ้มเริงร่าจนดวงตาหรี่โค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยว
“มีเื่น่ายินดีอะไรกันถึงได้ยิ้มแย้มเบิกบานใจถึงเพียงนี้?”
จนถึงตอนนี้เย่หงอี้ยังไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะลุ่มหลงในเรือนร่างของเหยาโม่หว่านได้ขนาดนี้เมื่อครู่ตอนอยู่ที่พระตำหนักจินหลวน (ตำหนักกระดิ่งทอง) ในสมองไพล่นึกถึงแต่ภาพที่ตนเองร่วมคืนวสันต์กับนางอย่างเร่าร้อนจนเกือบรุ่งสางอาจเป็เพราะดวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา งดงามบริสุทธิ์ไร้ที่ติ หรืออาจเป็เพราะเรือนร่างของนางมีกลิ่นอายบางอย่างที่ตนเองโหยหาแต่มิเคยได้พานพบดังนั้นยามเมื่อเห็นนางคราแรก เขาจึงตัดสินใจว่าจะรับนางมาอยู่ในความคุ้มครองใต้อาณัติจนกว่าจะเบื่อไปเอง
“ถวายบังคมฝ่าา”เมื่อเห็นเย่หงอี้เดินเข้ามา เหยาซู่หลวนรีบประสานมือไว้ที่เอวยอบกายคำนับ แต่เหยาโม่หว่านกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่มีทีท่าแม้แต่จะกล่าวคำถวายพระพร
“โม่หว่านยามพบหวงตี้ ต้องถวายบังคม เหมือนที่พี่รองทำแบบนี้ รีบทำตามเร็วเข้า” เหยาซู่หลวนแสร้งทำเป็ร้อนใจกล่าวเร่งเร้า ทว่าแท้จริงแล้ว้าให้เหยาโม่หว่านล่วงเกินเบื้องสูงจนแทบอดใจไม่ไหวจะได้พบจุดจบเช่นเดียวกับเหยาโม่ซิน
“อื้อ”เหยาโม่หว่านผงกศีรษะอย่างหนักแน่น หลังจากนั้นก็พยายามเลียนแบบท่าทางของพี่สาว ทว่าขณะที่ย่อตัวกลับทรงตัวไม่อยู่เซล้มไปด้านหน้า เย่หงอี้เอื้อมมือมาโอบเอวนางไว้ตามคาดหมาย สีหน้าและสายตาที่มองนางอบอุ่นอ่อนโยนสุดจะบรรยายหากไม่ใช่เพราะเคยผ่านประสบการณ์ความเ็ปอันเลวร้ายเช่นนั้นมาก่อน นางอาจจะคิดไปว่าตนเองได้รับความโปรดปรานรักใคร่จากเขาเหมือนสตรีคนอื่นๆ ไปแล้ว แต่สิ่งเดียวที่นางรู้สึกอยู่ตอนนี้ กลับเป็ความสะอิดสะเอียน
“โม่หว่านไฉนเ้าถึงได้...ไม่ระวังขนาดนี้เล่า?” เมื่อเห็นสีหน้าของเย่หงอี้ เหยาซู่หลวนต้องรีบกลืนคำว่า“โง่งม” กลับลงไปในลำคอ
“ช่างเถิดเมื่อนางเรียนรู้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ” แม้จะช่วยประคองจนเหยาโม่หว่านลุกขึ้นมาได้แล้วแต่สองมือของเย่หงอี้กลับยังอ้อยอิ่งอยู่ที่เอวบาง ความรุ่มร้อนภายในเริ่มปั่นป่วน
“จะได้อย่างไรเล่าเพคะฝ่าา นี่เป็วังหลวง...” เย่หงอี้ยกมือขึ้นปราม ทว่าสายตากลับจดจ้องแต่เหยาโม่หว่านด้วยความรักใคร่โปรดปราน
“ฝ่าาซู่ชินหวางยังรอพระองค์อยู่ด้านนอกนะพ่ะย่ะค่ะ...” อันปิ่งซานอาศัยจังหวะเข้ามากระซิบเตือน
“อะแฮ่ม ไปเชิญซู่ชินหวางเข้ามา” เย่หงอี้กระแอมเบา ๆ ก่อนปล่อยมือจากเอวของเหยาโม่หว่านแต่กลับฉวยมือน้อยมากุมไว้แล้วพาเดินไปยังโถงรับแขก ชั่วขณะนั้นเหยาซู่หลวนรู้สึกเหมือนตนเองเป็อากาศธาตุเพราะั้แ่เย่หงอี้ย่างเข้ามาในตำหนัก ยังไม่ชำเลืองแลนางแม้แต่ปราดเดียว
เย่จวินชิงยังคงสวมอาภรณ์สีขาวแลดูเยือกเย็นสงบนิ่งสูงส่งสง่างามประดุจจันทร์กระจ่างกลางหมู่เมฆา เรือนผมสีดำเป็ระเบียบเรียบร้อยทิ้งตัวยาวลงมาถึงบั้นเอว ดวงตาคู่งามที่อยู่ภายใต้คิ้วดาบคมเข้มเยียบเย็นปานสายน้ำหนาวในคืนพระจันทร์เต็มดวงชวนให้ผู้อื่นรู้สึกหนาวสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ทว่าดวงหน้านั้นกลับยังคงมีความเย้ายวนดุจปิศาจที่มนุษย์ธรรมดายากจะต้านทานอาจลุ่มหลงมัวเมาไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
จู่ๆ เหยาโม่หว่านก็นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมา จำได้ว่าเมื่อก่อนเย่จวินชินโปรดปรานสีฟ้าครามเป็ที่สุดส่วนสีที่เขาเกลียดชังก็คือสีขาว เพราะเป็สีแห่งความปราชัย เขาเคยอธิบายให้ฟังว่าในสายตาเขาสีขาวเป็สัญลักษณ์แห่งความตายแต่ตอนนี้เขากลับสวมชุดขาว แล้วอย่างนี้จะหมายความว่าอย่างไรกันแน่นะ...
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าา”น้ำเสียงใสกังวานประดุจเสียงน้ำฝนกระทบเครื่องลายคราม แต่กลับปราศจากอารมณ์ความรู้สึกชวนให้ใครบางคนรู้สึกรื่นหูอยากจะฟังความต่อไป