“จวินชิงเอ๋ยั้แ่กลับมาเมืองหลวง เ้าก็เอาแต่ขังตัวเองในตำหนักซู่หวาง แม้แต่เจิ้นยังเห็นหน้าเ้าแทบจะนับครั้งได้วันนี้เลยประกาศในท้องพระโรงไปแล้วว่าจะให้เ้าย้ายเข้ามาอยู่ในวังเสียเลย พวกเราจะได้ทำความคุ้นเคยกันมากขึ้นเพราะถึงอย่างไรพี่น้องที่ยังเหลืออยู่ในเมืองหลวงก็มีเพียงแค่เราสองคนแล้ว” ก้นบึ้งดวงตาของเย่หงอี้ขุ่นเข้มขึ้นเล็กน้อยเอ่ยวาจาอย่างมีความนัย
ตามหลักการหากเย่จวินชิงดื่มสุราพระราชทานสิบกว่าไหนั้นครบก็ควรล้มหมอนนอนเสื่อไปนานแล้ว แต่ถึงเพลานี้กลับยังอยู่ดีมายืนอยู่ต่อหน้าตนเองได้คิดว่าอีกฝ่ายคงพบแล้วว่ามีการเล่นลูกไม้บางอย่างในสุรา ดังนั้นเพื่อเป็การป้องกันไม่ให้เย่จวินชิงออกนอกลู่นอกทาง เย่หงอี้จึงคิดกักบริเวณเขาไว้ในวังให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา เพื่อควบคุมมิให้เล่นตุกติกอันใดได้
“จวินชิงน้อมรับพระบัญชา”เย่จวินชิงกล่าวเสียงเรียบ ไร้การต่อต้านหรือปฏิเสธ กระทั่งบ่ายเบี่ยงสักนิดยังไม่มีสำหรับเขาแล้วจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน โลกที่ปราศจากเหยาโม่ซิน ย่อมเหลือเพียงแค่สีขาวกับสีดำเท่านั้น
“อื้อเพียงแต่ในวังยังไม่มีตำหนักว่าง เ้าเข้ามาพักในเรือนรับรองฝั่งตะวันออกของตำหนักกวานจวีชั่วคราวไปก่อนส่วนเื่ข้าวปลาอาหาร ก็มากินกับเหยาเฟยแล้วกัน” พอเย่หงอี้เอ่ยมาเช่นนี้ เหยาโม่หว่านพลันสะดุ้งในใจกระจ่างในเจตนาที่แท้จริงของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าได้ในทันที
การกักบริเวณเย่จวินชิงในวังหลวงมีข้อดีคือสามารถจับตาเฝ้าระวังคนได้ตลอดเวลา ส่วนข้อเสียคือไม่อาจเอาชีวิตเขาได้ง่ายๆ เพราะต้องแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจให้ผู้อื่นเห็น แต่คนอย่างเขาหรือจะยินดีละทิ้งเป้าหมายดังนั้นจึงได้จัดให้เย่จวินชิงมาพักอยู่ในตำหนักของพระสนมโง่เขลาคนหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่้าเก็บเย่จวินชิงไว้อีกก็เพียงแค่หาเหตุตัดศีรษะเข้าเสียด้วยความผิดฐานล่อลวงพระสนมในหวงตี้ เพราะสตรีที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าคนทั่วไปไหนเลยจะรู้ความเื่การยั่วยวนบุรุษอื่นให้ลุ่มหลง
เหยาโม่หว่านคิดแล้วอยากหัวเราะนี่แหละตัวตนของเย่หงอี้ เห็นแก่ตัวจนยากที่จะปิดบังซ่อนเร้นไว้ได้ แม้ว่าตอนนี้เขายังโปรดปรานนางอยู่แต่ในส่วนลึกกลับเห็นเป็แค่เพียงของเล่นที่ดึงดูดความสนใจชั่วคราวท่านั้น เมื่อถึงยามจำเป็ ก็สามารถทิ้งขว้างเหมือนเสื้อผ้าที่ถอดออกไปได้ทุกเมื่อนับเป็การกำหนดความตายให้แก่นางล่วงหน้าแล้ว
“ฝ่าาแต่แบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะเพคะ” เหยาซู่หลวนฟังแล้วยังตะลึงพรึงเพริด ถึงขั้นริษยาจนแทบเป็แทบตายเหยาโม่หว่านได้รับความโปรดปรานจากฝ่าายังไม่พอ บัดนี้ยังได้มีโอกาสพบหน้าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินอย่างเย่จวินชิงทุกเช้าค่ำอีกไม่รู้จริง ๆ ว่าน้องสาวผู้โง่งมของนางสั่งสมบุญบารมีมากี่ชาติภพถึงได้เจอแต่เื่ดีๆ แบบนี้
“หรือว่าหวงกุ้ยเฟยมีความคิดที่ดีกว่าเจิ้น ?” เย่หงอี้หรี่ตาจดจ้องไปที่เหยาซู่หลวนน้ำเสียงชวนให้หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ เหยาซู่หลวนฟังแล้วจึงต้องรีบหุบปาก ไม่กล้าต่อความอีก
“หว่านเอ๋อร์ให้ซู่ชินหวางมาอยู่ด้วย เ้าจะได้มีเพื่อนกินข้าวดีหรือไม่?” เย่หงอี้ถลึงตาใส่เหยาซู่หลวนก่อนหันมาหาเหยาโม่หว่าน เอื้อมมือไปหยิกพวงแก้มงดงามอย่างอดใจไม่ไหว ความโง่เขลาของเหยาโม่หว่านกับสติปัญญาของเหยาโม่ซินคือสิ่งที่ใต้หล้าต่างล่วงรู้ ดังนั้นเขาจึงไร้ความเคลือบแคลงสงสัย
“ฝ่าาให้เขามาปรนนิบัติโม่หว่านหรือเพคะ?ดีจริง แต่โม่หว่านไม่อยากอยู่กับเขานี่นา เตียงเล็กแค่นั้นเอง...โม่หว่านอยากอยู่กับฝ่าามากกว่า”เหยาโม่หว่านทำตาปริบ ๆ ผงกศีรษะอย่างว่าง่าย
“ฮ่าๆ เด็กโง่ของเจิ้นคนนี้นี่ เหลือเกินจริง ๆ เอาล่ะ! เดี๋ยวเจิ้นจะพาไปดูว่าเตียงของตำหนักกวานจวีแท้จริงแล้วเล็กอย่างว่าหรือไม่”สายตาเร่าร้อนเลื่อนลงมาที่ลำคอขาวกระจ่างดุจหิมะของเหยาโม่หว่านอย่างโจ่งแจ้ง ยกมือขึ้นโบก“พวกเ้าถอยออกไปได้แล้ว” กล่าวจบก็อุ้มเหยาโม่หว่านตรงเข้าห้องนอนท่ามกลางสีหน้าตะลึงงันของทุกคน
“ฝ่าา...”สายตาของเหยาซู่หลวนอัดแน่นไปด้วยความคับแค้น แต่กลับได้แค่มองพระสวามีอุ้มน้องสาวผู้โง่งมของตนเองไปเสพสุขแล้วทิ้งนางซึ่งเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็หวงกุ้ยเฟยให้ยืนแห้งเหี่ยวอยู่ตรงนี้
“ซู่ชินหวางเรือนรับรองทางปีกบูรพาได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว หากพระองค์รู้สึกเหนื่อย ก็เชิญไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”อันปิ่งซานค้อมกายเดินเข้ามาหาเย่จวินชิงด้วยรอยยิ้มจอมปลอม
เงียบงันไร้วาจาตอบรับ...
ขณะกำลังจะหมุนตัวกลับเย่จวินชิงก็กวาดสายตาผ่านห้องชั้นในคล้ายไม่เจตนา เขาเคยได้ยินทุกเื่ที่เกี่ยวกับเหยาโม่หว่านจากปากของเหยาโม่ซินแต่ยังนึกเคลือบแคลงเกี่ยวกับสติปัญญาของนางอยู่ ใจจริงก็อยากรู้ว่าสตรีที่ชื่อจิ้งซินซึ่งเคยมาฝนหมึกให้ที่ตำหนักคือผู้ใดกันแน่ในโลกนี้จะมีคนหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะขนาดนี้อยู่จริงหรือ?
ยามอยู่บนเตียงเหยาโม่หว่านแสดงบทบาทเป็หญิงสาวผู้อ่อนต่อโลก ปล่อยให้เย่หงอี้กัดแทะระบายอารมณ์ดิบเถื่อนราวกับหมาป่าได้อย่างเต็มที่เงาร่างของทั้งคู่พัวพันแนบชิดั้แ่พลบค่ำไปจนถึงรุ่งสาง เย่หงอี้จึงยอมลงจากเตียงไล้นิ้วมือไปบนดวงหน้ารูปไข่อย่างทะนุถนอม ก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่ออกจากตำหนัก