อวี๋มู่ตะลึงงัน
เขาจะกลัวอะไร! เขาตายแล้วก็ไปยังโลกหน้า! จบภารกิจก็กลับไปยังโลกปัจจุบันที่เขาอยู่!
แต่เว่ยจวินหยางเ้าทำไม่ได้ เ้าตายแล้วก็เท่ากับตายของจริง!
อีกอย่างพวกเราไม่มีภพต่อไปสักหน่อย เ้าสุนัขซื่อบื้อ!
เพื่อคนแบบนี้ คุ้มค่าแล้วหรือ?
ฉันแค่ใช้นายเป็เครื่องมือ!
อวี๋มู่แทบจะบ้าคลั่ง นี่มันคนวิปริตผู้หวาดระแวงอะไรกัน!
เขาพูดออกจะชัดเจนเพียงนั้น ไม่รักก็คือไม่รัก เ้าเงื่อนไขดีถึงเพียงนี้ จะหาคนแบบไหนย่อมได้ แต่ทำไมต้องมาผูกคอตายใต้ต้นไม้ต้นเดียว!
มารดามันเถอะ!
อวี๋มู่เริ่มร้อนรนอย่างจริงจัง
เขาผลักเว่ยจวินหยางออก แล้วออกแรงคว้าคอเสื้อเขา พร้อมจับเขากดลงพื้นแล้วทับเขาไว้ จนแทบจะพูดย้ำๆ อย่างโหดร้าย “เว่ยจวินหยาง เ้าฟังให้ดี ข้าบอกว่าไม่นึกเสียใจที่ช่วยเ้าไว้ นั่นเป็เพราะข้าคิดว่าอีกหน่อยเ้าคงจะกลายเป็คนดีได้ เ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ อีกอย่าง เดิมทีข้าก็ไม่ได้ชอบผู้ชายอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีทางชอบเ้าได้ ชาตินี้ไม่ ชาติหน้าก็ไม่ ไม่มีทางตลอดไป!”
หลังจากเขาพูดจบ รู้สึกเพียงภายในร่างกายนั้นอ่อนระทวย ขบริมฝีปากด้านในเพื่อดึงสติตัวเอง อวี๋มู่หอบหายใจ แล้วเอ่ยต่อ
“ดังนั้น เว่ยจวินหยาง ฟังข้าเถอะ เ้าไม่จำเป็ต้องตายไปพร้อมข้า เ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าถึงจะจากไปได้อย่างสงบ”
่ขณะที่ถูกผลัก ปิ่นปักผมของเว่ยจวินหยางหล่นลงจนผมสยายออก และเมื่อแสงจันทร์สาดส่องก็เผยให้เห็นใบหน้าสะสวยของเขานวลเนียนผุดผ่อง
เขาจ้องมองชายที่กดทับเขาอยู่ รับรู้ความโกรธ ความเป็ห่วงของอวี๋มู่ จนในใจรู้สึกอบอุ่น
เขายื่นมือไปััใบหน้าอวี๋มู่ จากนั้นจับแก้มอีกฝ่ายเบาๆ หนึ่งที
เขายิ้ม ดวงตาดุจดอกท้อนั้นเปล่งประกาย สวยงามจนน่าใ
เขากล่าว “อวี๋มู่ ที่แท้นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเ้าหรอกหรือ ไม่รักก็คือไม่รัก แบ่งแยกได้ชัดเจน แล้วยังเกี่ยวคอเสื้อข้าด้วยความโมโห และะเิอารมณ์ใส่ข้า”
“ที่ข้ารักคือเ้าที่เป็แบบนี้ แม้จะถูกใช้ประโยชน์ ข้ายังคงรักเ้า รักเ้ายิ่งขึ้น และรักเ้าตลอดไป…”
“ภพชาติหนึ่งไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็สองภพ สองภพไม่ได้ ก็สามภพ เ้าบอกว่าไม่มีทางชอบข้าตลอดไป เช่นนั้นข้าก็จะตามราวีเ้าทุกชาติไป จวบจนเ้ายอมรักข้า”
กล่าวจบ เขาใช้มือเกี่ยวคออวี๋มู่ ชันตัวขึ้นแล้วประทับรอยจูบที่จริงใจลงไป
อวี๋มู่ตัวแข็งอยู่ที่เดิม คงท่าตะลึงงันอยู่อย่างนั้นให้เขาจูบ
ขณะนี้ เขาลืมเื่คะแนนความประทับใจที่เติมเต็มไปสิ้น เขาไม่จำเป็ต้องคล้อยตามเว่ยจวินหยาง เขาสามารถปฏิเสธ และสามารถผลักเขาออก
แต่เขาไม่ได้ทำ
จนเว่ยจวินหยางปล่อยตัวเขา เขาถึงได้สติ ดวงตานั้นแดงก่ำั้แ่เมื่อไรไม่รู้
“เ้าหมาซื่อบื้อ…” อวี๋มู่คว้าตัวเขาเข้ามากอดทันใด สองมือโอบรัดไหล่ของเว่ยจวินหยางไว้แน่น แล้วต่อว่าเขา “บอกว่านายเป็หมา นายก็เป็หมาจริง อยากจะผ่าหัวนายออกมาดูเสียจริงว่าข้างในใส่อะไรไว้บ้าง…”
เว่ยจวินหยางฟังบางคำพูดของอวี๋มู่ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาเข้าใจความหมาย
เขาโอบกอดอวี๋มู่ แล้วพูดกับเขา “เวลานี้ สิ่งที่อยู่ในหัวข้ามีเพียงเ้า”
“....” บ้าจริง! ถึงเวลานี้แล้วยังพูดจากวน!
อวี๋มู่รู้แล้วว่าตัวเองไม่อาจห้ามปรามเว่ยจวินหยางได้ ตอนนี้เขารู้สึกแย่อยู่ในใจ
รู้สึกแย่มาก
เขาอยากพูดคุยกับระบบ แต่ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้เหมือนิญญาของเ้าระบบ
ต่อมา เว่ยจวินหยางให้เขานอนพักในถ้ำ แล้วตัวเองหันตะแคงอยู่ข้างเขา เพื่อบังเขาไว้
อวี๋มู่นั้นยังคงง่วงงุน และเขามีลางสังหรณ์ว่า หากครั้งนี้หลับไป คงเป็การหลับยาวจนกระทั่งจากโลกนี้ไปตลอดกาล
กระนั้นเขาจึงแข็งใจไว้ ไม่ให้ตัวเองนอนหลับ
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดเช่นไร ทั้งๆ ที่อยากจากไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเว่ยจวินหยาง
แม้เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหลงรักเว่ยจวินหยาง แต่หัวใจกลับเ็ป อีกทั้งเมื่อคิดถึงว่าหลังจากเขาตาย เว่ยจวินหยางจะฆ่าตัวตาย เขายิ่งรู้สึกทรมาน
“อวี๋มู่ เ้าง่วงแล้วสินะ?” ในหลายๆ ครั้ง เว่ยจวินหยางเป็คนที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก เขารับรู้ได้ว่าอวี๋มู่เหนื่อยแล้ว
เขาขยับไหล่ให้อวี๋มู่ แล้วเอ่ย “ถ้าง่วงก็นอนเถอะ ไม่เป็ไร”
อวี๋มู่ถอนหายใจ บอกว่าตัวเองเป็ห่วง “ข้ากลัวว่าหากหลับไป จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”
เว่ยจวินหยางใเล็กน้อย พร้อมกับฝืนฉีกยิ้ม วางมือเขาบนอก แล้วกล่าวกับเขา “อย่าพูดแบบนี้ ข้าเชื่อว่า รุ่งขึ้นพวกเราต้องได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”
เขาคิดอะไรได้ แล้วเอ่ย “เอาเยี่ยงนี้ เ้าหลับตาลง ข้าจะเล่านิทานให้เ้าฟัง หากเ้าได้ฟังนิทาน ก็จะสามารถหลับได้”
อวี๋มู่ขมขื่นในทรวง เขาเม้มปาก หลับตาลง และตอบรับเว่ยจวินหยาง
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนิ่งขรึมมีเสน่ห์ ลอยเข้าหูอวี๋มู่ สะท้อนอยู่ในถ้ำ ช่างไพเราะนัก
“กาลครั้งหนึ่งมีเด็กชายคนหนึ่ง เขาพักอยู่ที่บ้านหลังใหญ่โต ในบ้านมีผู้คนมากมาย แต่คนในครอบครัวเหล่านี้ไม่เหมือนกับครอบครัวอื่น บิดาชอบเฆี่ยนตีใช้กำลัง มารดาชอบด่าทอต่อว่า น้องชายของเขาชอบจับหัวเขากดลงบ่อน้ำ ครั้งแล้วครั้งเล่า น้องสาวของเขามักถูกบิดาพาตัวไป ฉีกเสื้อผ้า แล้วพรากความบริสุทธิ์ที่มีค่าที่สุดไป”
“ตอนนั้นเขาหวาดกลัว กลัวมากจริงๆ เขาร้องถามกับมารดา แต่กลับถูกผลักออกและถูกด่ากราดให้เขาไสหัวไป กระนั้นเขาจึงหลบอยู่ในรูสุนัขข้างสวนดอกไม้แอบร้องไห้คนเดียวเงียบๆ แต่ไม่กล้าร้องไห้นาน เพราะเขายังมีเื่ต้องทำมากมาย”
“เขาต้องฝึกวรยุทธ์ เขาต้องพยายามแข็งแกร่งให้มากกว่าคนอื่น เพราะว่านี่คือหนทางเดียวที่อาจทำให้เขามีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้”
“ต่อมาเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาเริ่มเข้าใจเื่ราวมากมาย เขาเรียนรู้การวางตัวให้ต่ำต้อยไร้ตัวตน เสแสร้ง แต่เขายังคงคิดหาหนทางใกล้ชิดมารดา เพราะในตำราเขียนไว้ว่ามารดาคือคนที่คลอดเขาออกมา แม้เป็เพียงความสามารถ แต่พวกนางจะรักใคร่เอ็นดูลูกของตนเอง…”
“แต่เด็กน้อยคนนี้คิดผิดมหันต์”
เว่ยจวินหยางถอนหายใจ นิ้วมือััหน้าอกอวี๋มู่เบาๆ แล้วเอ่ยต่อ “มารดาที่ตำราบันทึกไว้ ต่างจากมารดาของเขา ครอบครัวที่ตำราบันทึกไว้ หาใช่ครอบครัวของเขา บ้านหลังใหญ่ที่เขาพักไม่ใช่บ้าน แต่เป็ที่ลงทัณฑ์ บิดาของเขาเป็ปีศาจร้าย กุมชีวิตทั้งหมดของคนในบ้านหลังนี้ เขาอยากให้ใครตาย ก็ย่อมได้…”
“มารดาของเด็กหนุ่มไม่อาจทนรับการทารุณได้อีก จึงผลักไสบุตรชายให้กับบิดา เพื่อให้เด็กน้อยรับเคราะห์กรรมแทนตัวเอง…”
“เครื่องมือทรมานนับร้อยชนิด ถูกใช้กับตัวเด็กน้อย ทำให้เขารู้สึกอับอาย ลำบากแสนเข็ญ อยู่อย่างตายทั้งเป็…”
“แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่อยากตาย เขาต้องมีชีวิตต่อ เขาอยากให้คนที่ทำเช่นนี้กับเขาได้รับการตอบแทนอย่างสาสม กระนั้น เขาจึงสู้ฝึกวรยุทธ์และกำลังภายในอย่างเอาเป็เอาตาย ในที่สุดวันหนึ่ง เขาก็ทำสำเร็จ เขากลายเป็คนที่แข็งแกร่งกว่าผู้ใด เขาเริ่มอวดดี เริ่มจองหอง เขาเริ่มการแก้แค้นที่บ้าคลั่ง เขาอยากให้ทุกคนได้ลิ้มรสการถูกทรมานบ้าง…เขา…”
เว่ยจวินหยางเม้มปาก แล้วเอ่ย “เขากลายเป็เด็กชั่วร้าย”
“แต่เขาหาได้ใส่ใจ เพราะเขาคิดว่าความแข็งแกร่งมีอำนาจคือทุกสิ่ง เขาไม่ต้องกลัวฟ้าดิน สามารถทำเื่ชั่วร้ายเลวทรามได้โดยไม่มีใครห้ามเขาหรือควบคุมเขาได้…ก่อนที่เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาคิดเช่นนี้มาโดยตลอด…”
“เขาฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก กลายเป็คนพิการไปครึ่งคน เขานึกว่าตัวเองต้องตายเสียแล้ว แต่มีคนผู้หนึ่งช่วยชีวิตเขาไว้…”
จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา เงี่ยหูฟังเสียงหัวใจเต้นนิ่งๆ ของอวี๋มู่ แล้ววางใจ จากนั้นก็เอ่ยต่อ “เดิมทีเขาทำชั่วกับคนผู้นั้น ชั่วช้ามาก เขาไม่เข้าใจว่าไยคนผู้นั้นถึงช่วยชีวิตเขา ไยต้องทำเื่พวกนั้นเพื่อเขา ไยต้องเสียสละกระทั่งชีวิตตัวเอง…แต่ว่า แม้เขาไม่เข้าใจ แต่กลับตกหลุมพรางนั้น และหลงรักคนผู้นั้น…”
“เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าที่แท้การรักใครสักคนนั้นช่างรู้สึกดี เวลาที่อยู่กับคนผู้นั้นเป็เื่ที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพียงแค่คนๆ นั้นยิ้มให้กับเขา เขาก็สามารถมีความสุขไปหลายวัน…”
“แต่เวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาเริ่มพบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้รักเขา ฝ่ายนั้นทำดีกับเขาเพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง จุดประสงค์นี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เขาเหี่ยวเฉา เป็ทุกข์อยู่เช่นนั้น แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือ…”
“เขาขอเพียงเวลาที่นานพอ หากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายย่อมต้องมองตัวเองจริงจังสักหน และนานวันไป จะเริ่มค่อยๆ รักเขา…”
เว่ยจวินหยางกล่าวอยู่แบบนี้ ั์ตาดำขลับเริ่มมีประกายของน้ำตาสะท้อนออกมา เขาซบหน้าเข้ากับไหล่อวี๋มู่ น้ำตาเปียกชุ่มที่ตรงนั้น พลางกล่าวเสียงสะอื้น
“เพียงแต่ที่เขาไม่คาดคิดคือ… พวกเขาจะไม่ ไม่มีเวลาเหลือที่จะได้อยู่ด้วยกัน ชายคนนั้นกำลังจะตาย เพียงเพื่อช่วยชีวิตเขา”
เสียงร่ำไห้ของเว่ยจวินหยางปกคลุมค่ำคืนนี้ด้วยความเ็ป อวี๋มู่รู้สึกราวกับมีมีดเสียบเข้าที่หัวใจ ตามด้วยร่างกายที่สั่นเทาของเด็กหนุ่มหนแล้วหนเล่า นำพาความเ็ปแสนสาหัสมาให้เขา
เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มที่เว่ยจวินหยางพูดถึงนั้นหมายถึงตัวของเขาเอง เื่พวกนี้เขาไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงมาก่อน
เว่ยจวินหยางนั้นรักศักดิ์ศรีและยังเข้มแข็งมาก เขาเกลียดความอ่อนแอและไม่อยากเป็คนอ่อนแอ
แต่ว่าตอนนี้ ชายร่างโตคนนี้กำลังถอดเกราะกำบัง ปลดปล่อยความผิดหวังออกมา ทั้งนึกเสียใจ เศร้าโศก ทรมานใจ แต่กลับไร้ซึ่งหนทางใด
เขาควรทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี?
เขาช่วยเว่ยจวินหยางไว้ไม่ได้ หรือพูดอีกอย่างคือ เขาลากเว่ยจวินหยางลงนรกขุมที่ลึกกว่าเดิม
ลำคอเหือดแห้ง ราวกับว่ามีก้อนหินอุดอยู่ อวี๋มู่ยื่นมือไปััศีรษะเว่ยจวินหยาง แล้วค่อยๆ ลูบเบาๆ
เขาพูดเสียงแหบพร่า “เว่ยจวินหยาง หากว่าชาติหน้ามีจริง ข้าหวังว่าเ้าจะเกิดในบ้านธรรมดาทั่วไป มีบิดามารดาที่รักและเอ็นดูเ้า มีพี่น้องที่ปกป้องเ้า…”
เขาเอ่ย “ถึงเวลานั้น จะมีผู้คนมากมายที่รักเ้า เ้าจะได้รับความรักมากมาย เ้าจะมีความสุขไปตลอด…”
เว่ยจวินหยางเงยหน้า ดวงตาพร่ามัวสะท้อนใบหน้าของอวี๋มู่ แล้วเอ่ยถามเขา “ถ้าอย่างนั้นคนมากมายหมายรวมถึงเ้าด้วยหรือไม่? ”
เขาเอ่ยถามพร้อมกับความคาดหวัง “ชาติหน้า เ้าจะรักข้าหรือไม่?”
จังหวะนั้น หัวใจของอวี๋มู่เหมือนถูกสะกิด แต่ก็เพียงแค่สะกิด
เขาลืมตาตื่น
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เว่ยจวินหยางก้มหน้าลงในที่สุด เขาเม้มปากหนแล้วหนเล่า เพื่อฝืนฉีกยิ้มที่น่าเกลียดออกมา
ต่อจากนั้น เขาเขยิบตัวขึ้นไป ประทับรอยจูบบางเบาลงบนหน้าผากอวี๋มู่ แล้วเอ่ย
“เอาเถอะ อวี๋มู่ ข้าเล่านิทานจบแล้ว เ้านอนพักเถอะ”
เขานอนซบไหล่อวี๋มู่ เสียงซึมเซา “พรุ่งนี้ข้าจะเรียกเ้าตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน เ้าต้อง…”
“ต้องตื่นมาดูนะ”
“....ได้” อวี๋มู่หลับตา ปกปิดแววตาที่ฝืนทน แล้วหลับไป
กลางดึกเงียบสงัด ด้านนอกมีเสียงแมลงประปราย จันทร์สว่างดวงดาวพรั่งพราว แสงจันทร์ลอดเข้ามาในถ้ำ
เว่ยจวินหยางนอนมองดูอวี๋มู่อยู่ข้างๆ ฝ่ามือวางบนอกชายหนุ่ม รับรู้แรงกระเพื่อมตรงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะนอน
ที่จริงเขาหวังให้อวี๋มู่ไม่ต้องหลับ แล้วพูดคุยกับเขา
แต่เขารู้และเป็ห่วง เขาไม่อยากให้อวี๋มู่เหนื่อย
คนผู้นี้ทำเพื่อเขามามากพอแล้ว เขาอยากให้่เวลาสุดท้ายที่ได้ทำดีเพื่ออีกฝ่ายบ้าง
แม้ว่าอวี๋มู่จะไม่ได้รักเขา และปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เขาไม่ถอดใจ
หากชาติหน้ามีจริง แล้วอวี๋มู่ไม่มาหาเขา เขาก็จะไปหาอวี๋มู่เอง
จะตามราวีเขาทุกภพทุกชาติ จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมรับตัวเอง
*
เมื่อยามฟ้าใกล้รุ่งสาง อวี๋มู่ถูกเว่ยจวินหยางปลุกตื่น และในตอนนี้เขาเหลือเวลาเพียงสิบนาทีก่อนที่จะจากโลกนี้ไป
ร่างกายนี้เริ่มเหี่ยวแห้งไร้กำลัง อวี๋มู่รู้สึกว่าสติของตัวเองไม่ได้ครบถ้วนเหมือนเดิม รับรู้สิ่งภายนอกได้น้อยมาก
เขาพิงอยู่ในอ้อมอกเว่ยจวินหยางอย่างไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้เด็กหนุ่มอุ้มไว้ มีความเยือกเย็นสุมอก
ดวงตาของเว่ยจวินหยางเต็มไปด้วยเส้นเืฝอย ชัดว่าไม่ได้นอนทั้งคืน
เขาเม้มปากที่แห้งแตก สติเริ่มเลือนราง พึมพำเสียงแหบพร่า “อวี๋มู่ หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้น เรากลับสำนักชิงอีดีหรือไม่? พวกเราเอาเมล็ดที่เ้าฝังเอาไว้กลับไป พวกเราจะดูแลมัน รอจนมันงอกต้นกล้าจนเติบโตเป็ต้นไม้ ปีแรกคงไม่โตมาก ถ้าอย่างนั้นก็รอสองปีสามปี พวกเราจะรอจนกว่ามันออกดอก และออกผล…จากนั้นเราก็จะมีผลไว้กินเยอะแยะ…ผลไม้ที่สุกงอมลูกแรก ข้าจะใช้มีดปอกมันออก ให้เ้าครึ่งหนึ่ง ข้าครึ่งหนึ่ง… จนพวกเรากินอิ่ม ผลที่เหลือก็บดละเอียด เอามาทำผลไม้กวน…แล้วยังทำเป็ขนมผลไม้…พวกนี้ข้าทำเป็หมด…ข้ารับประกันได้เลยว่าหากเ้าได้กินไปชิ้นหนึ่ง ต้องอยากกินชิ้นที่สองแน่…”
เขากอดอวี๋มู่แน่น สะกดเสียงสะอื้นไม่อยู่ “ข้านั้นร้ายกาจมาก ข้าทำเป็ทุกอย่าง อีกหน่อยข้าจะดูแลเ้าอย่างดี ทำดีกับเ้า เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป หนึ่งปีสองปีสามปีสี่ปี…”
“เรากลับกันดีหรือไม่?” เขากัดฟัน เสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอันใหญ่หลวง “อวี๋มู่ เรากลับกันดีหรือไม่?”
“กลับกันดีกว่า? ขอร้องเ้าล่ะ…เรากลับกันเถอะ…กลับไปด้วยกัน…”
น้ำเสียงอ้อนวอนของเขา อวี๋มู่รู้สึกเบื้องหน้าค่อยๆ พร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายยิ่งอยู่ยิ่งหนาว เหมือนกับเว่ยจวินหยางกำลังส่งผ่านความสั่นเทานั้นมาให้เขา จนตัวเขาเริ่มสั่น
ดวงตาขมขื่น มีบางอย่างไหลรินออกมา หยดแล้วหยดเล่า ไหลอาบลงไปยังคาง และหยดลงบนหลังมืออวี๋มู่และเว่ยจวินหยาง
ดวงตาคู่นั้นของอวี๋มู่ค่อยๆ หลับลง ในที่สุดโลกก็เริ่มมืดมน
*
หลังจากลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง เขามายังช่องว่างมิติสีขาว เสียงของระบบดังขึ้นในหัว
เขาเอ่ย [โฮสต์ครับ คุณร้องไห้]
อวี๋มู่ชะงักไป ยื่นมือขึ้นมาจับหน้า ปรากฏว่ามีน้ำตาเต็มมือเขา
เขาคว้าเสื้อตรงหน้าอก รู้สึกว่าความเ็ปตรงนั้นไม่ได้จางหายแต่อย่างใด
น้ำตายังคงไหลรินจากดวงตาไม่ขาดสาย อวี๋มู่นั่งลงเหมือนคนสุดจะรับไหว กัดฟันร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทา
นานสักพักใหญ่ เขาถึงควบคุมอารมณ์อยู่ ลุกขึ้นยืนใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา แล้วกล่าวกับระบบ
“ไปเถอะ ระบบ ไปโลกถัดไปกัน”
-----------------------------------------------------------------------------------
-------