ระยะทางจากแคว้นเหยียนหลงถึงแคว้นชื่อเซียวนั้นห่างกันราวหนึ่งแสนลี้ เส้นทางคดเคี้ยวและต้องผ่านสถานที่พิเศษบางแห่ง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วหลัวเลี่ยก็อาจจะต้องเดินทางถึงหนึ่งแสนสามหมื่นถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นลี้
แคว้นทั้งสองอยู่ห่างกันดั่งทิศเหนือและทิศใต้
เมื่อได้ยินว่าอูอวิ๋นเซียนให้เวลาหลัวเลี่ยหนึ่งปี เยาวชนทั้งหลายก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที
ใครจะไม่สนใจของขวัญจากจักรพรรดิประจิมไท่อีที่อยู่ในมือของหลัวเลี่ยบ้าง พวกเขาต่างก็อยากได้มันทั้งนั้น ดังนั้นก่อนที่หลัวเลี่ยจะออกเดินทาง จึงมีชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนมากมารวมตัวดักรอหลัวเลี่ยตรงจุดที่เดาว่าเขาจะผ่าน
ในขณะที่คนเ่าั้ดักรอหลัวเลี่ยในเส้นทางที่คิดว่าหลัวเลี่ยจะต้องผ่าน หลัวเลี่ยก็ได้ขึ้นเรือัสมุทรคำรนซึ่งถือว่าเป็เรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนเหยียนหวงออกมาอยู่กลางทะเลและกำลังมุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้แล้ว
เรือัสมุทรคำรนเป็เหมือนปราสาทที่เคลื่อนที่ได้
ด้านในเรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาก เรียกได้ว่าเป็ศูนย์รวมความบันเทิงเลยทีเดียว
หลัวเลี่ยกำลังเข้าฌานฝึกฝนอยู่ในห้องชั้นบนที่แพงที่สุดซึ่งมีทิวทัศน์เป็ทะเลกว้างไกล
เขาไม่ได้ฝืนที่จะไปถึงให้เร็วที่สุดหรือเลือกเดินทางลัดหรือทางอ้อมใดๆ แต่เขาเลือกที่จะเดินทางทางทะเลแทนที่จะเดินทางบนบก
หลัวเลี่ยใช้เวลาสิบวันในการเดินทางจากเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงมายังชายฝั่งทางทิศตะวันตก
และหลังจากที่หลัวเลี่ยขึ้นเรือัสมุทรคำรนมาได้แล้ว เขาก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในห้องราวกับไม่ใช่คนที่เป็ที่สนใจมากที่สุดในปีนี้ เขาพยายามจะอยู่ให้ห่างจากความวุ่นวาย
การกระทำนี้มาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบของหลัวเลี่ย
แม้หลัวเลี่ยจะไม่เกรงกลัวผู้ใดแต่เขาก็ไม่ได้ยโสจนโง่เขลา เขาอาจจะต้องต่อสู้กับคนนับพันหรือแม้แต่หลายหมื่นคนหรือหลายแสนคนก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาจะต้องทำคือเก็บแรงเอาไว้ใช้ปะทะกับคนที่แข็งแกร่งที่สุด และต้องปะทะให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากเขาทำได้เขาก็จะกลายเป็ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าโดยไม่จำเป็ต้องเสี่ยงตายปะทะกับคนมากมาย
ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินทางทางทะเล
ประการแรก การเดินทางทางทะเลไม่เพียงเป็การเดินทางที่ใช้หลบหลีกผู้คนแต่ยังเป็การเดินทางที่อยู่ห่างจากบริเวณอันตรายอีกด้วย เพราะในเวลาหนึ่งปีนี้หากหลัวเลี่ยเดินทางในเส้นทางหนึ่งแสนลี้หรือสองแสนลี้จะต้องมีคนตามหาเขาเจอแน่นอน แต่ว่าหากเดินทางบนเรือ คนที่จะเจอเขาก็ต้องมีจำนวนจำกัดซึ่งเขามั่นใจว่าเขาจะรับมือได้
“ฟู่...”
หลัวเลี่ยลืมตาขึ้นจากการเข้าฌาน
การต่อสู้แบบเอาเป็เอาตายระหว่างเขากับไก้อู๋ซวงก่อนหน้านี้ ทำให้พลังของเขามาถึงขั้นกลางของระดับหยินหยางแล้ว มันเป็การทะลวงระดับพลังซึ่งเกิดจากการกดดันที่ทรงพลังมาก นอกจากนี้หลังจากที่หลัวเลี่ยทะลวงขั้นได้แล้ว พลังของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมากจนตอนนี้สามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจ แม้ว่าจะไม่ได้ก้าวหน้าเร็วนัก แต่เมื่อเขามีระฆังจันทราอยู่ เขาก็ยังคงฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้ เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาฝึกฝนในปีนี้ไปอีกแล้ว
หลัวเลี่ยขยับร่างกายและมองดูน้ำทะเลที่กว้างไกลสุดสายตาด้านนอก เขามองเส้นแบ่งระหว่างท้องฟ้าและผืนน้ำ บนผืนน้ำทะเลมีเรือแล่นผ่านสายตาเขาเป็ครั้งคราว ทิวทัศน์ที่งดงามนี้ทำให้หลัวเลี่ยผ่อนคลาย
เขาเดินออกจากห้องเพื่อออกไปรับลมทะเล เขายืนพิงราวเรือฟังเสียงคลื่นและเสียงนกร้อง ใครๆ ต่างก็พูดว่าหากไม่ผ่อนคลายก็จะรู้สึกกดดันตัวเองมาก
บางทีนี่อาจเป็สิ่งที่เรียกว่าความมั่นใจในตนเอง
ทันใดนั้นกลิ่นหอมที่คุ้นเคยก็ลอยโชยมาตามลม หลัวเลี่ยรับหันหน้าไปมองทางทิศนั้นทันที
คนที่หลัวเลี่ยเห็นทางด้านซ้ายมือของเขาก็คือเสว่ยปิงหนิง นางกำลังพิงราวเรือและมองออกไปทางทะเลอยู่เช่นเดียวกันกับเขา เส้นผมของนางปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าด้านข้างที่ไร้การตกแต่งของนางงดงามจนดึงดูดสายตาของหลัวเลี่ยเอาไว้ให้ลุ่มหลง
เสว่ยปิงหนิงเอ่ยเบาๆ ว่า “คนเดียวมันเหงาเกินไป ให้ข้าไปกับเ้าด้วยเถิด”
มือซ้ายของหลัวเลี่ยที่วางอยู่บนราวเลื่อนเข้าไปใกล้มือของเสว่ยปิงหนิง หลังจากนั้นมือซ้ายของเขาก็ทาบทับลงไปที่มือขวาของนาง
สองมือประสานกันโดยที่พวกเขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ พวกเขาทำเพียงดื่มด่ำกับความสงบที่หาได้ยากและมองดูทิวทัศน์ทะเลที่มีเสน่ห์อย่างเงียบๆ
ไม่ว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ เมื่อใดก็ตามที่หลัวเลี่ยพบเจอกับปัญหา เสว่ยปิงหนิงจะคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอทั้งในที่แจ้งและที่ลับโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรออกมามากมาย นางไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน นางก็แค่อยากเดินร่วมทางไปกับหลัวเลี่ย
นี่คือเสว่ยปิงหนิง หญิงสาวที่แปลกประหลาดคนหนึ่ง
เป็เื่ยากมากที่หลัวเลี่ยและเสว่ยปิงหนิงจะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งและเพลิดเพลินไปกับโลกที่มีเพียงพวกเขาทั้งสองได้อย่างแท้จริง
พวกเขารู้ว่าด้วยสถานะอันสูงส่งของเยาวชนที่แข็งแกร่งเ่าั้ คนพวกนั้นมีความสามารถในการรับข่าวสารได้อย่างน่าทึ่ง ดังนั้นคนพวกนั้นคงจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถตามหาตัวหลัวเลี่ยพบแล้ว แต่ก่อนที่หลัวเลี่ยจะถูกพบ พวกเขาจะไม่พูดถึงความยากลำบากในสิ่งที่ต้องเจอและไม่คิดถึงเื่ราวในอดีตอีก ตอนนี้พวกเขาแค่อยากจะดื่มด่ำกับความสุขสงบใน่เวลาไม่กี่วันนี้เอาไว้
พวกเขาได้ทิ้งร่องรอยแห่งความสุขไว้ในวันนี้ ณ เรือัมหาสมุทรคำรนและผืนน้ำทะเล
การทำเช่นนี้ยังช่วยให้หลัวเลี่ยได้ผ่อนคลายไปกับความกว้างใหญ่ของผืนน้ำและปลดปล่อยจิตใจที่ว้าวุ่นลงไป
แต่อย่างไรก็ตาม ่เวลาแห่งความสุขมักสั้นเสมอ
ในห้าวันต่อมาหลัวเลี่ยก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประมูลเล็กๆ บนเรือัมหาสมุทรคำรน
งานประมูลจัดขึ้นในโถงใหญ่ของเรือ ตรงผนังห้องด้านซ้ายมีหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลได้อย่างกว้างไกล
เมื่อหลัวเลี่ยและเสว่ยปิงหนิงก้าวเข้ามาห้อง พวกเขาเห็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยทันที
คนที่เข้าร่วมการประมูลมีไม่มากนัก น่าจะมีประมาณสิบคนได้ มันเป็เพียงงานประมูลเล็กๆ ที่กล่าวกันว่ามีสิ่งของแค่เจ็ดถึงแปดรายการเท่านั้น
ในจำนวนผู้คนที่เข้าร่วมงานประมูลนี้มีเหล่ยเจิ้นจื่อองค์ชายแห่งราชวงศ์โจว ชางจื่อเฟิงองค์ชายแห่งราชวงศ์ชาง และต้วนเหยียนเจี๋ยองค์ชายจากแคว้นเหยียนหลงซึ่งมาในฐานะตัวแทนของแปดร้อยแคว้น
ส่วนคนอื่นนั้น หลัวเลี่ยไม่ค่อยคุ้นหน้าและอายุของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับหลัวเลี่ย
“มาได้เร็วเสียจริง”
หลัวเลี่ยรู้อยู่แล้วว่าเขาจะถูกตามทัน แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่อีกไม่นานวันเวลาแห่งความสุขของเขาอาจหายไปตลอดกาล
หลัวเลี่ยเรียกสติของตัวเองให้กลับมาจากนั้นเขาก็แย้มรอยยิ้มเบาบางและพยักหน้าให้ทุกคน
“สหายหลัว เราเจอกันอีกแล้วนะ”
ในบรรดาสามคนที่หลัวเลี่ยรู้จัก คนที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับหลัวเลี่ยก็คือเหล่ยเจิ้นจื่อ
นอกจากนี้เหล่ยเจิ้นจื่อยังเคยตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของราชวงศ์โจวที่ให้ออกพระราชกฤษฎีกาห้ามไม่ให้หลัวเลี่ยก้าวเข้ามาในอาณาจักรโจว สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยเกิดความประทับใจในตัวเขาและรู้สึกว่าเขาเป็มิตร
“ข้าเพิ่งเดินทางออกมาได้ประมาณสิบวันแต่กลับถูกพวกเ้าหาเจอแล้ว เช่นนั้นปีหน้าข้าควรจะหนีอย่างไรดีนะ” หลัวเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“ชื่อเสียงของสหายหลัวโด่งดังมากจนยากที่จะไม่เป็ที่สนใจได้” ความหมายที่เหล่ยเจิ้นจื่อ้าจะสื่อนั้นชัดเจนมาก นั่นคือการที่หลัวเลี่ยเดินทางมากับเรือัมหาสมุทรคำรนนั้นเป็เื่ยากที่เขาจะซ่อนตัวเอาไว้ได้
หลัวเลี่ยแสดงความรู้สึกของเขาออกมาว่า “ข้ามาแก้โจทย์ของบรรพชน ดังนั้นคงเป็เื่ยากที่จะไม่เป็จุดสนใจได้”
อย่างน้อยในปีหน้าเขาถูกกำหนดให้เป็จุดสนใจของทุกคนอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับการเป็จุดสนใจจากการสังหารได้อู๋ซวงแล้ว โจทย์ปัญหาที่บรรพชนมอบให้นั้นดูท่าจะทำให้ผู้คนรู้จักหลัวเลี่ยมากกว่าเสียอีก เกรงว่าในอนาคตคงมีคนที่รู้จักชื่อเขาแต่ไม่เคยเห็นหน้าเขาเป็แน่
“สหายหลัว เชิญนั่ง” เหล่ยเจิ้นจื่อสละที่นั่งของเขา แล้วขยับไปนั่งข้างๆ แทน
เมื่อเห็นดังนั้นหลัวเลี่ยก็ไม่เกรงใจ เขานั่งลงพร้อมๆ กับเสว่ยปิงหนิง
“สหายเหล่ยคงไม่คิดที่จะเอาชนะข้าใช่หรือไม่” หลัวเลี่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เหล่ยเจิ้นจื่อตอบว่า “พูดตามตรง ข้ามีความคิดเช่นนั้นจริง แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีพลัง แต่ข้าก็ยังมีเกียรติและศักดิ์ศรี ข้าไม่มีทางร่วมมือกับผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอยอมแพ้”
หลัวเลี่ยยกนิ้วให้ “สหายเหล่ยช่างมีคุณธรรมสูงส่งจริงๆ”
“มันก็เป็แค่การรู้จักประมาณตนเท่านั้น” เหล่ยเจิ้นจื่อกล่าว “ที่ข้ามาที่นี่เพราะข้าติดค้างท่านอยู่ ข้าได้รับความรู้ในเื่หยินหยางจากสหายหลัวและไก้อู๋ซวง ดังนั้นวันนี้ข้าจึงอยากจะมาตอบแทนท่าน”