สือเยว่รีบไปพาหมอมา หลังตรวจวินิจฉัยรอบหนึ่งแล้วพบว่าร่างกายอ่อนแอจากไข้หวัดซางหาน[1] จึงจ่ายยาลดไข้สองตัวให้กับเจียงเฉิงเยว่ ยาที่จ่ายเป็ยาสามัญทั้งหมด ยาสามัญเหล่านี้ไม่จำเป็ต้องไปซื้อที่ร้านยาในเมือง ชาวเขาย่อมรู้เื่สมุนไพรบ้างเล็กน้อย ยาสามัญประจำบ้านจึงมีตระเตรียมไว้เช่นกัน ที่บ้านของไป้เอ๋อร์ก็มี สือเยว่จึงไปนำมาแล้วให้ไป้เอ๋อร์อยู่รอบเตาเพื่อต้มยาให้ ส่วนตัวเขาเองทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในอารามเต๋าของเจียงเฉิงเยว่
หลี่อวิ๋นหังกอดอกพิงประตูมองชายหนุ่มกำลังทำงานไม้ในลานอย่างกระตือรือร้นด้วยความแน่วแน่ ริมผีปากอมยิ้มเ็าอย่างเลือนราง
เจียงเฉิงเยว่หลับไปสักพักจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างลำบาก พลางสวมเสื้อคลุมอย่างสบายๆ จากนั้นเดินไปอยู่ข้างกายมองสือเยว่
อารามเต๋าสร้างขึ้นบริเวณใกล้น้ำตก มีความชื้นสูง หน้าต่างและบานประตูในอารามก็ผุพังเสียหาย เจียงเฉิงเยว่ไม่มีเวลาซ่อมแซม ก่อนหน้านี้สือเยว่เคยบอกว่าผ่านไปอีกหลายวันจึงจะมีเวลามาซ่อม...เพียงแต่เจียงเฉิงเยว่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงว่างในวันนี้พอดี
บางทีอาจทำงานแล้วร้อนเกินไป สือเยว่จึงถอดชุดคลุมออกผูกไว้ที่เอว สวมเพียงเสื้อตัวเล็กแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็เส้นอย่างสวยงาม เม็ดเหงื่อแวววาวปกคลุมผิวสีน้ำผึ้งอย่างแ่า เขาถือค้อน ใช้หลังมือที่ยังสะอาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นเหลือบมาเห็นเงาร่างของเจียงเฉิงเยว่ด้วยหางตา จึงหันมาเอ่ยพร้อมขมวดคิ้ว “ท่านนักพรต...ท่านออกมาทำไม? ข้างนอก...”
อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ทันพูดจบ หลี่อวิ๋นหังกลับขัดจังหวะด้วยการเคลื่อนไหว เพียงเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังหันกลับไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้เจียงเฉิงเยว่ที่อยู่ข้างกายด้วยท่าทางที่เป็ธรรมชาติ ห่อตัวอีกฝ่ายให้แน่นยิ่งขึ้น เอ่ยเสียงเบาด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย “ออกมาตากลมทำไม? เข้าไปนอนในห้องเสีย”
เจียงเฉิงเยว่เคยอยู่กับเขามาสามปี แม้ว่าจะผ่านมาร้อยห้าสิบกว่าปีแล้ว ทว่าการชอบบีบบังคับยังคงอยู่จึงทำตามอย่างเคยชิน เขารีบตอบ “โอ้” จากนั้นหมุนตัวเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง
สือเยว่ “...”
หลังจากสือเยว่กับไป้เอ๋อร์เสร็จสิ้นงานจึงกล่าวลา ภายในอารามเต๋าเหลือเพียงเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังสองคนอีกครั้ง เขามองอีกฝ่าย ใบหน้าคล้ายกับยกยิ้มอยู่พลางถาม “เ้าอยู่ที่นี่มาตลอดร้อยกว่าปีหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า
หลี่อวิ๋นหังหันศีรษะมองลงไปยังหมู่บ้านที่ไล่จากไหล่เขาที่ราบไปยังเชิงเขา “เ้าดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับพวกเขา”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยอย่างเขินอาย “ก็คนหมู่บ้านเดียวกันนี่นา ช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็เป็เื่ที่สมควร”
่เวลานี้ คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกันในศาลาดอกจื่อเถิง[2] ข้างน้ำตกของอารามเต๋า เจียงเฉิงเยว่คลุมเสื้อคลุมแล้วห่อตนเองแน่น จากนั้นชงชาแล้วรินให้อีกฝ่ายกับตนเองคนละถ้วยด้วยความระมัดระวัง
หลี่อวิ๋นหังยกถ้วยขึ้นจิบอึกหนึ่งก่อนพูดขยี้ตรงจุดตายอย่างเฉยเมย “บอกข้าเกี่ยวกับกำไลเงินหยกขาววงนั้นเถิด”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง
หลี่อวิ๋นหังถาม “ที่โซ่วหลิง ยามหยิบมันออกมาเ้ากลับสูญเสียการควบคุม สำคัญมากเชียวหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าอย่างเงียบงัน
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “เป็กำไลเงินหยกขาวที่สำคัญมากสำหรับเ้า หรือว่า...คนที่อยู่เื้ันั้นมีความสำคัญมากสำหรับเ้ากันแน่?”
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายทันที ดวงตาของหลี่อวิ๋นหังนั้นลึกล้ำและซับซ้อนอยู่เสมอ ราวกับว่ามีอารมณ์รุนแรงอะไรบางอย่าง ทว่าอย่างไรก็ยังคงดูสงบไร้ระลอก
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันกับคนที่อยู่ตรงข้าม ล้วนทำให้เขาไม่มีความคิดปิดบังอะไร ทำได้เพียงบอกความจริง “มีทั้งหมด กำไลวงนั้นสหายเก่าของข้าคนหนึ่งมอบให้ยามยังมีชีวิต หลังจากที่เขาจากไป จนกระทั่งตัวข้าตาย ข้าก็พกติดตัวเสมอ เวลาต่อมาข้ากลายเป็ิญญาเร่ร่อน ดวงิญญาวนเวียนอยู่รอบศพออกไปไหนไม่ได้จนได้พบผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่ฝังร่างให้ข้าอย่างใจดี ข้าทำใจไม่ได้ที่จะให้กำไลวงนั้นสลายไปใต้พิภพพร้อมกันกับข้า จึงฝากให้ผู้มีพระคุณเก็บรักษามันไว้ให้...” เจียงเฉิงเยว่เงยหน้ามองหลี่อวิ๋นหัง แสร้งทำเป็ไม่ทุกข์ร้อน บอกด้วยรอยยิ้มจาง “ซ่างเซียนยังคงจำเครื่องหมายที่ปรากฏบนร่างของภูตผีในโซ่วหลิง...”
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้ว “เครื่องหมาย?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า “เครื่องหมาย ผู้คนในโลกต่างเผยแพร่ว่า ข้าเคยประกาศกับใต้หล้าด้วยปากของตนเองว่าหากมีเครื่องหมายนั้นจะได้รับการคุ้มครองจากข้า นี่เป็เื่จริงและไม่ใช่ข่าวลือ...กล่าวได้ว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับกำไลวงนี้เช่นกัน”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
…..........................
สำหรับเื่ราวนั้น อาจต้องย้อนกลับไปเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว ่เวลานั้นฉิงชางจวินยังไม่มีนามนี้ เขาที่อยู่ในปรโลกเป็เพียงภูตผีชั่วร้ายระดับค่อนข้างสูง และยังมีตัวตนของาาผีที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสามโลก ทว่าต่อจากนั้น เขานับว่ามีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก เพียงเพราะเขาเป็คนแรกที่ผ่านการฝึกฝนในชั้นนรกขุมหนึ่งทว่าิญญากลับไม่แตกสลาย
เวลานั้น เสวียนชิงที่เลื่องลือในนามผู้คุมิญญาอันดับหนึ่งแห่งปรโลกในปัจจุบันยังคงเป็ผู้คุมิญญาตัวเล็กเท่านั้น อีกทั้งยังเป็ผู้คุมิญญาที่ไร้ประโยชน์ ถูกส่งไปบนโลกเพื่อตามเก็บิญญา เมื่อพบกับผีที่ดุร้ายเล็กน้อยกลับไม่มีทางสู้ โชคดีที่ั้แ่เจียงเฉิงเยว่เข้าสู่ปรโลก อีกฝ่ายเป็ผู้คุมิญญาที่ตัวสั่นงันงกและซื่อสัตย์ นับได้ว่าเป็สหายที่มีมิตรภาพลึกซึ้ง ดังนั้นทุกครั้งที่เสวียนชิงมีภูตผีชั่วร้ายที่จัดการไม่ได้ก็จะลากเจียงเฉิงเยว่ไปช่วย
เขาสามารถยืมนามในการไปมาระหว่างสองโลก เจียงเฉิงเยว่ก็ได้แต่เลยตามเลย
วันนั้น ทั้งสองคนเพิ่งกลับจากโลกมนุษย์ เสวียนชิงกำลังแบกโซ่ิญญาที่หนักอึ้ง เจียงเฉิงเยว่กำลังเอามือทั้งสองรองศีรษะเดินเตร็ดเตร่บนถนนในเมืองผี ทั้งสองคนพูดคุยอย่างกระตือรือร้น ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคือเด็กประหลาดคนหนึ่งที่พวกเขาพบ่ที่ไปโลกมนุษย์เพื่อตามเก็บิญญาเมื่อครู่นี้
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกสนใจ “เ้าคิดว่าเด็กคนนั้นมาจากที่ใด?”
เสวียนชิง “ข้าไม่รู้ ว่าแต่ทำไมเ้าถึงสนใจเด็กนั่นเช่นนั้น?”
เจียงเฉิงเยว่เม้มปาก “มันแปลกเกินไป!”
นึกย้อนกลับไปไม่นานมานี้ เป้าหมายที่คนทั้งสองจะไปยังโลกมนุษย์เพื่อเก็บิญญาเป็เพียงิญญาธรรมดานามว่าเจี่ยงอิงเซวียน เป็ชาวหลินตง เสียชีวิตก่อนวัยอันควร หลังจากไปที่นั่น ทุกคนภายในห้องล้อมรอบชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงแล้วร้องไห้คร่ำครวญ หนึ่งในนั้นมีบิดามารดาที่แก่ชรา ยังมีภรรยาสาวของเขาอุ้มบุตรที่ยังอยู่ในผ้าอ้อมไว้ในอ้อมแขน
ยามนี้ ิญญาของชายหนุ่มคนนั้นได้ออกจากร่างแล้ว เขายืนเหม่อลอยมองร่างที่ป่วยจนใกล้จะหมดลมหายใจของตนเองอยู่ด้านข้างอย่างหมดหนทาง หมอที่อยู่ข้างเตียงผู้ป่วยกำลังให้การรักษาอย่างสุดความสามารถ ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจ คนในครอบครัวะโเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงแหบแห้ง ร้องไห้คร่ำครวญะเืถึงฟ้าด้วยความโศกเศร้า สถานการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยยิ่งนักทุกครั้งที่ไปพาิญญาที่เพิ่งออกจากร่างมาสู่ปรโลก ดังนั้น เจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงจึงไม่สนใจ เสวียนชิงเขย่าระฆังเรียกิญญา ใช้โซ่กักิญญาไปสวมิญญาตนนั้นที่ยืนอย่างงุนงง แล้วท่องคาถาเรียกิญญาสองสามครั้ง ให้ิญญาตนนั้นไปด้วยกันกับพวกเขา
ิญญาที่ถูกเรียกเชื่อฟังเป็อย่างดี เดินตามหลังทั้งสองคนอย่างซื่อสัตย์ ชั่วขณะนั้นเอง เจียงเฉิงเยว่รับรู้ได้ถึงสายตาที่เ็าอย่างฉับไว เมื่อเขาหันศีรษะไปกลับเห็นเด็กน้อยอายุประมาณห้าหรือหกขวบผู้หนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังร้องไห้กำลังจ้องมาที่ตนเองด้วยแววตาที่ลุกโชน
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เด็กคนนั้นไม่พูดจา เจียงเฉิงเยว่มองไปรอบๆ ตนเองอย่างไม่เชื่อถือ ล้วนเป็ของตกแต่งที่เรียบง่ายและสามัญ ราวกับว่าไม่มีอะไรพิเศษที่จะดึงดูดสายตาของเด็กคนนั้นได้เลย
เสวียนชิงเองก็พบความผิดปกติของที่แห่งนี้อย่าชัดเจน จากนั้นหันศีรษะมาถาม “ทำไมหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เงียบแล้วเชิดคางไปทางเด็กคนนั้น
เสวียนชิงมองไปยังเด็กคนนั้นเช่นกัน ทว่าเด็กน้อยกลับไม่ได้มองมาทางนี้ ณ ตอนนี้เสียงร้องไห้คร่ำครวญภายในห้องกลับดังขึ้นหลายเท่าอย่างกะทันหัน ที่แท้เป็ร่างของิญญาตนนั้นที่หมดลมหายใจแล้ว คนในครอบครัวคร่ำครวญเสียงแหบแห้ง จากนั้นเด็กน้อยจึงถอนสายตา มองไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งจากไป เด็กคนนั้นยืนอยู่ห่างๆ มองกลุ่มคนที่ร้องไห้ ปลอบโยนหรือจัดการเื่ราวหลังจากนั้นอย่างวุ่นวายกันเป็กลุ่มก้อน
เสวียนชิงบอก “ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ อย่ามัวยืนโง่อยู่เลย จะสนใจเขาไปทำไม?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า ตามเสวียนชิงที่พาิญญาตนนั้นออกจากประตูไป ทั้งสองคนยังเดินออกไปไม่ไกลนักกลับได้ยินเสียงฝีเท้าแ่เบาจึงหันศีรษะไปมอง เป็เด็กน้อยคนนั้นที่ตามออกมาอย่างคาดไม่ถึง! เจียงเฉิงเยว่ก้มศีรษะมองไปยังก้อนแป้งน้อยที่สูงไม่เกินต้นขาของเขาพลางขมวดคิ้ว หลังจากนั้นหันไปมองเสวียนชิง “หรือว่าเด็กคนนี้มองเห็นพวกเรา?”
เสวียนชิงเห็นด้วย
เห็นได้ชัดว่าอายุไม่ถึงห้าหรือหกขวบ แววตาแหลมคมของก้อนแป้งน้อยราวกับดวงดาวที่หนาวเหน็บ จ้องใบหน้าเขาอย่างใกล้ชิด เจียงเฉิงเยว่ผู้เป็ผีที่ตายมาหลายปีแล้วกลับถูกเด็กน้อยคนหนึ่งจ้องจนขนลุกซู่ไปทั่วร่าง เขากลืนน้ำลายอย่างประหม่า ครุ่นคิดเกี่ยวกับเด็กน้อยคนนี้ที่นอกจากมองพวกเขาในห้องเมื่อครู่แล้วก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติใด ทว่ายามออกมาข้างนอกจึงเริ่มจ้องพวกเขาอย่างกำเริบเสิบสาน ภายในใจเขามีความคิดหนึ่งขึ้นมาก็ปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เป็ไปไม่ได้ที่เด็กคนหนึ่งจะมีความคิดที่ลึกซึ้งเช่นนี้ใช่หรือไม่กัน?
เสวียนชิงเอ่ย “แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เดิมทีพลังหยางของเด็กน้อยไม่แข็งแกร่งและธาตุไฟอ่อนแอ เป็เื่ปกติที่จะเห็นสิ่งชั่วร้ายบ้างเช่นกัน เมื่อโตแล้วย่อมดีขึ้น”
เจียงเฉิงเยว่หันกลับมายิ้มให้ “เฮ้ๆ เ้าเรียกตนเองเช่นนี้จะดีหรือ? ทำไมถึงเรียกว่า ‘สิ่งชั่วร้าย’ เล่า?”
เสวียนชิงยิ้มโดยไม่ตอบ
เจียงเฉิงเยว่ถอนสายตา รีบเอ่ย “ไปกันเถอะๆ ข้าเห็นเด็กคนนี้แล้วรู้สึก ‘ชั่วร้าย’ ขึ้นมาเลยเชียว”
คนทั้งสองจะรู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ทันที่จะยกเท้าขึ้น จู่ๆ เด็กคนนั้นกลับเปิดปากถาม “ท่านคือไป๋อู๋ฉาง[3] ใช่หรือไม่?”
ทั้งเจียงเฉิงเยว่และเสวียนชิงตกตะลึง ผีทั้งสองมีท่าทีเหมือนเพิ่งเจอผีขึ้นมา พวกเขามองเด็กคนนั้นด้วยกัน เด็กน้อยมีความคิดเฉียบคม อาจรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้บ้าง มีจำนวนไม่มากหรอกที่มองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ทั้งยังเปิดปากสนทนา เจียงเฉิงเยว่คุกเข่าลงสบตา จากนั้นชี้จมูกตนเองแล้วถาม “สหายตัวน้อยผู้นี้มองเห็นข้าหรือ?”
ก้อนแป้งน้อยพยักหน้า
เจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงสบตากันแวบหนึ่งอย่างเบิกบาน เขาเท้าคาง เอาศอกวางไว้บนเข่าด้วยรอยยิ้มแพรวพราว “นี่มันแปลกจริงเชียว...”
ก้อนแป้งน้อยไม่สนใจความประหลาดใจของเขา ถามต่อ “ท่านคือไป๋อู๋ฉางใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ก้มศีรษะมองเสื้อคลุมสีอ่อนบนร่างของตนเอง อันที่จริงเขานับได้ว่าการทำเช่นนี้เป็งานชั่วคราวเท่านั้น แม้แต่ตำแหน่งผู้คุมิญญาอย่างเป็ทางการเฉกเช่นไป๋อู๋ฉางเขาก็ไม่มี อย่างไรก็ตาม เขาผู้นี้ไม่เคยสนใจหากคนอื่นปิดทองบนหน้าเขา[4] หลังครุ่นคิดแล้วจึงค่อยพยักหน้าตอบ “อืม...ก็นับว่าใช่”
ก้อนแป้งน้อยขมวดคิ้วอย่างจริงจัง หลังคิดสักพักหนึ่งจึงถามอีก “เช่นนั้นท่าน...ท่าน...ลิ้นของท่าน...”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างไปเสี้ยววินาทีจึงเข้าใจ จากนั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ปิดจบประโยคให้ “ทำไมถึงไม่ยาวมากใช่หรือไม่?”
ก้อนแป้งน้อยพยักหน้า
ภาพของ ‘ไป๋อู๋ฉาง’ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกมนุษย์ย่อมต้องมีลิ้นยาว เขาคร้านจะอธิบายมากนักจึงกลอกตา บอกด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “สหายตัวน้อยผู้นี้ ‘ไป๋อู๋ฉาง’ ไม่นับว่าเป็มนุษย์ นับเป็เพียงตำแหน่งทางราชการ...ซึ่งคล้ายกับที่มนุษย์เรียกว่า ‘พลทหาร’ หรือว่าพลทหารล้วนหน้าตาเหมือนกันหมดหรือ?”
เสวียนชิงบอกด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เ้าพูดเื่พวกนี้กับเด็กมนุษย์คนหนึ่งเนี่ยนะ?”
ก้อนแป้งน้อยเข้าใจ ยังคงจ้องหน้าเขาโดยไม่ละสายตา
เจียงเฉิงเยว่ไม่จริงจังเท่าไร เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายตัวน้อย เ้าคงไม่เคยเห็นไป๋อู๋ฉางที่หล่อเหลาสง่างามไร้เทียมทานที่สุดในสามโลกเช่นพี่ชายคนนี้ใช่หรือไม่? หรือว่าอยู่ๆ เ้าก็อยากไปด้วยกันกับพี่ชาย น่าเสียดายที่อายุขัยของเ้ายังไม่สิ้น หากตามพี่ชายไป พี่ชายเองก็พาเ้ากลับบ้านไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆๆ”
เสวียนชิงที่ฟังการโอ้อวดยกยอตนเองของเขาอย่างเคยชินหันหลังไปกลอกตา “เด็กน้อยเช่นนี้จะรู้หรือว่า ‘หล่อเหลาสง่างามไร้เทียมทาน’ คืออะไร?”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “ถูกต้อง สหายตัวน้อย สิ่งที่พี่ชายบอกเ้า ความหมายของคำว่า ‘หล่อเหลาสง่างามไร้เทียมทาน’ หมายความว่าพี่ชายน่ะเป็พี่ชายที่รูปงามที่สุดในใต้หล้านี้...”
เสวียนชิงแทบจะอาเจียน “อย่าหลงตัวเอง!”
ก้อนแป้งน้อยหยุดชั่วขณะ จากนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หล่อเหลาไร้เทียมทานหรือไม่นั้นข้าไม่รู้...หากพูดมากที่สุดคงจะเป็ความจริง”
ทั้งเจียงเฉิงเยว่และเสวียนชิงนิ่งค้าง ผ่านไปนานเสวียนชิงะเิเสียงหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา เขาหัวเราะจนทุบขาและงอตัวในเวลาเดียวกัน ชี้ไปที่ก้อนแป้งน้อยก่อนชี้มายังเจียงเฉิงเยว่ที่เหม่อลอย ทั้งร่างสั่นไม่หยุด
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกหดหู่เป็อย่างยิ่ง หลังครุ่นคิดจึงตัดสินใจที่จะไม่สนใจ ถลึงตาไปยังเสวียนชิงซึ่งยังคงสนุกสนานไม่หยุด “หัวเราะอะไร ไปกันเถอะ!”
เสวียนชิงเก็บใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ผีทั้งสองกำลังจะเดินทาง ทันใดนั้นก้อนแป้งน้อยกลับเอ่ย “พวกท่านพาเขากลับมาได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง “เ้าหมายถึง...ไม่ให้พาเขาไปหรือ?” ขณะที่พูดก็ชี้ิญญาที่ถูกกักขังในโซ่กักิญญาตนนั้น
ก้อนแป้งน้อยพยักหน้า เขาเงียบไปแล้วขอร้องอีกครั้ง “อิงเซวียนเพิ่งจะเป็พ่อคน เขายังมีภรรยากับลูก พวกท่านปล่อยเขาได้หรือไม่ อย่าพาเขาไปเลย”
เจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่เสวียนชิงจะส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
เจียงเฉิงเยว่ถาม “คนผู้นั้นเป็อะไรกับเ้า?”
ก้อนแป้งน้อยเงียบไปเล็กน้อย “องครักษ์...”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เขามองเสวียนชิง เสวียนชิงก็เข้าใจ พวกเขาเข้าใจตัวตนของิญญาตนนี้อย่างรวดเร็วผ่านทางจิต ดังนั้นจึงค้นพบตัวตนของก้อนแป้งน้อยผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เสวียนชิงโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหู “ท่านโหวน้อยทายาทสายตรงของจวนไคกั๋วกง[5] แห่งหลินตง”
เจียงเฉิงเยว่มองก้อนแป้งน้อยที่สูงไม่ถึงขาของเขา ในใจพลันเกิดความเคารพ เขาลากก้อนแป้งน้อยไปด้านข้างเพื่อสอบถามอย่างละเอียดเป็เวลานาน จึงได้ทราบว่าเด็กชายสูงศักดิ์ผู้นี้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับองครักษ์ผู้นี้อย่างดียิ่ง หลังได้ยินว่าอีกฝ่ายป่วยหนักจึงแอบออกมาเยี่ยม เมื่อถามสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว เจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงจำเป็ต้องโน้มน้าวก้อนแป้งน้อยครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอะไรคือ ‘โชคชะตา’ อะไรคือ ‘ปฏิจจสมุปบาท[6] ’ อะไรคือ ‘การเกิดแก่เจ็บตายอันเป็ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ’ อะไรคือ ‘มีเกิดขึ้นย่อมมีดับสูญราวกับดินแดนที่ไร้ความปรารถนาใด คาดหวังไม่ได้ ไล่ตามไม่ได้และไม่สามารถฝืนได้’
แน่นอนว่าหลักๆ แล้วเจียงเฉิงเยว่ผู้ที่ช่างพูดอยู่ไม่น้อยยังคงพล่ามไม่หยุด ก้อนแป้งน้อยมองเขาอย่างเข้าใจและไม่เข้าใจ เสวียนชิงที่กอดอกดูอยู่ข้างๆ ทนไม่ไหว รีบกล่าวเพิ่มอีกสองสามประโยคในทันที “เ้าพูดเื่ที่ลึกล้ำเช่นนี้เขาจะฟังเข้าใจได้อย่างไร จะเสียเวลาเช่นนี้กับเด็กน้อยไปทำไมกัน?” ท้ายที่สุดเกือบจะรุ่งสางแล้ว จึงจำเป็ต้องเร่งเจียงเฉิงเยว่ “รีบไปเร็ว!”
เวลานี้ประจวบเหมาะ ผู้คนที่วุ่นวายอยู่ในบ้านเป็เวลานาน สุดท้ายถึงค้นพบว่าขาดผู้ใดไป ต่างเอ่ยเรียกติดๆ กัน “บรรพบุรุษตัวน้อยของข้า” ก่อนผู้คนที่แต่งตัวคล้ายกับหญิงวัยกลางคนหลายคนจะรีบวิ่งออกมาจากประตู พุ่งมาทางทางก้อนแป้งน้อย
“นี่ท่าน...วิ่งออกมายืนด้านนอกั้แ่เมื่อไรกัน?”
“ท่านโหวน้อย ท่านทำให้พวกเราใแทบแย่! รีบตามพวกเราเข้าไปในบ้านเถิด”
ก้อนแป้งน้อยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปล่อยให้ผู้ที่าุโที่สุดในหมู่พวกเขาจับมือเล็กของตนเอง ค้อมตัวพาเขาเข้าไปในบ้าน เจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงไม่ได้อยู่อีก พวกเขาพาิญญาตนนั้นหมุนตัวจากไป หลังเดินไปได้สองก้าว เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปอย่างสงสัย กลับเห็นเด็กคนนั้นเข้าไปในบ้านแล้ว ชั่วพริบตาที่ประตูถูกปิด อีกฝ่ายหันกลับมามองเขาเช่นกัน
สายตาทั้งสองคู่สบประสานกัน ทว่าสุดท้าย สายตาของคนทั้งสองยังคงถูกประตูบานนั้นบดบัง
------------------------
[1] ไข้หวัดซางหาน หมายถึง โรคระบาดที่เหมือนกับไข้หวัด่ฤดูหนาวหรือฤดูใบไม้ผลิในสมัยโบราณ
[2] ดอกจื่อเถิง หมายถึง ดอกวิสทีเรีย
[3] ไป๋อู๋ฉาง เป็ที่รู้จักในนามยมทูตขาวหรือลุงเจ็ด
[4] ติดทองบนหน้าเขา เป็การอุปมา หมายถึง ยกย่อง ชมเชย
[5] จวนไคกั๋วกง หมายถึง บรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุดของชั้นกงที่ขุนนางสามารถได้รับ
[6] ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง หลักธรรมที่อธิบายถึงสรรพสิ่งอาศัยกันจึงได้เกิดขึ้นมา
