“ท่านพี่ ไม่ต้องกลัว เราออกไปบอกกับพี่หูจื่อพร้อมรอยยิ้มว่า ให้เขาอยู่ทานอาหารค่ำด้วยกัน เอ แล้วก็ มีเกี๊ยวที่เขาชอบกินด้วย”
“แต่ดอกหยางไหวของบ้านเราหมดแล้ว”
่นี้หลิวชิวเซียงได้ทำผิดพลาดมากมาย แต่ก็ได้เกี๊ยวดอกหยางไหวช่วยหลอกล่อหวงเสียวหู่ไปได้
“ไม่มีดอกหยางไหว เราก็ห่อเกี๊ยวไส้หมูผักกาดดองสิ คราวที่แล้วตอนที่จัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ก็มีเหลืออยู่บ้างไม่ใช่หรือ เราให้ท่านแม่นวดแป้งไว้แล้วหั่นไส้ เราค่อยช่วยกันห่อ”
นับว่าเป็การตัดสินใจที่น่าพอใจ
หลิวชิวเซียงมีแผนแล้ว ตามคาด นางค่อยๆ ขยับเข้าไปหาหวงเสียวหู่พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเป็ตัวเอง “พี่หูจื่อ ต้องขอโทษด้วย เมื่อครู่มัวแต่เร่งรีบ ลืมไปว่ายังไม่ได้รินน้ำชาให้เ้า หรือไม่ เ้าก็อยู่ทานอาหารค่ำกับเราเถิด บ้านข้าจะห่อเกี๊ยวกินกันวันนี้ มีไส้หมูเค็มผักกาดดองด้วยนะ”
หวงเสียวหู่ได้ยินดังนั้นก็น้ำลายสอ ไส้หมูเค็มผักกาดดองหรือ มีกลิ่นหอมของหมูเค็มลอยคลุ้งเต็มปาก โอย ต้องเป็ความคิดของเ้าเด็กหลิวเต้าเซียงแน่ เขาจะแสดงท่าทีอย่างไรไม่ให้ดูหวั่นไหวเกินไปนะ ไม่ได้ ต้องแกล้งงอนสักหน่อย
“เห็นพี่หูจื่อของเ้าเป็คนเช่นนั้นหรือ? ข้าก็แค่มาส่งข่าว ไม่ได้ตั้งใจมากินสักหน่อย”
หลิวชิวเซียงจุกเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยว่า “ใช่แล้วๆ พี่หูจื่อดีกับพวกข้ามาตลอด ข้าก็เป็ห่วงว่าอีกเดี๋ยวครอบครัวลุงรองจะมาหาเื่ นี่ไง ข้าจึงอยากให้พี่หูจื่ออยู่ช่วยกันก่อน จะได้กินอาหารค่ำด้วยกัน ถือเป็การขอบคุณด้วย”
นี่เป็การลูบขนไปตามแนว คำพูดเช่นนี้หวงเสียวหู่ชอบฟังยิ่งนัก
“น้องชิวเซียง เช่นนั้นเ้าต้องห่อเยอะหน่อย พี่หูจื่อกลัวว่าต่อไปคงต้องออกจากหมู่บ้านสามสิบลี้แล้วล่ะ”
“เพราะเหตุใด?” หลิวชิวเซียงเชื่อเสมอว่าหวงเสียวหู่จะอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้ตลอด ไม่เคยคิดว่าเขาจะจากไป
หวงเสียวหู่พูดอย่างโกรธเคือง “พ่อของข้าเขียนจดหมายมา บอกว่าจับข้ามาอยู่ที่ป่าเขานี้ก็ยังเปลี่ยนนิสัยไม่ได้ เดิมทีอยากรับข้ากลับไปแล้วบังคับให้ข้าเล่าเรียน แต่ยังดีที่ท่านปู่ท่านย่าเอ็นดูข้าจริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวงเสียวหู่ก็แสดงรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา
หลิวชิวเซียงเข้าใจทันทีว่าความเป็ห่วงของตนเองนั้นไม่มีความหมาย
จากนั้นหวงเสียวหู่ก็เอ่ยอีกครั้ง “ท่านพ่อข้ารับปากว่าจะหาบ้านเ้านาย แล้วให้ข้าไปฝึกฝนการต่อสู้กับลูกชายบ้านนั้น เพียงแต่ว่า ข้าเองก็รับปากท่านพ่อว่า การบ้านที่เขาให้ไว้ต้องไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่วันเดียว”
“พี่หูจื่อ เ้าจะจากไปเมื่อไร? ข้าจะคุยกับน้องรองแล้วเตรียมของกินให้เ้านำติดตัวไปด้วย”
ความกังวลของหลิวชิวเซียงเื่ลุงรองยังคงมีอยู่ แต่ก็ถูกคำพูดของหวงเสียวหู่ดึงความสนใจไป
หวงเสียวหู่ยิ้ม “ยังเร็วไป อย่างน้อยก็หลังจากเทศกาลเชงเม้ง”
ขณะนั้นจางกุ้ยฮัวเก็บของในบ้านเรียบร้อย เมื่อออกมาเห็นหวงเสียวหู่ก็รีบรั้งให้เขาอยู่ทานข้าวด้วยกัน
่นี้ด้วยความพยายามของหวงเสียวหู่ ภาพลักษณ์ของเขานั้นเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของจางกุ้ยฮัว
หวงเสียวหู่มีความสุขมาก จึงยอมอยู่ต่อ
หลังจากที่ทุกคนเสร็จจากงาน ก็ถึงยามเซิน่กลาง หลิวเหรินกุ้ยยังไม่ได้มา แต่หลิวซานกุ้ยกลับมาพร้อมกับลา
“เหตุใดเ้าจึงกลับมาเร็วนัก?” จางกุ้ยฮัวเป็คนถามคําถามนี้
หลิวซานกุ้ยมีความสุขและเอ่ยอย่างเริงร่า “บ้านเรามีลาแล้วไม่ใช่หรือ มีมันช่วยดึงคันไถนาอยู่ด้านหน้า ข้าคุมอยู่ด้านหลัง จึงไม่ได้เหนื่อยอะไรนัก ซื้อลาตัวนี้มาเป็ความคิดที่ถูกต้องจริงๆ เทียบกับการที่ข้าใช้จอบพรวนดินแล้ว ดีกว่ามากนัก”
จางกุ้ยฮัวเม้มปาก ไม่อยากทำลายความสุขของเขา
สมัยนั้นจะเทียบกับตอนนี้ได้หรือ แม่สามีนั้นคำนวณไว้เสร็จสรรพ รั้นจะให้หลิวซานกุ้ยใช้แรงและไม่ยอมเช่าวัว เมื่อใช้แรงจนเขาเหน็ดเหนื่อยพอสมควร ถึงค่อยบอกว่าวัวของบ้านอื่นว่างแล้ว ให้เขามาพรวนดินที่เหลือให้หมด
ก็เพียงเพื่อประหยัดเงินเล็กน้อยเ่าั้มิใช่หรือ?!
หวงเสียวหู่แสดงความนอบน้อม รีบกล่าวทักทายท่านอา จากนั้นก็บอกกล่าวเื่ที่ครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยจะย้ายมาอาศัยที่หมู่บ้าน เขารับเชือกจูงลากับแส้ไปและช่วยหลิวซานกุ้ยจูงลาไปด้านหลังอย่างคุ้นเคย
“พี่รองกลับมาแล้วหรือ?”
“อืม เห็นว่าย้ายกลับมา” จางกุ้ยฮัวเมื่อได้ยินเื่ของคนบ้านเดิมก็ไม่ค่อยสบายใจนัก
เนื่องจากตนเองมีเงินและเชิดหน้าได้แล้ว คำพูดคำจารวมถึงท่าทางก็แตกต่างไปจากเดิม
หลิวซานกุ้ยไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เขายอมละทิ้งตำแหน่งเหรัญญิกด้วยหรือ?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร หรือไม่ เ้าก็ไปถามดูสิ” จางกุ้ยฮัวไม่ตอบเขาด้วยความโกรธ
หลิวซานกุ้ยกล่าวว่า “เฮ้อ เหตุใดเ้าจึงโมโหเล่า ถึงอย่างไรก็เป็พี่รอง อดทนหน่อยเถิด ถึงอย่างไรเราก็แยกบ้านกันแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ด้านนอกก็มีเสียงของหลิวเหรินกุ้ยดังขึ้น
“น้องสาม น้องสาม ครอบครัวเรามาเยี่ยมเ้าแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงอันสนิทสนม คนภายนอกที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขาให้ความสำคัญกับน้องชายตนเองอย่างยิ่ง
หลิวเหรินกุ้ยมาถึงประตูแล้วยิ้มอย่างมีความสุข “ได้ยินว่าเ้าย้ายบ้าน ข้าไม่ได้ข่าวคราวแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าจะย้ายหลังจากที่ช่วยท่านพ่อท่านแม่ดำนาเสร็จแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงรีบร้อนนัก!”
ขณะที่พูดเขาก็เดินเข้ามา
ดวงตาคู่นั้นกวาดมองรอบทิศ ราวกับกำลังประเมินว่าบ้านหลังนี้มีมูลค่าเท่าใด
“โอ้ น้องสะใภ้สาม ข้าเคยบอกกับท่านแม่ ดูแล้วเ้าเหมือนคนมีบุญยิ่งนัก แต่นางไม่เชื่อ นี่ไง จริงตามที่ข้าเคยกล่าวไว้ น้องสามข้าได้อาศัยบารมีจากครอบครัวมารดาเ้าไปด้วย ต่อไปคงมีชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้น!”
พูดอะไรน่ะ! หลิวเต้าเซียงได้ยินคําพูดของเขา จึงเดินออกไปด้วยใบหน้าที่เฉยชา
หลิวซานกุ้ยมองไปที่ท่าทีเืร้อนของนาง พลันรู้สึกปวดศีรษะ “ลูกรัก บ้านมีแขก รีบไปรินน้ำชาให้พวกลุงรองเร็วเข้า”
คําว่า ‘แขก’ เป็คําที่ยอดเยี่ยม
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยที่ไม่ได้รับเชิญ หลิวซุนซื่อยังดึงหลิวจูเอ๋อร์เข้าไปในห้องครัวโดยไม่ถาม อีกทั้งยังแน่ใจว่าบ้านของนางต้องมีของอร่อยแน่นอน
หลิวเต้าเซียงรีบไปที่ประตูห้องครัว จากนั้นได้ยินเสียงหลิวซุนซื่อเปล่งเสียงแหลม “ข้าว่าน้องสะใภ้สาม เ้าเองก็เกรงใจกันเกินไป ได้ยินว่าพวกข้ากลับมา ยังไม่ทันถึงบ้าน เ้าก็เตรียมเนื้อปลาและเนื้อเค็มไว้รอต้อนรับเลย”
คนไร้ยางอายก็เคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายสุดๆ แบบนี้
หลิวเต้าเซียงเดาว่าครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยคงถูกเกาจิ่วขับไล่ออกมา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสมน้ำหน้า
กล่าวกันว่า สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ [1]
ดูเหมือนว่าครอบครัวลุงรองจะกลับมาเบียดเบียนคนเฒ่าคนแก่เสียแล้ว
โชคดีที่ครอบครัวของนางถูกแยกออกมาก่อน อมิตาพุทธ พระโพธิสัตว์คุ้มครองด้วยเถิด
“ข้าว่าป้ารองหลิว คราวที่แล้วบ้านเต้าเซียงขึ้นบ้านใหม่พวกเ้าไม่รู้ แต่ก่อนกลับมาบ้านต้องได้ยินข่าวแล้วแน่นอน เหตุใดจึงไม่เห็นท่านหิ้วของอะไรมา หรือว่าของที่้ามอบให้ดีเกินไป จึงรอครั้งหน้าค่อยนำมาให้อย่างนั้นหรือ?” หวงเสียวหู่ดูถูกคนอย่างหลิวซุนซื่อจากใจจริง
หลิวซุนซื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลานชายคนโตของครอบครัวหลี่เจิ้งอยู่ที่นี่ด้วย
โอ้ เพราะนางมีสายตาไม่กว้างไกล บุตรสาวตนเองถึงคราวที่จะพูดคุยเื่แต่งงานได้แล้ว บุตรชายคนโตกับคนรองของหลี่เจิ้งก็เป็ถึงซิ่วไฉ บ้านหลี่เจิ้งเองก็มีที่นาในหมู่บ้านสามสิบลี้มากมาย ได้ยินว่าปลอดภาษีเสียด้วย
ในราชวงศ์โจว ซิ่วไฉหนึ่งคนสามารถลดหย่อนภาษีได้ห้าสิบไร่ หลิวซุนซื่อเคยได้ยินฮูหยินของพ่อค้าในตำบลเอ่ยถึงว่า มีคนลงทะเบียนที่นาในชื่อของบุตรชายทั้งสองของหลี่เจิ้งด้วย ได้ยินว่าเป็ญาติ อีกทั้งที่นาดีในตำบลเหลียนซานมีน้อยอยู่แล้ว จึงยอมให้คนอื่นมาใช้ชื่อ แต่ทุกปีก็ต้องแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ครอบครัวหลี่เจิ้งด้วย ทว่าเมื่อเทียบกับภาษีแล้วนับว่าต้นทุนน้อยกว่าเยอะ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงชอบทำเช่นนี้
หลิวซุนซื่อจึงฉุกคิดได้ ตระกูลหวงมีซิ่วไฉสองคน หวงเสียวหู่ก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมาั้แ่เล็ก ได้ยินว่าเล่าเรียนได้ นางจึงไตร่ตรองในใจ หวงเสียวหู่อายุยังไม่มาก รออีกสองปีไปลงสอบถงเซิงก็เพิ่งจะอายุสิบสี่สิบห้าขวบ เป็่วัยที่แต่งงานได้พอดี ผ่านไปอีกสองปีค่อยไปสอบซิ่วไฉ รอเมื่อจูเอ๋อร์มีลูก ไม่แน่ว่าหวงเสียวหู่อาจจะสอบได้จวี่เหรินก็เป็ได้
นางยังเคยสืบได้ความว่า ซิ่วไฉทั้งสองของตระกูลหวงเตรียมลงสอบจวี่เหรินครั้งหน้าด้วย ข่าวในตำบลนั้นแพร่สะพัดได้ดีกว่าในหมู่บ้าน นางยังเคยแอบสอบถามมาว่า บุตรชายทั้งสองของหลี่เจิ้งมีแววว่าจะสอบผ่าน ได้ยินว่าลูกหลานของตระกูลหวงเองก็มีกิ่งก้านอยู่ในราชสำนักด้วย
มีคนในราชสำนัก ย่อมเป็เื่ง่าย!
หลิวซุนซื่อคิดคํานวณในใจ จากนั้นก็เอ่ยเสียงหวานชนิดที่ทำให้คนตายได้ “โอ้ ไม่น่าเชื่อ เ้าตัวสูงเช่นนี้แล้วหรือ รีบมาให้ป้ารองดูเร็ว พ่อ มาดูหูจื่อเร็ว หน้าตาคล้ายหลี่เจิ้งใหญ่แล้ว”
หลิวเหรินกุ้ยเป็คนที่มีหลายหน้า จึงรีบเอ่ย “เหมือนยิ่งนัก”
แม้ไม่เหมือนก็จะตอบว่าเหมือนให้ได้
“หูจื่อ ต่อไปป้ารองจะอยู่ในหมู่บ้าน แต่ก่อนพ่อของเ้ากับลุงรองนั้นเปรียบเสมือนคนเดียวกัน อีกหน่อยต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ป้ารองจะทำอาหารที่ถนัดให้เ้ากิน หากมีเวลาว่างก็มาดื่มด้วยกันกับลุงรอง”
หลิวเต้าเซียงค่อนข้างดูิ่ทั้งสอง หวงเสียวหู่อายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปี ก็เกลี้ยกล่อมให้กินเหล้า ช่างไม่มีมโนธรรม!
หวงเสียวหู่ยิ้มและบอกว่าปู่ของเขาไม่อนุญาตให้กินเหล้า ต่อไปอาศัยหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงเื่ที่ตนเองจะจากไป
หลิวชิวเซียงมองเขาที่มีท่าทีพิลึก จึงแอบเม้มปากยิ้มเบาๆ
ครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยมาที่บ้านหลิวซานกุ้ยด้วยมือเปล่า เมื่อถูกหวงเสียวหู่ถามถึงของขวัญ หลิวซุนซื่อกลัวว่าเขาจะไม่ชอบใจ จึงรีบทำเป็กุมมือของจางกุ้ยฮัวอย่างรักใคร่สนิทสนม แล้วจงใจพูดเสียงดัง “น้องสะใภ้สาม เ้าอย่าโทษพี่รองกับข้าเลย เดิมทีพวกข้าเองก็เตรียมของขวัญไว้ แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่อยู่ ประตูบ้านก็ลงกลอนไว้ ข้าวของยังกองไว้หน้าประตูบ้าน ต้องโทษพี่เ้าที่มัวแต่กังวลถึงน้องสามจึงรีบมาที่นี่ก่อน ยังลำบากน้องสะใภ้สามต้องหุงข้าวเพิ่มอีก”
หลิวซุนซื่อไม่เพียงแต่ชอบโกหก แต่ยังหน้าด้านอีกด้วย
จางกุ้ยฮัวดึงมือออกมาอย่างไร้เยื่อใยและยิ้ม “ไม่เป็ไร”
หวงเสียวหู่ฟังแล้วหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่รำคาญที่หลิวจูเอ๋อร์ใช้สายตาคู่นั้นจดจ้องเขา ดูแล้วผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวขออภัยกับหลิวซานกุ้ยแล้วเตรียมกลับบ้าน บอกเพียงว่าอีกเดี๋ยวจะมาทานข้าวด้วย
ั้แ่หลิวซานกุ้ยได้เล่าเรียนกับกัวซิวฝาน ก็เริ่มเรียนรู้เื่ราวกับกัวซิวฝานไม่น้อย ตอนนี้เขาหัดฟังน้ำเสียงเป็แล้วจึงรีบเอ่ย “พอดีเลย พี่รองข้ามาแล้ว เสียวหู่ ไหนๆ ก็ช่วยอาเชิญท่านปู่กับท่านย่ามาทานข้าวด้วยกันนะ”
หวงเสียวหู่แอบถอนหายใจ คืนนี้คงไม่ได้กินเกี๊ยวดีแล้ว!
เพราะเกี๊ยวที่เขาอยากกินแต่ต้องอด หวงเสียวหู่จึงยิ่งไม่ชอบหน้าครอบครัวของหลิวจูเอ๋อร์
หลังจากตอบรับคำพูดของหลิวซานกุ้ย ก็ก้าวเท้าออกไปหาปู่ย่า
เขากลัวว่าครอบครัวของหลิวซานกุ้ยจะเสียเปรียบ จึงอยากรีบเรียกปู่ย่ามา่ดักทางหน่อย
“เสียวหู่ อย่าลืมขอผักกุยช่ายกับท่านย่าเ้ามาด้วย ผักที่บ้านป้ามีแต่ต้นกล้า”
จางกุ้ยฮัวจำได้ว่าบุตรสาวคนรองชอบบ่นว่า่นี้ไม่ค่อยได้กินผักใบเขียว ทั้งบ้านมัวแต่ยุ่งจนหัวหมุน จึงไม่มีเวลาขึ้นเขาไปหาผักป่า
นางจึงยอมหน้าด้านเอ่ยปาก หวงเสียวหู่ได้ยินดังนั้นก็ชอบใจ ในที่สุดก็มีความก้าวหน้าขั้นใหญ่ คนในครอบครัวป้ากุ้ยฮัวไม่ได้เห็นเขาเป็คนนอกแล้ว
หวงเสียวหู่รับปากเื่นี้ หลังจากนั้นก็ไปตามหาท่านย่าเพื่อขอผักกุยช่าย
-----
เชิงอรรถ
[1] สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ 三十年河东三十年河西 sān shí nián hé dōng sān shí nián hé xī (ความเรืองรอง) อุปมาว่า เื่ราวของการเปลี่ยนแปลง ความรุ่งเรืองและความตกต่ำเป็สิ่งไม่แน่นอน
