“แม่ แม่บอกว่าเธอชื่ออะไรนะ?”
เมื่อรถมาถึงเขตเหอตง ฝานเจิ้นชวนก็ได้เอ่ยปากถาม
น้าหลี่จงใจขัดเขา “ลูกหมายถึงใครกัน?”
ฝานเจิ้นชวนหัวเราะ “แน่นอนต้องเป็ว่าที่ลูกสะใภ้แม่สิ ชื่ออะไร?”
มารดาจะวางท่า ฝานเจิ้นชวนจึงให้ความร่วมมือดีมาก นี่คือมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง ตามใจสักหน่อยย่อมไม่มีปัญหา
“เป็ลูกสะใภ้แม่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่นอนนะ ถ้าผู้หญิงเขารู้เื่นังปีศาจ [1] ในบ้านลูกคนนั้น จะตกลงแต่งงานกับลูกอยู่หรือ?”
น้าหลี่นึกถึงแม่บ้านเสียวอวี่แล้วก็ยิ่งโมโห ความสัมพันธ์ทางสายเืได้จืดจางลงไม่น้อย เป็ญาติห่างๆ ยังพอทน นี่ใช้แซ่เดียวกันอีก รู้ถึงที่ไหนอับอายไปถึงที่นั่น! แต่เธอย้ำเตือนสักกี่หน ฝานเจิ้นชวนก็ไม่ยอมฟัง ถึงขั้นทำภรรยาคนแรกให้ขุ่นข้องหมองใจจนตายจากไปเพียงเพื่อผู้หญิงแบบนั้น พ่อลูกแตกแยกกัน น้าหลี่ทนเสียวอวี่มานานมากแล้ว ทว่าลูกชายคือคนที่เธอให้กำเนิดมาด้วยตนเอง เธอไม่มีทางโกรธเคืองได้นาน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็ความผิดของเสียวอวี่ เพราะเสียวอวี่ไม่อยากเป็แม่บ้านคอยรับใช้คนอื่น ถึงได้ปีนขึ้นเตียงยั่วยวนเ้านาย
แน่นอนว่าเสียวอวี่คือปีศาจสาวสวย ก่อนหน้านี้ฝานเจิ้นชวนนึกเสียดาย หรืออีกแง่หนึ่งคือเขาไร้ซึ่งจรรยาบรรณในด้านความสัมพันธ์ของชายหญิง ญาติห่างไกลที่แซ่เดียวกัน ยิ่งเพิ่มแรงดึงดูดของความต้องห้ามให้แก่สัมพันธ์ครั้งนี้ แต่ในขณะที่เสียวอวี่คือปีศาจสาวสวย เซี่ยเสี่ยวหลานกลับเป็จอมปีศาจพราวเสน่ห์ แค่ฝานเจิ้นชวนเห็นก็อยากได้ไว้ในมือ
ได้ใหม่ลืมเก่าคือวิถีเคยชินของเขา
“ก่อนแต่งงานจะส่งเสียวอวี่กลับไป ไม่เก็บเสียวอวี่ไว้ให้ขวางหูขวางตาลูกสะใภ้ใหม่แม่แน่ เธออายุเท่าไรแล้วล่ะ?”
เมื่อน้าหลี่ได้รับการประกันก็อารมณ์เบิกบานขึ้น เธอรู้ว่าจะเป็ไปตาม้าแน่นอน!
“เธออะไรกัน คนเขาชื่อเสี่ยวหลาน แซ่เซี่ย ปีนี้อายุ 19”
เซี่ยเสี่ยวหลาน
ฝานเจิ้นชวนขบคิดเกี่ยวกับชื่อนี้อยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นับว่าตั้งได้ดีเท่าไรนัก มิใช่นามแบบหญิงสาวตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าข่ายกล้วยไม้ [2] โดยสิ้นเชิง ยั่วเย้าล่อลวงใจ มีความสูงส่งทระนงของกล้วยไม้ที่ไหนกัน! หากจะเกี่ยวข้องกับกล้วยไม้จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องเป็กล้วยไม้ผีเสื้อ ดอกใบอวบอิ่มนุ่มละมุน ก้านดอกบอบบางอ้อนแอ้น ดอกสีม่วงอมชมพูช่างอ่อนหวานพริ้งเพริด...เหมือนกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีผิด หน้าตาสะสวย ทรวดทรงเร้าใจ เป็สตรีงามสุดยอดที่ฝานเจิ้นชวนยังไม่เคยมีด้วยซ้ำ
ดังนั้น ชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรไม่ได้สำคัญ สุดท้ายก็เป็คนอยู่ดี
ในเมื่อเป็คน ต่อให้ชื่อเ้าแมวเ้าหมา ก็ไม่เป็อุปสรรคให้ผู้คนสรรหาถ้อยคำมาสรรเสริญความงาม
อายุ 19 ยังไม่ถึงอายุสมรสตามกฎหมาย แต่ฝานเจิ้นชวนคิดว่ากำลังพอดี อายุ 19 ปีไม่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาว อ่อนเยาว์มีชีวิตชีวาเต็มที่ อายุไม่ครบ 20 ปีก็ไม่เป็ไร ถ้าเขาอยากได้ทะเบียนสมรสในเขตเหอตง จะมีใครตรวจสอบจริงๆ หรือว่าภรรยาเขาโตพอหรือไม่?
ฝานเจิ้นชวนถูกใจคนที่มารดาทาบทาม และตกลงส่งแม่บ้านสาวกลับบ้านเดิมด้วย น้าหลี่คิดว่างานวิวาห์สามารถเริ่มจัดเตรียมได้แล้ว
เดือนนี้อากาศกำลังอบอุ่นขึ้น ฤดูร้อนนั้นร้อนเกินไป เป็เดือนพฤษภาคมถึงจะเหมาะสมที่สุด!
ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานจะยินยอมแต่งงานหรือไม่ น้าหลี่และฝานเจิ้นชวนไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำ น้าหลี่คิดว่าเด็กสาวชนบทคนหนึ่งได้แต่งงานกับฝานเจิ้นชวนแล้วยังมีอะไรต้องมากเื่อีก แม้ฝานเจิ้นชวนจะเคยมีภรรยา อีกทั้งมีลูกชายอายุสิบกว่าปี แต่ถ้าไม่เป็เช่นนี้ ก็ไม่ถึงคราวของเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้แต่งงานหรอก!
ฝานเจิ้นชวนวางอำนาจบาตรใหญ่ในเขตเหอตงจนเคยชิน ขอแค่เขาถูกใจ ไม่ว่าหญิงสาวคนไหนก็ได้มาทั้งนั้น
แถมเขาจะขอเซี่ยเสี่ยวหลานมาเป็ภรรยาอย่างถูกต้องด้วย ยิ่งไม่มีปัญหาใดๆ แน่นอน
หลิวฟางและเหลียงปิ่งอันพยายามขายหลานสาวคนนี้สุดชีวิต ฝ่ายหญิงคงเตรียมใจไว้พร้อมั้แ่แรกเหมือนกัน น้าหลี่คิดแบบนี้ ทว่าฝานเจิ้นชวนกลับคิดมักง่ายกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยากแต่งหรือไม่ ความยินยอมของตัวเซี่ยเสี่ยวหลานไม่สำคัญสักนิด
ผลลัพธ์คือเซี่ยเสี่ยวหลานต้องแต่งงานกับเขา แล้วจะจุกจิกขั้นตอนไปทำไมเล่า ฝานเจิ้นชวนหมกมุ่นในเสน่ห์สาวงาม แต่ไม่มีทางพะเน้าพะนออุทิศตนต่อสตรีคนไหนแน่นอน
สำเร็จ!
น้าหลี่เรียกหลิวฟางไปหา แจ้งแก่หลิวฟางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเป็ครั้งแรก
“งานแต่งงานจัดเดือนพฤษภาคมจะดีที่สุด อากาศไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป ฝานเจิ้นชวนตกลงแล้ว เห็นด้วยกับการจัดงานเลี้ยงที่บ้านเก่า มีแขกมาเท่าไรก็จัดโต๊ะเท่านั้น จะทำให้หลานสาวเธอแต่งงานเข้าตระกูลฝานอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีแน่นอน! ฝานหานอายุก็ไม่ใช่น้อย อนาคตยังต้องอยู่กับฉันที่บ้านเดิม แต่อย่างไรเสียอีกสองปีเด็กเขาก็จะออกไปเข้ามหาวิทยาลัย เวลาที่อยู่ในเขตเหอตงยิ่งน้อยลง ไม่เป็ปัญหาอะไรต่อสมาชิกใหม่หรอก ฉันเห็นว่าหลานสาวเธอผอมก็จริง แต่แลแข็งแรงให้กำเนิดลูกได้ดี ใช้่ที่ฉันยังช่วยเหลือไหวอยู่ รีบมีลูกเสียเถอะ...”
ฝานเจิ้นชวนสมรสหนที่สอง กระทั่งคนแต่งงานครั้งแรกในยุคนี้ก็อาจไม่จัดงานวิวาห์ด้วยซ้ำ
เนื่องจากฐานะไม่เอื้ออำนวย คนส่วนใหญ่แต่งงานโดยจดทะเบียนสมรส หลังจากนั้นก็เชิญญาติสนิทมิตรสหายมารับประทานอาหารก็เป็อันเสร็จสิ้น
แต่งงานรอบที่สองยิ่งเรียบง่าย แต่บ้านฝานกลับจะจัดยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่น้าหลี่ชอบ ตัวฝานเจิ้นชวนเองก็คงโปรดเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะมีการกระทำอันใส่ใจได้อย่างไร แถมหลังแต่งงานก็ไม่ต้องอาศัยกับลูกเลี้ยง บ้านแม่สามีคาดหวังให้รีบมีลูก—ฝานเจิ้นชวนอายุมากกว่า 20 ปีแล้วอย่างไร บ้านฝานให้ความสำคัญต่อเซี่ยเสี่ยวหลานถึงเพียงนี้ การได้แต่งงานเข้าตระกูลฝาน ถือเป็เื่น่ายินดีเหลือเกินจริงๆ
คนที่จะไปเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ซับซ้อนในตระกูลฝานไม่ใช่ลูกสาวของหลิวฟาง ทว่าผู้ที่จะได้รับและสุขสบายกับผลประโยชน์คือครอบครัวหลิวฟาง วิวาห์ครานี้หลิวฟางพึงพอใจเสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน เธอจะกระตือรือร้นเป็แม่สื่อแม่ชักตรงกลางให้หรือ?
หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานคือสมองปลาไม้ [3] สองอันจริงๆ ยังเอาแต่คิดถึงคนรักข้าราชการยากจนอีก
บ้านฝานบอกว่าจะแต่งงานเดือนพฤษภาคม หลิวฟางคิดว่าเร็วเกินไป หนึ่งเดือนจะทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานและคนรักข้าราชการผู้ยากจนตัดขาดกันได้ที่ไหน และเธอกลัวว่าถึงเวลาจะเกิดความวุ่นวายขึ้น จึงเลือกสารภาพตรงไปตรงมาในเวลานี้
“คุณน้าบอกไว้ จะกลายเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ฉันก็ขอพูดความจริงกับคุณน้า ก่อนหน้านี้หลานสาวฉันคนนั้นคบหากับคนอื่น เป็ข้าราชการยากจน ไม่รู้ว่าทั้งสองยังคงติดต่อกันอยู่หรือไม่...”
น้าหลี่มองหลิวฟาง
นี่เล่นตุกติกนี่นา เธอจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พูดมาเชียวหรือ เกรงว่าคนรักที่คบหาก่อนหน้านี้ก็ยังดีๆ กันอยู่จนถึงปัจจุบัน หลิวฟางไม่เห็นคู่หมายคนนั้นในสายตาอย่างแน่นอน ถึงยกหลานสาวให้ตระกูลฝานแทน
ยุคสมัยนี้ แม้จะบอกว่ามีอิสระในการเลือกรัก แต่ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่พรากคู่รักก็มีมิใช่น้อยๆ
น้าหลี่ไม่ใส่ใจนัก
“ก่อนแต่งงานต้องจัดการให้เรียบร้อย ฉันไม่อยากให้เกิดเื่ยุ่งยากขึ้นตอนจัดงานแต่ง เธอจัดการแทนครอบครัวเธอได้สินะ? อย่างไรเสียฉันก็เชื่อเธอที่เป็แม่สื่อคนนี้”
น้าหลี่ไม่เกรงกลัวข้าราชการกระจ้อยร่อยของหน่วยงานลับ ทั้งสองคนแค่คบหากัน ยังไม่ถึงวัยสมรสเสียหน่อย
ฝานเจิ้นชวนไม่ได้ทำลายการแต่งงานของเ้าหน้าที่รัฐนี่นา คิดได้เช่นนี้น้าหลี่จึงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เธอคิดว่าหลิวฟางจะรับผิดชอบแทนครอบครัวฝ่ายมารดาได้ แค่ครอบครัวจากชนบท คนที่ได้แต่งงานเข้าเมืองมาเช่นหลิวฟางนี้ย่อมมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในบ้าน คนในครอบครัวต้องพึ่งพาหลิวฟางเสียด้วยซ้ำ
แม้มีพี่สะใภ้ที่เปิดร้านในเมือง น้าหลี่ก็ไม่คิดว่าพี่สะใภ้ผู้ทำธุรกิจอิสระจะข่มหลิวฟางได้อยู่ดี
เหลียงปิ่งอันมีรายได้จากรัฐ หลิวฟางไม่ถึงขั้นคุณนายข้าราชการชั้นสูง แต่ก็มิใช่คนที่พวกค้าขายจะเทียบเคียงได้ น้าหลี่เชื่อมั่นในตัวหลิวฟางยิ่งนัก หลิวฟางเองก็ไม่มีทางพลาด ก่อนหน้านี้บ้านฝานยังไม่ตกลงปลงใจ เธอจึงสาธยายคุณสมบัติของฝ่ายชายโดยละเอียดต่อหน้าพี่รองและหลานสาวไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียสถานะของฝานเจิ้นชวนนั้นแตกต่างออกไป
ตอนนี้เื่ราวทั้งหมดตกลงเรียบร้อยแล้ว เธอต้องบอกอย่างชัดเจน
การแต่งงานที่ดีแบบนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง หากเซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธ หลิวฟางคงสงสัยว่าในสมองของอีกฝ่ายใส่ฟางไว้แน่นอน—ใส่ฟางไว้ก็ไม่เป็ไร มีเพียงแต่บ้านฝานอยากรับเป็สะใภ้หรือไม่ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีสิทธิ์ไม่ยินยอม!
“ฉันจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่คุณน้าแน่ๆ ค่ะ!”
เชิงอรรถ
[1]妖精 ปีศาจ หมายถึง ผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์ยั่วยวนใจ
[2]ชื่อของเซี่ยเสี่ยวหลานมีคำว่า กล้วยไม้ (兰 อ่านว่า หลาน) อยู่ในชื่อ ซึ่งดอกกล้วยไม้มักถูกนำมาใช้เป็สัญลักษณ์ของความสง่างาม คุณธรรมสูงส่ง ไร้มลทิน แน่วแน่มั่นคง ฝานเจิ้นชวนคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสวยมาก แต่เป็ความงามที่ไม่ได้เรียบง่ายสูงสง่าดั่งดอกกล้วยไม้ จึงคิดว่าชื่อของเธอไม่สมกับตัวเธอนัก
[3]木鱼脑袋 สมองปลาไม้ ปลาไม้คือเครื่องดนตรีและเครื่องประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทำจากไม้ มีรูปทรงคล้ายปลา ด้านในโล่ง เวลาเคาะจะเกิดเสียงก้องกังวาน สมองปลาไม้นำมาเปรียบเทียบกับคนโง่ ในหัวไม่มีอะไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้