สตรีสู้กันนี้แต่เดิมก็เป็เื่ที่น่าจับตามองอยู่แล้ว หญิงงามสองคนสู้กันก็ยิ่งนับเป็เื่เบิกบานสำราญใจยิ่ง การประลองของทั้งสองดึงดูดผู้คนได้ไม่น้อยไปกว่าการประลองของหลัวฉี่เลย
หนุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่ทั้งมักมากและไม่มักมากต่างพากันเสแสร้งยิ้มอย่างสดใส แต่ละคนสายตาราวกับหมาป่าที่กำลังจ้องมองสตรีอ้อนแอ้นทั้งสองบนเวทีที่งดงามราวกับนางฟ้าดึงดูดหัวใจคน เปล่งประกายราวกับหลอดไฟนีออนสองร้อยห้าสิบวัตต์สองหลอด ส่องสว่างเปล่งประกายจนทำให้ผู้คนตกตะลึง
โชคดีที่พื้นฐานจิตใจของคนทั้งสองบนเวทีถือว่าไม่เลว เพราะราวกับไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากสายตาผู้คนที่อยู่ด้านล่าง พวกนางเห็นพวกเขาเป็แค่ท่อนไม้ที่ตายแล้วที่ยังปรารถนาจะผลิดอกออกผลก็ไม่ปาน
“ในเมื่อแม่นางหลางฉาไม่พกอาวุธ เช่นนั้นก็อย่าได้ถือโทษว่าข้ารังแกคนมือเปล่าก็แล้วกัน”
ริมฝีปากแดงของหลางฉาเหยียดออกแล้วยิ้มอย่างสบายๆ ท่าทางจะอย่างไรก็ได้ หลี่หนิงหว่านเห็นแล้วในใจก็ราวกับมีไฟสุม รู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างรุนแรง
ไม่เสียทีที่เป็สตรีที่ถูกกำหนดให้ยืนเคียงข้างตัวเอก บรรยากาศรอบกายนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าหลี่หนิงหว่านมาก เวลาปกตินั้นมองแทบไม่ออก คิดเพียงว่าเป็ดอกกุหลาบซ่อนหนามที่ล่อลวงผู้คนเท่านั้น แต่พอถึงเวลาสำคัญถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็หนามซ่อนกุหลาบเสียมากกว่า
แค่หลี่หนิงหว่านสะบัดแส้ทีหนึ่งก็เป็เสียงดุดันรุนแรงกระทบหูคนแล้ว บรรดา ‘ท่อนไม้ตายแล้ว’ ด้านล่างเวทีก็ล้วนตื่นตัวขึ้นมา ทั้งสั่นสะท้านและตื่นเต้น
แส้สะบัดไปที่หน้าขาวเนียนนุ่มของหลางฉาตรงๆ ด้านล่างเวทีเต็มไปด้วยเสียงสูดหายใจ หากโดนสักครั้ง ใบหน้างดงามนั้นจะต้องเกิดรอยแผลอย่างแน่นอน แส้นี้ของหลี่หนิงหว่านไม่ว่าอย่างไรหลางฉาก็รับไม่ได้ มีเพียงต้องถอยเท่านั้นถึงจะหลบได้ แส้ที่พุ่งมาอย่างดุดันนี้ ไม่ว่าจะกวาดไปโดนตรงไหนต้องเกิดเป็รอยแผลโชกเือย่างแน่นอน
จิ่งเซียงอดกำหมัดแน่นไม่ได้ แม้นางจะไม่ชอบหลางฉา แต่การเห็นสตรีผู้หนึ่งถูกแส้หวดกับตาเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็น “เหตุใดหลางฉาผู้นี้ถึงได้ยืนโง่งมอยู่ตรงนั้นกัน รีบหลบสิ”
คนที่มีความคิดเช่นนี้ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว บรรดาชายหนุ่มที่รักหยกถนอมบุปผาด้านล่างเวทีเองก็ห่วงกังวลเป็อย่างยิ่ง เอาแต่พูดไม่หยุดว่า “แม่นางหลางฉารีบหลบสิ” แต่ทำเช่นนี้ก็เกรงว่าจะทำให้แม่นางหลี่หนิงหว่านไม่พอใจ บรรดาหนุ่มน้อยคนดีทั้งหลายอึกอักจนทำอะไรไม่ถูก เกรงว่าหากตัวเองพูดมากไปสักประโยคจะทำให้คนงามทั้งสองต้องเสียใจ รู้สึกลำบากใจเลือกไม่ถูกเป็อย่างยิ่ง ทุกคนล้วนรู้สึกว่าการที่ตนหลายใจนั้นไม่ใช่เื่ดี เพราะไม่ยุติธรรมกับแม่นางทั้งสองเลยจริงๆ
ไม่ว่าบรรดานักรักทั้งหลายจะคิดไปเองเื่ความรักหลายเส้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่หลางฉาที่ยืนอยู่บนเวทียังคงสงบนิ่งดั่งเขาไท่ซาน ไม่คิดจะขยับแม้แต่น้อย ในตอนที่ทุกคนคิดว่าแส้นั้นจะต้องสะบัดไปโดนหน้าของนางอย่างแน่นอนจนถูกทำให้ใจนนิ่งค้างไปนั้น หลางฉาก็รีบลงมืออย่างรวดเร็ว จับหางแส้ไว้อย่างมั่นคง แส้นั้นอยู่ห่างจากใบหน้านางไปเพียงนิด ความรุนแรงจากแส้หอบเอาลมพัดใส่หน้านางจนทำให้เส้นผมสลวยงดงามของนางนั้นปลิวไสวขึ้นไปในอากาศ
ทุกคนสูดหายใจลึก เสียงตกตะลึงดังแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ
จับแส้ด้วยมือเปล่า!
“แม่นางผู้นี้ไม่รักชีวิตแล้วหรืออย่างไร บนแส้นั้นเต็มไปด้วยลวดหนาม นางมองไม่เห็นหรือ?!”
“น่าเสียดายมืองามๆ นั่น เกรงว่าคงต้องเืไหลนองแล้ว!”
“คนงามก็ควรอยู่บ้านเฉยๆ ให้คนมาปกป้องดีกว่า เื่รบราฆ่าฟันพวกนี้ พวกนางทำไม่ได้หรอก”
ฝูงชนเอาแต่เกรงกลัว ไม่อาจทนมองมือละเอียดราวกับหยกของหลางฉาต้องหลั่งเืได้ แต่ทว่าผ่านไปเนิ่นนานมือนั้นก็ยังจับแส้ไว้อย่างมั่นคง ไม่มีเืแม้สักหยดหยดลงจากมือ
หลี่หนิงหว่านมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ แส้ของนางนั้นนางย่อมรู้จักดีกว่าผู้ใด หนามแหลมคมบนแส้นั้นดูแล้วเล็กบาง แต่ล้วนเป็เหล็กชั้นดีที่ถูกฝนจนคมอย่างที่สุด แค่ถูกบาดเพียงเล็กน้อยก็ล้วนต้องเืโชกด้วยกันทั้งนั้น แต่มือของหลางฉากลับดูปกติเป็อย่างมาก
แน่นอน ยังไม่ตัดประเด็นที่ว่านางอาจจะแค่จับไว้เพียงเบาๆ ออกไป แต่หลี่หนิงหว่านใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงแส้แล้วก็ยังไม่สามารถดึงแส้ออกมาจากมือนางได้
จิ่งจื่อเบิกตาทั้งคู่ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย “พวกเ้าดูบนมือนาง นั่นคืออะไร?”
พวกอ๋าวหรานเองก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน มือละเอียดคู่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวบางๆ จนแทบจะมองไม่เห็นราวกับว่าสามารถถูกลมอันแ่เบาพัดให้หายไปในอากาศได้
แต่หมอกสีขาวบางๆ นั้นกลับไม่สลายหายไปถึงแม้จะมีลมพัดมาสักกี่ครั้งก็ตาม ราวกับว่ามือคู่นั้นของหลางฉามีแรงดึงดูดอย่างไรอย่างนั้น จึงทำให้มันยังคงปกคลุมอยู่ไม่ยอมหายไปไหน
จินเฉียนเป้ยที่อยู่ข้างๆ ชะเง้อคอหันซ้ายทีขวาที “อะไรๆ! เ้ามองเห็นอะไรหรือ?”
จิ่งเซียงไม่รอจิ่งจื่อตอบก็รับไปตอบเองว่า “หมอกที่บางยิ่งกลุ่มหนึ่ง เ้าสังเกตดูให้ดี”
ไม่เพียงแค่จินเฉียนเป้ย แม้แต่เจียงซิวที่แสร้งทำเป็เคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน แล้วยังมีผู้คนโดยรอบพากันเบิกตามองอย่างละเอียด ผ่านไปนานจินเฉียนเป้ยจึงส่งเสียงอย่างตกตะลึงออกมา “จริงด้วย! แต่ว่าบางยิ่ง พวกเ้าสายตาดีจริงๆ!”
ดวงตาทั้งคู่ของเจียงซิวมีความงุนงงปรากฏอยู่ “หรือว่าจะเป็หมอกขาวนั้นปกป้องมือนางอยู่?”
จินเฉียนเป้ยพยักหน้าราวกับว่าตัวเองเป็ผู้รู้ “แปดเก้าส่วนก็น่าจะเป็เช่นนั้น”
เกาเฉิงหยู่ที่อยู่อีกด้านก็มีสีหน้าตกตะลึงสงสัยเช่นกัน “นี่มันวรยุทธ์อะไรกัน เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
อ๋าวหรานถอนหายใจในใจ ถ้าเ้าเคยได้ยินนั่นถึงจะเรียกว่ามีปัญหาแล้ว นี่เป็คัมภีร์วรยุทธ์ลับที่สามารถทำให้เกิดและหยุดยั้งการนองเืบนแผ่นดินใหญ่ได้ทีเดียว ผู้เรียนจะสามารถสังหารไปทั่วทั้งสี่ทิศ สังหารคนนับหมื่น เป็นิ้วทองคำขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเสาบ้านที่ผู้เขียนมอบให้กับตัวเอกของเราเลยเชียวนา
ดูแล้วเนื้อเื่น่าจะดำเนินเร็วขึ้นบ้างแล้ว เพราะดูท่าทางตระกูลทางคงไม่คิดจะสะสมกำลังคนอีกต่อไป!
ไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขาต้องเจอกับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเช่นนี้ พวกเขาจะมีโอกาสชนะแค่ไหนกัน?
ส่วนตัวเอก...ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ระดับใดแล้ว?
เจียงซิวมองดูหมอกขาวเบาบางนั่น น้ำเสียงฉายแววนิ่งเฉยเ็า “พี่จิน เ้าสามารถจับแส้ของแม่นางหลี่ด้วยมือเปล่าได้หรือไม่?”
จินเฉียนเป้ยเกาหัว “คงได้ ดูแล้วแรงของแม่นางหลี่ไม่น่าจะมาก แส้ของนางหากข้าจับคงไม่เป็ไร”
เพลงหมัดตระกูลจินสามารถหยุดอาวุธที่แหลมคมได้ ฝ่ามือของคนตระกูลจินล้วนแข็งราวกับเหล็ก แส้หนามของหลี่หนิงหว่านเส้นนี้นั้น...หากต้องเผชิญหน้ากับจินเฉียนเป้ยก็คงถูกจำกัดความสามารถไว้อย่างแน่นอน
เจียงซิวและคนที่อยู่โดยรอบพากันโล่งใจ ในโลกนี้มีวรยุทธ์อยู่มากมายหลายแบบ ในเมื่อสามารถมีวรยุทธ์เช่นตระกูลจินที่ไม่กลัวอาวุธแหลมคมใดๆ แล้วผู้ใดบอกว่าจะมีแบบนี้อีกบ้างไม่ได้ ผู้ใดกำหนดว่าตระกูลอื่นจะสามารถฝึกวิชาฝ่ามือฟันแทงไม่เข้าด้วยบ้างไม่ได้?
แต่ว่าหมอกขาวที่เบาบางจนแทบมองไม่เห็นนั้นก็ไม่อาจทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ติดใจสงสัยได้จริงๆ
ขนาดยอดฝีมือที่อยู่ด้านล่างเวทีเช่นพวกหลัวฉี่ที่ดูวรยุทธ์เป็ยังเหงื่อตก แล้วยังมีพวกไก่อ่อนที่ไม่มีความรู้ซึ่งเอาแต่มองดูหญิงงามก็มองกันจนจิตใจกระชุ่มกระชวย
ส่วนคนที่ร้อนรนที่สุดคงจะเป็หลี่หนิงหว่านแล้ว การที่ไม่ว่าจะใช้แรงเท่าไรก็ดึงแส้ออกมาไม่ได้นี้ทำให้นางรู้ว่าในด้านพละกำลังนั้น นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลางฉาเลยแม้แต่น้อย
แส้เส้นนี้ของนางเดิมทีมีความเหนือกว่าตรงที่ผู้อื่นไม่อาจจับหรือถูกมันได้ ด้วยเพราะเหตุนี้คนส่วนใหญ่ที่วรยุทธ์ดีกว่านางจึงไม่อาจเข้าใกล้นางได้ แน่นอนว่าถ้าเหมือนพวกหลัวฉี่ที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวเช่นนี้ ต่อให้อาวุธของนางจะไร้ช่องโหว่สักเพียงใด เกรงว่าก็คงถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย
วันนี้กลับปรากฏคนที่สามารถใช้มือเปล่า ‘จับได้’ ขึ้นมาทำให้นางรู้สึกโกรธไม่น้อย
หลางฉาก็ไม่ดึงดัน พอหลี่หนิงหว่านดึงหลายรอบเข้าก็ยอมปล่อยแส้ในมือ
หลี่หนิงหว่านจ้องฝ่ามือของนางอย่างไม่ยอมตายใจ ไม่ได้รับาเ็เลยจริงๆ ด้วย ในใจอดรู้สึกพ่ายแพ้ไม่ได้ สายตากลับมีจิตสังหารเพิ่มขึ้น บรรยากาศรอบตัวรุนแรงขึ้นไม่น้อย นางไม่เชื่อว่าหลางฉาจะสามารถ ‘จับได้’ แล้วยังสามารถ ‘ถูกฟาดได้’ โดยไม่เป็อะไรเลย
หลี่หนิงหว่านใช้แรงหวดแส้มากกว่ารอบที่แล้ว แส้ไม่เหมือนกระบี่ มันทั้งอ่อนและยากต่อการควบคุม แต่หากวสามารถฝึกฝนจนใช้ได้อย่างคุ้นเคยแล้ว มันก็จะว่องไวมากจนทำให้คู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ถูก
แส้รอบนี้ของหลี่หนิงหว่านพุ่งตรงไปที่เอวบางของหลางฉา แส้พุ่งออกไปทำให้เกิดเสียงลมพัดดังฮูๆ การโจมตีรอบนี้ยากที่จะใช้มือจับได้ หลางฉาจึงถอยหลังไป หลี่หนิงหว่านก็ไม่ยอมปล่อย ใช้วิชาตัวเบาไล่บี้หลางฉาอย่างรวดเร็ว ข้อมือขยับสั่น แส้ที่สะท้อนแสงวูบวาบราวกับแสงดาวจากหนามที่แหลมคมนั้นเปลี่ยนทิศทางในชั่วขณะแล้วพุ่งไปทางบริเวณ่เอวของหลางฉาอีกครั้งด้วยจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน
รอบนี้มาอย่างกะทันหัน นับว่าหลบได้ยากจริงๆ แต่ถ้าพยายามเอียงตัวหลบแล้วถอยหลังไปก็ยังพอมีหวังอยู่ แต่ทว่าหลางฉากลับเชื่องช้าราวกับกำลังเดินเล่น ไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาแม้แต่น้อย ทำให้หลี่หนิงหว่านมือสั่นน้อยๆ ไปชั่วขณะ เ้าพวกท่อนไม้ตายแล้วด้านล่างเวทีมองหญิงงามสองคนบนเวทีด้วยสายตาที่ห่วงกังวลเป็อย่างมาก
สำหรับจิ่งเฟิงกั๋วแล้ว ั้แ่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ คนรุ่นเยาว์ในสนามประลองที่เขาชื่นชมนั้นมีอยู่ไม่น้อย ฝีมือและวรยุทธ์ล้วนราวกับเป็ลูกรักของพระเ้าที่น้อยนักจะมี แต่จิ่งเฟิงกั๋วเป็คนยโสอวดดีมาตลอด คนหนุ่มที่มีพร์พวกนี้ก็แค่อยู่ในระดับที่เขาพอจะยอมรับได้เท่านั้น ไม่มีผู้ใดที่จะทำให้เขาตกตะลึงจนเผลอยืนขึ้นได้
เมื่อเทียบกับจิ่งเฟิงกั๋วที่เ้ายศถือดีแล้ว ผู้อื่นยังนับว่าปกติธรรมดากว่า ไม่ว่าจะหลัวฉี่ สวีหรงฉี่ เหยียนเฟิงเกอ รวมถึงจินเฉียนเป้ย เจียงซิว...เป็ต้น แต่ละคนล้วนทำให้พวกเขาทอดถอนใจว่าในยุทธภพนี่เต็มไปด้วยคลื่นลูกใหม่ที่ไล่ต้อนคลื่นลูกเก่า ต่อไปก็คงจะเป็โลกของเหล่าคนหนุ่ม คนแก่เช่นพวกเขาควรจะถอยไปได้แล้วกระมัง
“เพียะ…”
แส้ฟาดไปที่ข้างเอวของหลางฉาอย่างรุนแรง เสียงดังหนักหน่วงนั้นทำให้ทุกคนเงียบลง หลี่หนิงหว่านเก็บแส้แล้วถอยหลังไป การโจมตีครั้งนี้เข้าเป้าแล้วจึงทำให้นางไม่อาจแย้มริมฝีปากยิ้มออกมาได้ แรงที่ใช้ไปนั้นนางย่อมรู้ดีว่า...ต่อให้เป็พวกหลัวฉี่ นางก็มั่นใจว่าการโจมตีนี้ถึงขั้นทำให้กระดูกพวกเขาแตกละเอียดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลางฉาที่เป็สตรีผิวบางเนื้ออ่อนเลย
ตอนนี้เซี่ยเหวินเอ่อเคยชินกับการหันไปมองหน้าของทางเต๋อรั่วกับสวีหรงฉี่แล้ว ในชั่วขณะที่แส้ฟาดไปโดนหลางฉานั้น สายตาของเขาก็มองไปทางคนทั้งคู่ในทันที สีหน้าของพวกเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย คนทั้งคู่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความตกตะลึงหรือห่วงใยเลย สีหน้าเช่นนี้ยิ่งทำให้ในใจของเซี่ยเหวินเอ่อเคร่งขรึมขึ้นอีกหลายส่วน
ตระกูลทาง...แท้จริงแล้วเป็สัตว์ประหลาดอันใดกัน
พวกผู้าุโบนที่นั่ง้าก็ล้วนเป็เพียงมนุษย์ธรรมดา ความสงสัยตกตะลึงจึงไม่น้อยไปกว่าเหล่าคนหนุ่มด้านล่างเวที เคราขาวๆ ของจิ่งเฟิงจั๋วแทบจะชี้ขึ้นมาอยู่แล้ว ทั้งยังส่งเสียง ‘ไอ้หยา’ ออกมาอย่างร้อนใจ “แม่นางน้อยผู้นี้ ถึงตอนสำคัญเหตุใดถึงไม่รู้จักหลบรู้จักหลีก โดนแส้นี้เข้าไป นางจะไปรับไหวได้อย่างไรกัน!”
จิ่งเฟิงกั๋วขมวดคิ้ว ไม่ต่อคำและก็ไม่ได้คิดอะไร แต่สายตากลับไม่ถอนจากการต่อสู้ของหลางฉาแม้แต่น้อย
ตอนที่เท้าของหลี่หนิงหว่านยังไม่แตะถึงพื้นนั้น นางก็เริ่มร้อนใจแล้ว ต่อให้เป็คนโง่งมก็ยังดูออกว่าหลางฉาถูกแส้นี้เข้าไป...หาได้รับความกระทบกระเทือนแม้สักนิดไม่ ยังคงยืนอย่างสง่างามอยู่บนเวทีเหมือนเช่นเดิม มุมปากประดับรอยยิ้ม ยิ่งทำให้หลี่หนิงหว่านรู้สึกว่าแส้เมื่อครู่ของตัวเองนั้นราวกับเป็แค่เื่ตลก
“หา!”
“ไม่เป็อะไรเลยสักนิด!”
“ข้าเห็นชัดเจนว่าโดนฟาดเข้าไปแล้วนี่”
จินเฉียนเป้ยที่ไม่มีความคิดลึกซึ้งเ้าเล่ห์ ทั้งยังทึ่มเป็ท่อนไม้พูดพึมพำว่า “ข้ายังนึกว่าแม่นางหลางฉาเป็เหมือนข้าที่ฝึกวิชาหมัดมวย ไม่คิดว่าที่นางฝึกกลับเป็วิชาเกราะทองคำ ถูกฟาดเข้าที่เอวแล้วยังไม่เป็อะไรเลย!”
อ๋าวหราน “…”
โลกนี้มีวิชาเกราะทองคำด้วยหรือ?
